ภาษาหุ้นวันนี้ 8 :  การกระจายความเสี่ยง

Financial Terms 8 : Diversification

เวลาเค้าบอกลงทุนในหุ้นเราต้องมีการกระจายความเสี่ยงนะ  บางคนงงว่าอะไรคือกระจายความเสี่ยง  ทำไมต้องทำด้วย  แล้วกระจายยังไงดี  วันนี้เรามาอธิบายพูดคุยเรื่องนี้กัน

diversification-reduces-risk-overtime

การกระจายความเสี่ยงว่าง่ายๆคือ  เรากระจายการลงทุนของเราไปซื้อหุ้นหลายๆตัว  เพื่อให้โดยรวมแล้วทั้งพอร์ตเราผลตอบแทนสม่ำเสมอมากขึ้น  และมีความเสี่ยงลดลง  เพื่อให้เห็นภาพนึกตามนะ

สมมติมีธุรกิจ 2 บริษัท  บริษัทนึงทำรีสอร์ท  อีกบริษัทหนึ่งผลิตร่ม  สองบริษัทนี้ผลประกอบการขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ  ปีไหนอากาศดีรีสอร์ทก็ทำได้ดีส่วนบริษัททำร่มก็จะขายไม่ดี  กลับกันถ้าปีไหนอากาศไม่ดีรีสอร์ทก็จะธุรกิจไม่ดีส่วนร่มขายดี  สมมติว่าผลตอบแทนจากหุ้นของสองบริษัทนี้เป็นดังต่อไปนี้

                                                                      อากาศดี                 อากาศไม่ดี

ธุรกิจรีสอร์ท                                                           +50%                     -25%

ธุรกิจร่ม                                                                  -25%                      +50%

สมมติถ้าโอกาสที่ทั้งปีจะอากาศดีหรืออากาศไม่ดีเป็น  50-50

ถ้าเราซื้อหุ้นรีสอร์ทอย่างเดียว  ผลตอบแทนเฉลี่ยที่น่าจะได้คือ      12.5% แหละ  แต่ว่าแต่ละปีอาจจะแกว่งรุนแรง

ถ้าเราซื้อหุ้นร่มอย่างเดียว  ผลตอบแทนเฉลี่ยที่น่าจะได้คือ                             12.5% เหมือนกัน  และแต่ละปีอาจจะแกว่งรุนแรง

แต่ถ้าเราแบ่งเงิน  ซื้อทั้งสองบริษัทอย่างละครึ่งๆล่ะ  ผลตอบแทนเราจะเป็น 12.5% เหมือนเดิม  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือความแน่นอน  เพราะไม่ว่าอากาศดีหรือไม่ดี  เราจะกำไรอยู่ 12.5% แน่นอน

นี่เป็นตัวอย่างว่าการกระจายความเสี่ยงจะช่วยเราได้อย่างไร

ทีนี้ต่อไปคือกระจายอย่างไรดี  การกระจายความเสี่ยงถ้ามันจะได้ผลคือ  มันต้องลงทุนในหุ้นที่ไม่เกี่ยวกันหรือโดนผลกระทบไปทางเดียวกัน

เช่นสมมติเรากระจายความเสี่ยงโดยการซื้อหุ้นธนาคารทั้งหมด  เกิดมีฟองสบู่คอนโดหรืออะไรเกิดขึ้น  มันก็จะโดนทุกธนาคารและหุ้นเราก็จะเละทั้งหมดอยู่ดีแม้ว่าจะถือหุ้นอยู่หลายตัว

แต่สมมติเรากระจายความเสี่ยงไว้หลากหลาย  มีหุ้นธนาคาร, ค้าปลีก, น้ำประปา  ฟองสบู่คอนโดเกิดขึ้นก็อาจจะมีผลต่อหุ้นธนาคารเราแต่ไม่มีผลกับหุ้นน้ำประปา  อะไรประมาณนี้

กล่าวโดยสรุป  การกระจายความเสี่ยงก็คือลงทุนในหุ้นหรือทรัพย์สินหลายประเภท  ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงกรณีไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น  ผมส่วนตัวสนับสนุนการกระจายความเสี่ยงแหละ  แต่ทีนี้มันก็มีจุดที่กระจายเกินไปเหมือนกัน  ผมเคยเขียนบทความว่าควรถือหุ้นกี่ตัวเอาไว้  สามารถไปอ่านต่อได้ถ้าสนใจ

เราควรจะมีหุ้นกี่ตัวในพอร์ท

คำถามยอดฮิต  “ผมวิเคราะห์หุ้นแล้ว ซื้อไป แล้วราคาหุ้นตก”

FAQ : Did My Homework, Bought And Price Dropped

รอบที่ผ่านมามีคนถามลักษณะนี้พอสมควร  วันนี้รวบรวมคำถามที่เจอจากนักเรียนถามจริงมาตอบครับ  บางคำถามเค้าก็ถามต่อกัน  ส่วนการตอบในบทความนี้จะตอบแบบจริงที่บางทีไม่สะดวกตอบตอนจัดสัมมนา  อาจฟังดูโหดร้ายไปบ้างแต่ตอบด้วยความหวังดีแน่นอนครับ

คำถาม   ผมมีการวิเคราะห์ดูกำไรอะไรแล้วโอเค  ซื้อไป  แล้วราคาหุ้นตกลงมาเรื่อยทำยังไง

“ก็ถ้าดูว่าเราตัดสินใจดีแล้ว  บริษัทดี  ซื้อมาราคาโอเค  ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลนี่ครับ  ราคาในช่วงสั้นมันก็มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา  แต่ถ้าสุดท้ายผลประกอบการธุรกิจเป็นไปตามที่เราคาดไว้  ซักพักคนก็จะรู้สึกตัวและราคาหุ้นก็จะปรับตามเอง  ดังนั้นตามองไปที่ตัวธุรกิจอย่างเดียวอย่าเขว”

คำถาม   ราคาที่ตกลงมาไม่ได้แปลว่ากิจการจะแย่ลงเหรอ

“ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยครับ  ราคาสะท้อนความเห็นของคนหมู่มากก็เท่านั้น  ราคาหุ้นที่สูงขึ้นหรือต่ำลงไม่ได้มีผลอะไรกับตัวบริษัทเลย  และนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดก็เป็นพวกระยะสั้นหรือไม่ก็มั่วทั้งนั้น  ถ้าเราทำการบ้านดีแล้ว  หายังไงก็ไม่เห็นเหตุผลที่กิจการมันจะเละ  ราคาตกก็ยิ่งดีไปใหญ่สิครับ  หวานเราเลยแหละ  ไม่งั้นเราจะได้ของถูกได้ไง  มองให้มันเป็นเรื่องดีสิ  อย่าไปหลงเชื่อความคิดสมัครเล่น”

คำถาม   ที่คุณเป้งบอก  ให้ซื้อบริษัทที่ราคาตกด้วยปัจจัยชั่วคราว  เราจะรู้ได้ไงว่ามันชั่วคราว  แล้วราคามันตกลงไปอีกทำไง

“อันนี้มันแล้วแต่กรณีละครับเพราะแน่นอนแต่ละเหตุการณ์มันไม่เหมือนกัน  บางเหตุการณ์มันก็ง่ายนะ  อย่างเช่นน้ำท่วม, ม๊อบอะไรแบบนี้  ใครก็รู้ป้ะว่ามันเป็นปัญหาชั่วคราว”

“แต่สมมติเป็นเรื่องยากขึ้น  อันนี้แล้วแต่ตความสามารถแต่ละคนแล้วแหละ  ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้  มันเป็นหน้าที่เราที่ต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ตัวเอง  ดังนั้นเราต้องถามตัวเองว่าเข้าใจกิจการกับอุตสาหกรรมนั้นขนาดไหน  มั่นใจมั้ยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาชั่วคราวที่ถ้าผ่านไปบริษัทจะกลับมาดี  ถ้าไม่รู้เรื่องหรือไม่มั่นใจก็อย่าไปลงทุนสิ  ข้ามไป  ไปหาโอกาสที่เรามั่นใจดีกว่าครับ”

“ส่วนเรื่องราคาตอบเหมือนเดิม  อย่าไปสนมันมากนัก  ผลกิจการเป็นเหตุ  ราคาหุ้นเป็นผลที่ตามมา  ไม่ใช่ราคาหุ้นเป็นเหตุ”

คำถาม  (ถามอะไรไม่รู้  มาได้หลากหลายรูปแบบ  แต่สรุปคือยังกังวลอยู่ดี  นู่นนี่นั่น)

ผมว่าถ้ายังกังวลขนาดนี้เราต้องกลับมาพิจารณาตัวเองแล้วแหละ  ความผิดคงไม่ใช่ที่หุ้นแล้วแหละ  ลองเช็คตามนี้  ต้องรู้ตัวเองนะ  ขาดหายไปเรื่องไหนก็ไปเติมเรื่องนั้น

  1. ที่เรากังวลนี่ มาจากไม่เข้าใจกิจการหรือเปล่า

เรื่องนี้อาจจะเป็นเหตุผลให้เกิดความกังวลได้  เพราะเราไม่เข้าใจมันจริงๆ  เลยไม่ชัวร์ว่ามันเป็นกิจการที่ได้เปรียบจริงมั้ย  อันนี้ก็แก้ไขง่าย  ก็ไปอ่านเพิ่มเติมทำความเข้าใจกิจการซะ  ไปคอนเฟิร์มว่ามันเป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมหรือเปล่า  อ่านงบการเงินเช็คดูด้วยจะได้สบายใจ

  1. หรือเป็นเพราะเราไม่มีความสามารถในการประมาณการณ์ผลตอบแทนหรือเปล่า

คือรู้แล้วแหละว่ากิจการมันดี  แต่ที่กังวลเพราะไม่รู้ว่าราคาที่ตัวเองซื้อมานี่ถูกหรือแพงก็ทำให้กังวลได้  อันนี้ก็ไปเรียนรู้วิธีการประเมินมูลค่าซะครับ  แน่นอนว่ามันไม่มีใครรู้อนาคตและไม่มีวิธีการไหนเพอร์เฟค  แต่มันจะช่วยให้ประมาณคร่าวๆได้  และคุณจะมั่นใจมากขึ้นแน่นอน

  1. แต่ถ้ามั่นใจว่าวิเคราะห์ได้ดีแล้ว แต่ยังกังวลอยู่  ผมว่าคุณนั่งเฝ้าราคามากเกินไปละ

เลิกนั่งเฝ้าราคาได้แล้ว  การนั่งจ้องหน้าจอตัวเลขกระดิกไปมาจะไม่ทำให้เรากำไรดีขึ้น  ดังนั้นเลิกนิสัยเช็คราคาหุ้น  แล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเถอะ  ไม่ต้องเป็นอะไรมีสาระก็ได้  จะไปนั่งอ่านการ์ตูน, เล่นเกมยังเข้าท่ากว่าเลย  เวลาลงทุนเหมือนแข่งกีฬาน่ะครับ  ตามองเกมที่แข่งตั้งใจแข่ง  ไม่ใช่มัวแต่มองสกอร์บอร์ด  ลงทุนในหุ้นตามองตัวกิจการที่เราเลือก  ไม่ใช่นั่งมองราคาหุ้น

สรุป

ถ้าเราเป็นมืออาชีพ  ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วและตัดสินใจไปแล้ว  เราไม่ต้องสนแล้วว่าราคาหุ้นจะตก  อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาความคิดเห็นคนอื่น  สิ่งที่จะพิสูจน์การตัดสินใจของเราคือ  ปลายทางผลประกอบการตัวกิจการที่เราเลือกเป็นอย่างไร  ถ้าเราแม่นยำเรื่องนี้เดี๋ยวราคาหุ้นมันตามมาเองอยู่แล้ว

ดังนั้นจงเป็นมืออาชีพ  ตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพตั้งแต่แรก  และเลิกนั่งจ้องราคาหุ้นได้แล้ว

เมื่อคราฟท์ ไฮนซ์ต้องการซื้อยูนิลิเวอร์

When Kraft Heinz Wants to Buy Unilever

ข่าวสะท้านวงการ!

คราฟท์ ไฮนซ์บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ขอซื้อยูนิลิเวอร์บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ด้วยข้อเสนอซื้อ 1,430 ล้านเหรียญฯสหัรัฐ!
kraft-heinz-products unilever-brands
 
หากใครรู้จักทั้งสองบริษัทจะรู้เลยว่าสิ่งที่เรากินใช้อยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัว ของใช้ภายในครัวเรือน ของกิน เครื่องปรุงมากมายที่เราใช้กันทุกวันส่วนใหญ่เป็นของทั้งสองบริษัทนี้ทั้งนั้น
 
ข่าวนี้สะท้านวงการเพราะหากทั้งสองรวมกันจริงต้องบอกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นบริษัทมหาอำนาจเลยทีเดียว และแน่นอนว่ามีประเด็นเรื่องการกังวลการผูกขาดขึ้นซึ่งเรื่องนี้อาจมีผลกระทบต่อผู้บริโภคในภายหลังซึ่งตอนนี้ยังไม่ต้องเป็นกังวลเพราะยูนิลิเวอร์ปฏิเสธที่จะขาย
 
คราฟท์ประกาศว่ายังคงพยายามจะขอซื้อยูนิลิเวอร์และอาจมีข้อเสนอใหม่อีกไม่ช้า
 
จากมุมมองของนักลงทุนแบบเราที่จริงแล้วทั้งสองบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ดีมาก กำไรดีสม่ำเสมอเป็นเวลานาน มีฐานลูกค้าที่มั่นคง การรวมตัวกันของสองบริษัทจะทำให้สถานะของบริษัทแข็งแกร่งยิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นการดีสำหรับผู้ที่มีหุ้นในบริษัทนั้นๆอยู่แล้ว
 
เมื่อบริษัทที่ดีรวมกับบริษัทที่ดีก็จะได้บริษัทที่ดี
 
กรณีนี้จะคล้ายคลึงกับตอนซี พี ออล ซื้อแมกโคร ทั้งสองเป็นบริษัทที่ดีทั้งคู่และเมื่อรวมกันก็ทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
 
ความแตกต่างกันคือตอนซี พี ออลซื้อแมกโคร คนตกใจกลัว มีข่าวออกมาว่าซื้อแพงทำให้ราคาหุ้นตกลงไปซึ่งตอนนี้เป็นโอกาสดีและราคาที่เหมาะสมที่จะซื้อ ซึ่งตอนนั้นผมได้ซื้อไปเป็นจำนวนหนึ่งจนมาถึงตอนนี้ราคาหุ้นขึ้นมาเยอะมากและผมก็กำไรไปไม่รู้เท่าไหร่จากดีลนี้
 
แต่น่าเสียดายมากครับ ถ้าเหตุการณ์ของคราฟท์ ไฮนซ์กับยูนิลิเวอร์เป็นแบบนั้นบ้างก็ดี ทันทีที่ข่าวออกมา หุ้นของทั้งสองบริษัทพุ่งสูงขึ้นกว่า 10% ทำให้ราคาไม่น่ารักเท่าไหร่ แต่ผมยังคงจะเฝ้าติดตามต่อไปเผื่อถ้าราคาตกลงลงมาถึงช่วงที่ซื้อได้บ้าง ผมไม่รีรอแน่นอนครับ คนที่จ้องอยู่เหมือนกันอย่าลืม
 
ติดตามกันนะครับ
 
วันนี้ฝากไว้แค่นี้ก่อน

หมายเหตุประกอบงบการเงิน

What To Read On The Annual Report (Part 7)

 

detective

นี่เป็นเรื่องหลักอันสุดท้ายละครับ  ตรงส่วนนี้ของรายงานประจำปีก็เป็นตามชื่อแหละ  มันคือหมายเหตุที่อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการบนงบการเงิน

วิธีการจริงๆคือดูเรื่องที่เราอยากรู้น่ะ  เช่น  สมมติเราเห็นว่าบริษัทมีรายการ  “จ่ายเงินซื้อเงินลงทุนระยะยาว” สูงขึ้นเยอะมาก  เราก็ตามไปดูหมายเหตุเลขที่กำกับไว้ในงบการเงินแล้วอ่านดูว่าเงินลงทุนระยะยาวที่ว่านี่คืออะไร

                สมมติไม่มีอะไรอยากรู้เป็นพิเศษ  แนะนำให้ดูเรื่องต่อไปนี้

  1. อ่านเรื่องมาตรฐานการรายงาน ดูว่ามีการเปลี่ยนวิธีรายงานเรื่องสำคัญหรือเปล่า
  2. อ่านนโยบายการบัญชี ส่วนตรงนี้เค้าจะพูดถึงวิธีการบันทึกรายการสำคัญต่างๆ  อ่านดูคร่าวๆว่าไม่มีอะไรผิดสังเกต  สิ่งผิดสังเกตในที่นี้คือหมายถึงเช่น  พวกการรับรู้รายได้ไม่นับเป็นรายได้เร็วผิดปกติ  การเผื่อหนี้สงสัยจะสูญหย่อนยานผิดปกติ  ฯลฯ
  3. รายละเอียดเงินลงทุนระยะยาว บริษัทลูก  ร่วมทุน  ฯลฯ
  4. รายละเอียดพวกเงินกู้ยืมระยะยาวต่างๆ
  5. ให้ความสำคัญกับพวกหุ้นกู้แปลงสภาพ ใบสำคัญแสดงสิทธิ์  ออปชั่น  หรือพวกหุ้นบุริมสิทธิ์เป็นพิเศษ  พวกที่สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นทุนได้ทั้งหลายนี่ต้องดูไว้เลย  เราต้องเผื่อเกิดการเจือจางความเป็นเจ้าของกรณีที่แปลงเป็นหุ้นทุนทั้งหมด  เราควรจะรู้ไว้ว่าเราถูกเจือจางได้มากสุดกี่ %
  6. อ่านแจกแจงรายได้ ค่าใช้จ่ายตามลักษณะ

โดยปกติคือถ้าไม่มีอะไรอยากรู้เป็นพิเศษ  ก็คืออ่านรายละเอียดให้เข้าใจมากขึ้นเฉยๆครับ  เอาให้รู้ว่าไม่มีอะไรผิดสังเกต

อ่านงบการเงิน (สมมติไม่รู้บัญชีเลย)

What To Read On The Annual Report (Part 6)

we-are-in-good-shape-nobody-understands-our-financial-statement

ถัดจากความเห็นผู้สอบบัญชี  ก็จะมาถึงส่วนที่รายละเอียดเยอะของรายงานประจำปีละครับ  มันจะเป็นงบการเงินส่วนใหญ่ตรงนี้คนมักมีปัญหาอ่านไม่รู้เรื่องเพราะจะเอารู้เรื่องจริงจังต้องมีความรู้บัญชีประกอบ    แต่โจทย์วันนี้คือเราจะมาพูดถึงการดูอ่านจับใจความที่คนไม่มีพื้นฐานเรียนบัญชีมาอ่านรู้เรื่องก่อน  (ซึ่งต้องบอกว่ารู้บัญชีจะดีกว่าเยอะเลย  คนไม่รู้บัญชีเสียเปรียบมาก)

อันแรกที่เจอจะเป็นงบแสดงสถานะทางการเงิน  ผมจะกวาดตาดูเรื่องดังต่อไปนี้

  • ในหมวดสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน หาชื่อประมาณนี้  “ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์”  แล้วดูว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเยอะมั้ย  ถ้ามันเยอะแปลว่าน่าจะมีการลงทุนขยายอะไรซักอย่าง  ต้องลองดูว่าสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้บริหารบอกว่าทำหรือเปล่า
  • ดูหมวดหนี้สินไม่หมุนเวียน ดูรายการพวก  “เงินกู้ยืมระยะยาวสถาบันการเงิน”, “เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคาร”, “หุ้นกู้”  อันนี้คือเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรมีอะไรเยอะแยะ  ดูว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเยอะมั้ย  ถ้าเยอะก็ต้องดูว่าเป็นเพราะขยายกิจการอะไรหรือเปล่า

อันต่อมาเป็นงบกำไรขาดทุน  ดูคร่าวๆเรื่องดังต่อไปนี้

  • รายได้เพิ่มขึ้นมั้ย
  • ต้นทุนขายหรือต้นทุนการให้บริการ เพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นสัดส่วนเดียวกับรายได้หรือเปล่า  เช่นถ้ารายได้เพิ่มขึ้น 10% ต้นทุนของหรือบริการที่ขายก็ควรจะเพิ่มขึ้น 10% ตาม  ถ้ารายได้ลงลง 15% ต้นทุนของหรือบริการที่ขายก็ควรจะลดลง 15% ตาม  ถ้ามันไม่ขยับในทิศทางเดียวกัน  หรือคลาดเคลื่อนจากกันเยอะ  อันนี้ก็ผิดปกติ
  • ย้อนกลับไปหน้างบแสดงสถานะทางการเงิน เทียบสัดส่วนลูกหนี้การค้ากับรายได้ดูซิ  สัดส่วนมันควรจะเท่าๆเดิมนะ  เป็นไปได้เก็บเงินลูกค้าได้จะดีที่สุด  ดังนั้นถ้าเห็นลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ก็แปลว่าน่าสงสัยละ
  • กำไรสุทธิเพิ่มขี้นมั้ย
  • กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า  เช่น  รายได้เพิ่มขึ้น 20%  โดยไอเดียกำไรสุทธิก็น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เหมือนกัน  ถ้าสมมติรายได้เพิ่มขึ้นเยอะเลย 20%  แต่กำไรสุทธิเท่าเดิม  หรือเพิ่มน้อยมาก 5% อะไรงี้  เราก็ต้องเอะใจบ้างแล้วและหาว่ารายได้ที่ได้มา  หายไปกับเรื่องอะไรกันแน่  ทำไมกำไรไม่โตตามรายได้
  • สังเกตหารายได้หรือรายจ่ายที่ไม่ใช่รายการปกติ เช่น กำไรหรือขาดทุนจากการขายทรัพย์สิน, กำไรหรือขาดทุนจากเงินประกันน้ำท่วม, กำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน  รายได้หรือรายจ่ายกลุ่มนี้เป็นพวกตัวชั่วคราว  อาจทำให้กำไรดูดีหรือแย่เกินความเป็นจริงได้

ถัดมาเป็นงบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น

  • พิจารณาตรง “ทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้ว” หรือชื่อประมาณนี้ ดูว่าไม่ได้เพิ่มขึ้น  และถ้าเห็นว่าเพิ่มขึ้นให้ดูว่ามาจากสาเหตุอะไร  ถ้ามาจากปันผลเป็นหุ้นไม่เป็นไร  แต่ถ้ามาจากการออกหุ้นใหม่หรืออย่างอื่น  อาจต้องสงสัยนิดนึงว่าเค้าจะออกหุ้นใหม่มาทำอะไร

สุดท้ายตรงส่วนงบกระแสเงินสด

  • หมวดกระแสเงินสดจากการดำเนินงานควรจะเป็นบวก เพราะดำเนินงานแล้วไม่ได้เงินไปเรื่อยๆมันเจ๊งแน่นอน
  • หมวดการลงทุน โดยชื่อมันก็รู้อยู่แล้วว่าควรจะเป็นลบเพราะเราใช้เงินไปลงทุน  ส่วนนี้สังเกตว่าลงทุนเรื่องอะไร  เป็นการซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์เหรอ  หรือเป็นการลงทุนระยะยาวในบริษัทลูก  หรือทำอะไร
  • หมวดการจัดหาเงิน อันนี้ก็ดูว่ามีการกู้ยืมเงินเพิ่มเติมแค่ไหน  เอาเงินไปทำอะไร  คอยดูว่ามันไม่บ้าจนเกินไป

โดยรวมแล้ว  ถ้าเป็นผมไม่รู้บัญชี  ผมก็จะดูเรื่องหลักๆประมาณนี้แหละ  จริงๆส่วนตรงนี้สำคัญมาก  เราต้องการจะรู้ว่าทั้งหลายทั้งปวงสุดท้ายแล้วบริษัททำได้ดีแค่ไหนอย่างไร  และมีอะไรผิดสังเกตไปบ้าง

ปล.  ซึ่งถ้าเป็นไปได้บอกจากใจจริงด้วยความหวังดี  ไปเรียนบัญชีพื้นฐานเถอะนะ  ไม่ได้ต้องถึงขนาดลงบัญชีเองได้  แต่หัดให้อ่านรู้เรื่องเถอะครับ  เราจะได้เปรียบคนอื่นอีกเยอะ  จะบอกว่าปกติเรื่องนี้ผมมีเปิดคอร์สสอนด้วยนะ

หุ้นที่ผมสนใจ – Hanesbrands

Stock In My Focus – Hanesbrands

As of February 9, 2017    ราคาหุ้นอยู่แถว $20-21

ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ไม่มีอะไรตกรุนแรงเลยไม่น่าสนใจเท่าไหร่ครับ  ช่วงนี้เลยมาแนะนำโอกาสลงทุนในต่างประเทศ  วันนี้ผมจะเขียนถึงหุ้นที่ผมเพิ่งซื้อไป  บริษัท Hanesbrands Inc

Hanesbrands

hanes-men

ลักษณะธุรกิจ

ทำเสื้อผ้า, เสื้อกล้าม, ชุดชั้นในทั้งของผู้ชายและผู้หญิง  เป็นยี่ห้อเน้นใส่สบายไม่ใช่แฟชั่น  มียี่ห้อในเครือหลากหลาย เช่น  Hanes, Champion, Playtex, Maidenform  มีโรงงานทำการผลิตด้วยตัวเอง  ไม่ได้เป็นลักษณะจ้างคนอื่นผลิต  และไม่ได้เน้นลักษณะเปิดร้านตัวเองขาย  ปกติคือขายผ่านคนอื่น

สิ่งที่มันน่าสนใจคือ  หลายยี่ห้อที่บริษัทนี้เป็นเจ้าของเป็นผู้นำอันดับต้นๆในหมวดเสื้อผ้าของตัวเอง

Hanes เป็นอันดับหนึ่งเรื่องยอดขายเสื้อในกางเกงในผู้ชายในตลาดอเมริกา

Champion เป็นยี่ห้อเสื้อกีฬา  ทำเสื้อให้สโมสรฟุตบอล, เสื้อเล่นบาส, เสื้อทีมบาสมหาวิทยาลัย ฯลฯ

Playtex เป็นผู้นำอันดับหนึ่งหรือสองในตลาดผ้าอนามัยแบบสอด

Maidenform  ยี่ห้ออันดับหนึ่งเรื่องชุดกระชับสัดส่วนในตลาดอเมริกา

Pacific Brands  ผู้นำตลาดเสื้อในและชุดชั้นในในออสเตรเลีย

แล้วที่ผ่านมาเป็นไง

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  บริษัททำได้ดีมาโดยตลอด  มีช่วงกำไรหดตอนวิกฤติเศรษฐกิจบ้างแต่ไม่เคยถึงขาดทุน

วันนี้เทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว  บริษัทกำไรมากขึ้นกว่าเดิมประมาณ  4 เท่ากว่า  โดยส่วนใหญ่มาจากการขยายด้วยวิธีซื้อกิจการ  เท่าที่สังเกตก็จะเป็นพวก Innerwear กับพวก Activewear  ซึ่งเป็นธุรกิจประเภทที่เกี่ยวข้อง  และสามารถใช้โรงงานที่ตัวเองมีอยู่แล้วผลิตได้

ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ

กิจการทำได้ดีขึ้น  แต่ราคาหุ้นตก  ลักษณะแบบนี้เป็นอะไรที่ผมชอบมาก

บริษัทนี้น่าจะไม่ได้เติบโตหวือหวาอะไร  แต่ข้อดีคือไม่น่าจะมีปัญหาจากพวกปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือจากรสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยนเหมือนกลุ่มเสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่น  ผมคาดหวังว่าบริษัทจะทำได้ดีใกล้เคียงเดิมและน่าจะค่อยๆเติบโตได้จากการไปซื้อกิจการลักษณะเดียวกันในต่างประเทศ

ดังนั้นโดยรวมแล้วเชื่อว่าบริษัทระยะยาวแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร  ที่ผ่านมาทำได้ดีขึ้น  บวกกับว่าช่วงปีที่ผ่านมาราคาหุ้นตกลงไปอย่างรุนแรง  เป็นเหตุผลทำให้ผมซื้อไปครับ

hanes-both hanes-women

หุ้นที่ผมสนใจ – Express Scripts

Stock in my focus – Express Scripts

As of February 12, 2017              ราคาหุ้นอยู่ $68.41

ถ้าพูดถึงเวลานี้  โอกาสที่ดีที่สุดอันนึงที่ผมหาได้ก็หุ้นบริษัทนี้เลยครับ  Express Scripts  แต่โมเดลธุรกิจเค้าอาจจะอ่านเห็นภาพยากนิดนึงเพราะรูปแบบธุรกิจแบบนี้ไม่มีในเมืองไทย  เท่าที่เห็นมันเป็นธุรกิจที่มีเฉพาะในอเมริกาเท่านั้น

Express Scripts

express-script-logoexpress-script-what-it-does

ลักษณะธุรกิจ

เป็นบริษัทประเภท pharmacy benefit managers  คือทำหน้าที่จัดการเรื่องการจ่ายยาสำหรับผู้ป่วย  โดยเน้นพวกที่มีประกันสุขภาพ  (ซึ่งในอเมริกาคนส่วนใหญ่จะพยายามมีประกันสุขภาพแหละ  เพราะยาและพวกค่ารักษาพยาบาลมันแพง)

ไอเดียคือบริษัท Express Scripts นี้เป็นตัวกลางต่อรองราคายา  ลูกค้าหลักคือพวกที่เป็นประกันสุขภาพทั้งโครงการรัฐบาลและบริษัทเอกชน  วิธีการทำให้ราคายาถูกลงหลักๆคือ

อ่านต่อ »

บริษัทย่อย บริษัทร่วมต่างๆ

What to Read on The Annual Report (Part 4)

ไหนๆเราอ่านรายงานประจำปีของบริษัทแล้ว  เราสละเวลาซักนิดนึงอ่านผ่านๆเกี่ยวกับบริษัทย่อยและบริษัทร่วม

โดยปกติบนรายงานประจำปีจะมีหน้านึงที่พูดถึงบริษัทย่อย  หรือบริษัทร่วมที่ตัวบริษัทที่เราดูอยู่ไปถือหุ้น  ข้อมูลจะพูดถึงคร่าวๆว่าบริษัทชื่ออะไร  ลักษณะธุรกิจคืออะไร  และมีสัดส่วนการถือหุ้นกี่ %

เรื่องส่วนนี้ปกติดูคร่าวๆแหละ  ผมมักจะสังเกตเรื่องต่อไปนี้

  1. ธุรกิจที่บริษัทไปลงทุนเหล่านี้ มันดูเกี่ยวข้องกับกิจการหลักหรือเปล่า  หรือมันดูจับฉ่ายมากอะไรก็ไม่รู้ไม่เกี่ยวกัน  โดยปกติผมก็จะไม่ชอบบริษัทที่ลงทุนในเรื่องไม่เกี่ยวข้องเท่าไหร่

  2. อ่านดูให้เห็นภาพมากขึ้นว่าบริษัทลงทุนกับธุรกิจแบบไหนอยู่ บางทีเราจะพบอะไรน่าสนใจ  ตัวอย่างที่เจอส่วนตัวเช่นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์งี้  ผมเคยสงสัยว่าทำไมเค้าไม่ขยายสาขาหรืออะไรซะที  ไม่เหมือนกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพที่ขยายอยู่ตลอด  พอไปอ่านดูจะเจอว่าบำรุงราษฎร์มีไปซื้อกิจการโรงพยาบาลในมองโกเลียครับ  ตอนอ่านเจอก็งงๆ  เออแปลกดีเหมือนกัน

หลักๆคือเราอ่านให้รู้ไว้ว่าบริษัทมีบริษัทในเครือทำอะไรอยู่บ้าง  อยู่ในอุตสาหกกรมเกี่ยวข้องเอื้อกันหรือเปล่า  รู้ไว้ให้เข้าใจบริษัทมากขึ้นอีกนิดนึงครับ

อ่านดูว่าบริษัทกำลังจะทำอะไร (Part 3)

What to Read on The Annual Report (Part 3)

คณะผู้บริหารเป็นใคร  เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยมั้ย  และค่าตอบแทนผู้บริหารเป็นไงบ้าง

นอกจากเรื่องบริษัททำอะไร  และกำลังจะทำอะไรต่อ  ถ้ามีเวลาเราอ่านเพิ่มนิดนึงเรื่องเกี่ยวกับผู้บริหาร

เวลาอ่านรายงานเกี่ยวกับผู้บริหารว่าเป็นใครมาจากไหนทำอะไรมา  โดยปกติตราบใดที่ผู้บริหารทำให้กิจการเติบโตได้สม่ำเสมอผมว่ามันก็โอเคละเรื่องฝีมือ  ให้ถือว่าพิสูจน์จากผลประกอบการของบริษัทเอา  แต่ทีนี้มันจะมีเรื่องอื่นอยู่นิดนึงที่อาจจะต้องสังเกตไว้

  1. สังเกตดูว่า กลุ่มผู้บริหารกับกรรมการบริษัท  มีความเกี่ยวข้องกันมั้ย  โดยเฉพาะว่าเป็นครอบครัวเดียวกันหลายคนหรือเปล่า

    1. สมมติว่าเกี่ยวข้องกันเป็นครอบครัวอยู่หลายคน ไม่ได้แปลว่ามันต้องไม่ดีหรือมีปัญหา  แต่เราต้องรู้เอาไว้และระวังไว้หน่อยก็ดี  นึกภาพว่าถ้าเป็นเราเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่  มีคนในครอบครัวหลายคนในบริษัท  ก็อาจจะเอื้อประโยชน์กันเอง  เช่น จ่ายเงินเดือนผู้บริหารสูงๆ, ลงทุนในบริษัทย่อยของคนในครอบครัว, ซื้อทรัพย์สินอะไรที่ไม่เป็นสาระของคนในครอบครัว, ฯลฯ
  2. อ่านเรื่องค่าตอบแทนผู้บริหาร

    1. พิจารณาเงินได้ทั้งปีรวมโบนัส ดูว่าเป็นกี่ % ของกำไรสุทธิ  แล้วเปรียบเทียบกับบริษัทกลุ่มเดียวกันว่าถือว่าปกติหรือเปล่า  หรือว่าสูงจนผิดปกติ
    2. อ่านเกี่ยวกับพวกค่าตอบแทนที่เป็นออปชั่นหรือวอร์แรนต์ โดยไอเดียการตอบแทนลักษณะนี้คือทำให้ผู้บริหารมีผลดีถ้าสามารถทำให้บริษัทกำไรเพิ่มขึ้นและราคาหุ้นสูงขึ้น  แต่บางบริษัทเค้าก็ตั้งราคาใช้สิทธิ์ไว้ต่ำซะจนยังไงก็กำไรอยู่ละ  แบบนี้ให้ระวังมาก  มันเหมือนเป็นการแจกเงินผู้บริหารแถมยังมาเจือจางความเป็นเจ้าของของหุ้นเราด้วย

ประเด็นหลักโดยสรุปคือ  อ่านดูว่าผู้บริหารกำลังทำให้บริษัทเจริญ  และตัวเองกับผู้ถือหุ้นรวยไปด้วยกัน  หรือทำให้ตัวเองรวยคนเดียว  ซึ่งเรื่องตรงนี้อาจจะไม่ได้มีเกณฑ์ตายตัว  อ่านดูว่าไม่ได้มีทำอะไรไม่แฟร์กับผู้ถือหุ้นเป็นใช้ได้ครับ

อ่านดูว่าบริษัทกำลังจะทำอะไร (Part 2)

What to Read on The Annual Report (Part 2)

เรื่องต่อมาที่ควรอ่านจากรายงานประจำปี  คืออยากจะรู้ว่าบริษัทกำลังจะทำอะไรต่อ  กำลังโฟกัสไปที่เรื่องอะไร

เนื้อหาเรื่องพวกนี้บางบริษัทก็เขียนพูดถึงเยอะ  บางบริษัทก็พูดถึงคร่าวๆ  โดยปกติแล้วแนะนำให้อ่านตรง  สารจากกรรมการผู้จัดการ  และพวกคำอธิบายผลการดำเนินงานจากฝ่ายบริหารครับ

เวลาอ่านส่วนตัวผมจะพยายามมองหาเรื่องดังต่อไปนี้

  1. สารจากกรรมการหรือผู้บริหาร โดยปกติตรงส่วนนี้ผู้บริหารจะออกมาพูดว่าปีที่ผ่านมาทำได้ยอดเยี่ยม  ได้พัฒนาเรื่องอะไรมาบ้าง  และบริษัทมีจุดยืนจะทำอะไรต่อไป  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอะไรกว้างมากไม่ได้เจาะจงอะไร

    1. สังเกตช่วงปีที่ผลประกอบการไม่ดี ดูว่าเค้าพูดถึงปัญหาอย่างไร  พูดถึงปัญหาตรงๆหรือพยายามพูดให้ดูดีไว้ก่อน  พูดในลักษณะยอมรับในความผิดพลาดและหาแนวทางการแก้ไข  หรือพูดในลักษณะว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้  ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
    2. ลองไปดูย้อนปีเก่าๆตรงส่วนนี้ดู เช่นเอาของปี 2553 มาดูซิว่าเคยพูดว่าจะทำอะไร  แล้วปัจจุบันตอนนี้ได้ทำตามที่พูดหรือเปล่า
  2. คำอธิบายผลการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร ส่วนตรงนี้เค้ามีไว้ให้ทีมผู้บริหารอธิบายแจกแจงเกี่ยวกับผลการดำเนินงาน  โดยปกติก็จะพูดถึงภาพรวมปีที่ผ่านมา  แนวโน้มปีหน้า  และขยายความเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของการดำเนินงานที่ผ่านมา  เช่นบอกว่ารายได้เพิ่มขึ้นจากอะไรบ้าง  ขายของเยอะขึ้นเหรอหรือว่าขายของเท่าเดิมแต่ขึ้นราคา  ฯลฯ

    1. สังเกตว่ารายได้เพิ่มขึ้น หรือรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากปัจจัยอันมาจากความโชคดีที่บริษัทควบคุมไม่ได้หรือเปล่า  เช่น  กำไรที่ดีขึ้นมาจากรายจ่ายน้อยลงเพราะต้นทุนราคาน้ำมันที่ต่ำลง  แบบนี้แปลว่าปีนี้อาจดีผิดปกติ  ถ้าปีไหนน้ำมันแพงก็อาจจะกำไรน้อยลงนะ
    2. แนวโน้มรายได้ กับพวกค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไรบ้าง  อันไหนเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากัน  บริษัทมีแผนอย่างไรกับเรื่องการขายหรือการบริหาร
    3. มีการลงทุนอะไรใหญ่ๆไปบ้างมั้ย กำลังจะสร้างโรงงานใหม่หรือเปล่า  มีแผนที่จะขยายสาขาหรือเปล่า  หรือมีการไปซื้อกิจการหรือลงทุนในบริษัทลูกอะไรเพิ่มเติมมั้ย

หลักๆคือเราพยายามอ่านดูว่าบริษัทกำลังทำอะไรอยู่  กำลังมีความพยายามพัฒนาในด้านไหน  แล้วเราเห็นด้วยกับทิศทางของบริษัทมั้ย  เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจก่อนที่เราจะตัดสินใจเป็นเจ้าของร่วมของบริษัทครับ