คำถามคลาสสิก  มีแทบทุกรอบที่จัดสัมมนา  โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างเปิดกว้างเรื่องวิธีต่างๆในการวิเคราะห์การลงทุนแนวพื้นฐานนะ  จะใช้วิธีคิดลดปันผล, คิดลดกระแสเงินสดหรือคิดลดกำไรสุทธิ  จะใช้จำนวนปีจำกัดหรือไม่จำกัด  ผมก็โอเคหมดแหละ  เพราะสุดท้ายเรากำลังเดาอนาคต  ดังนั้นมันไม่มีวิธีอะไรที่ชัวร์ 100% อยู่แล้ว  แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการเอากราฟเทคนิคมาดูปนกับแนวพื้นฐานครับ

มันมีงานวิจัยศึกษาพยายามพิสูจน์ว่าการวิเคราะห์กราฟหรือวิเคราะห์เทคนิคได้ผลดีกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหรือไม่  ปรากฎว่ามันมีทั้งที่สรุปว่าได้ผล  และก็มีที่สรุปว่าไม่ได้ผล  เรียกว่าไม่ชัดเจน

มีคนถามหลายทีละ  คำถามฟังดูง่าย  แต่ตอบยากเหมือนกันนะผมว่า  วิธีง่ายมองหยาบเกินไปมันก็จะชุ่ย  แต่วิธีซับซ้อนเกินไปมันก็อธิบายยาก  วันนี้ผมนำเสนอวิธีการที่ผมคิดว่าไม่ยุ่งยากเกินไปจับต้องได้  และเป็นวิธีที่มีเหตุมีผลครับ

อย่างแรกบอกก่อนนิดนึง  ผมเป็นนักลงทุนเชื่อในการมองพื้นฐานกิจการ  ดังนั้นเวลาบอกว่าหุ้นแพงเกินไปมุมมองผมจะแตกต่างจากนักลงทุนทั่วไปในตลาด  แพงเกินไปสำหรับผมไม่ได้แปลว่าหุ้นมันจะต้องราคาตกแน่นอนหรือมันจะแพงขึ้นอีกไม่ได้  คำว่าหุ้นแพงเกินไป  คือแปลว่าผมมองว่าเอาเงินเราไปลงทุนกับอย่างอื่นน่าจะดีกว่า  ผลตอบแทนที่คาดหวังจากการถือหุ้นนั้นอาจจะน้อยเกินไปจนไม่คุ้มที่จะถือเท่านั้นเอง

เมื่อวานพอดีจู่ๆก็อยากพักสายตา  เลยตัดสินใจตั้งเวลา 30 นาทีแล้วนั่งสมาธิ  รู้สึกมันให้ข้อคิดดีเหมือนกันก็เลยเขียนเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังครับ

เป็นเรื่องที่ระหว่างที่นั่งสมาธิเมื่อวานฉุกคิดขึ้นมาได้  ว่าจริงๆความท้าทายมันเหมือนลงทุนในหุ้นเลยนะ  คือมันวัดกันว่าสุดท้ายเรามีความอดทนอดกลั้นแค่ไหน  แล้วเราจะยอมล้มเลิกความตั้งใจเราหรือไม่  ไม่มีใครกำหนดได้  มันเป็นการเอาชนะตัวเองแท้ๆ  เดี๋ยวผมอธิบายละเอียดมากขึ้น          

อย่าคิดเยอะ  เริ่มจากธุรกิจที่คุณเข้าใจก่อนเลย

นักลงทุนรายย่อยหรือมือใหม่จำนวนมากที่ผมเจอ  มีความได้เปรียบพวกกองทุนและนักลงทุนสถาบันอยู่มาก  แต่แล้วก็ทิ้งความได้เปรียบนั้นไป  เพราะมัวแต่คิดไปว่าคนทั้งโลกเก่งกว่าตัวเองและตัวเองรู้น้อยที่สุด

สวัสดีครับ  วันนี้ผมอยากมาชวนคุยหัวข้อสำคัญมากเรื่องหนึ่ง  เรื่องว่าทำไมคุณถึงควรเริ่มต้นลงทุนซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เดี๋ยวก่อน  หลายครั้งเวลาผมเจอเพื่อนกันเองหรือคนรู้จักแล้วได้มีโอกาสพูดถึงเรื่องหุ้นเรื่องการลงทุน  ส่วนใหญ่เห็นด้วยเลยนะ  ว่าการลงทุนนี่มันเป็นเรื่องสำคัญมากกับชีวิตของพวกเค้า  และหลายคนก็สนใจการลงทุนในหุ้นซะด้วย  แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เริ่มต้นลงมือจริงจัง  บางคนบอกว่าเอาไว้มีเงินเหลือเก็บเยอะๆก่อน  บางคนบอกรอตอนแก่ค่อยไปลงทุน  บางคนบอกขี้เกียจศึกษาหาความรู้  และเหตุผลอื่นต่างๆนาๆ  เป็นที่น่าเสียดายมากครับ  เพราะผมจะบอกว่าค่าขี้เกียจค่ารอนี่มันแพงมากเลยนะ  ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ??  เพราะ     

วันนี้มาคุยเรื่องเบาสมองกันบ้างครับ  ผมมานำเสนอความรู้พื้นฐานเผื่อคนทั่วไปว่าตลาดหุ้นนี่มันคืออะไร  แล้วมันมีเอาไว้ทำอะไร  มีหน้าที่เป็นบ่อนถูกกฎหมายสำหรับคนมีเงินใช่หรือไม่

ตลาดหุ้นถ้าไปศึกษาจริงๆมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากเลยครับ  เรียกว่ามีเขียนกันเป็นหนังสือได้เลยนะ  แต่เราเอาสรุปๆพอครับ  คือมันเป็นตลาดที่เอาไว้ซื้อขายความเป็นหุ้นส่วนในกิจการครับ  ทีนี้มันมีประโยชน์สำคัญกับเศรษฐกิจของประเทศเพราะว่ามันเป็นทางเลือกสำคัญอันหนึ่งสำหรับกิจการในการระดมเงินทุนครับ 

เมื่อเร็วๆนี้ผมมีโอกาสได้ยินคนพูดประโยคนี้ให้ฟังครับ คือคุณคนนี้เค้ามีหุ้นจำนวนหนึ่งที่ขาดทุนเยอะอยู่หลังจากที่ซื้อมาแล้วราคาตกไป เค้าบอกว่า “ถ้าไม่ขายก็ไม่ขาดทุนจริง มันเป็นแค่ขาดทุนบนกระดาษ” อันนี้ผมก็เข้าใจนะครับว่าคุณคนนี้เค้ารอ หวังว่าในอนาคตราคาหุ้นจะกลับมาเท่ากับตอนที่ซื้อ โอเคแต่คุณคนนี้จะทำยังไงก็เป็นสิทธิ์ของเค้าใช่มั้ยครับ ที่สำคัญคือ เออแล้วถ้ามันเกิดกับผมหรือเกิดกับคุณบ้าง เราจะทำยังไงดี ที่บอกว่า “ไม่ขายก็ไม่ขาดทุน” นี่จริงหรือไม่

อย่างที่เราเข้าใจอยู่ก่อนแล้วว่า  ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ระดมทุนของกิจการใช่มั้ยครับ  ทีนี้ IPO คือย่อมาจาก Initial Public Offering หรือแปลว่าการขายหุ้นให้กับคนทั่วไปเป็นครั้งแรกครับ  ถ้าเห็นคำว่า IPO ของบริษัท XYZ ก็คือแปลว่าอันนี้เป็นการขายหุ้นในตลาดให้บุคคลทั่วไปเป็นครั้งแรกของบริษัทนี้  กรณีที่บริษัทที่เคยออกหุ้นมาก่อนแล้ว  แล้วมาเพิ่มทุนออกหุ้นเพิ่มเติมในภายหลัง  อันนี้จะไม่เรียกว่าเป็น IPO จะเป็น PO (Public offering) เฉยๆ

ยอดนิยมสุดๆหัวข้อนี้  ผมว่าทุกคนเคยได้ยินมาก่อนแน่นอน  ถ้าคุณนึกไม่ออกให้ลองไปฟังข่าวเศรษฐกิจช่วงเย็นครับ  เวลาเค้าพูดว่าตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,514 จุด เพิ่มขึ้น 0.2%  ตัวเลข 1,514 จุดนั่นแหละครับคือดัชนี

ทีนี้ดัชนีมันมีเอาไว้ทำอะไร  มันมีเอาไว้บอกภาพรวมกว้างๆของตลาดนั้นครับ  โดยปรับเลขมูลค่าให้อยู่ในหน่วย % เปรียบเทียบกับปีฐาน  โดยถือว่าปีฐานเป็น 100 จุด  มันจะได้ดูง่ายหน่อย  ไม่งั้นถ้าต้องไปบอกมูลค่ารวมตลาดเป็นหลายล้านล้านบาทมันจะงง  อย่างเช่นถ้าเค้าบอกหุ้นไทยภาพรวมวันนี้อยู่ที่ 1,515 จุด  หมายความว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนนู้นตอนเริ่มนับดัชนีเป็นปีแรก (ตอนแรกสุดเป็น 100 จุด)  ตอนนี้หุ้นไทยมีมูลค่าเป็น 15.15 เท่าของเมื่อตอนนู้น 

ได้ยินกันมาโดยตลอดนะครับเรื่องนี้ แล้วถ้ายิ่งคุณฟังข่าวเรื่องการลงทุน หรืออยู่ในแวดวงนี้นะ เราจะได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาเลยแหละ บ้างบอก “ลงทุนในหุ้นตัวนี้เสี่ยงมาก” หรือบอก “กลุ่มนั้นความเสี่ยงต่ำ” หรือ “ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูง” อะไรประมาณนี้น่ะครับ และแน่นอนโดยความหมายของคำว่าความเสี่ยงเนี่ย เราก็เข้าใจได้โดยธรรมชาติอยู่แล้วล่ะ แต่ทีนี้ถ้ามาฉุกคิดให้ละเอียดนิดนึง

คุณเคยสงสัยมั้ยว่า เออแล้วจริงๆมันคืออะไรนะ สำคัญกว่านั้นคือที่ว่าเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยนี่เค้าใช้อะไรมาวัด ไม่รู้คุณเคยสงสัยมั้ยนะแต่ผมเคยละกัน ก็เลยเป็นที่มาบทความนี้ครับ