คนมักจะโทรมาถามเวลาผมจัดสัมมนาว่าผมสอนดูกราฟหรือเปล่า และผมตอบเหมือนเดิมทุกครั้งว่าไม่ ผมจะบอกเค้าไปว่าวิธีการที่ผมเชื่อและใช้มาตลอดเกือบสิบปีนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับกราฟเลย และบางคนก็จะถามคำถามที่ดีมากต่อนั่นคือเค้าจะถามผมว่าทำไม เป็นคำถามสำคัญเลยแหละ ผมเห็นด้วยเลยว่าเวลาคนจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรมันต้องมีเหตุผล เพียงแต่โดยปกติตอบทางโทรศัพท์มันยาก เลยเรียบเรียงมาเขียนตอบให้มันชัดเจนไปเลยว่า ทำไมผมไม่นิยมสายเพ่งกราฟ
ประเด็นแรกเลย คือผมมาพบว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค พื้นฐานความเชื่อคือ ความพยายามจะคาดเดาพฤติกรรมของมนุษย์
ลองดูแต่ละอย่างที่สายเทคนิคเค้าให้ความสนใจกัน ไม่ว่าจะเป็นราคา (Price), ปริมาณการซื้อขาย (Volume), ราคาปิดเปิดสูงสุดต่ำสุด (Open Close High Low) เรื่องพวกนี้สังเกตว่ามันจะไม่เกี่ยวกับกิจการทำธุรกิจอะไร เผลอๆเห็นเป็นตัวย่อภาษาอังกฤษ ไม่สนใจทั้งสิ้นว่ากิจการปีนี้ทำได้ดีขึ้นหรือแย่ลง สิ่งที่ให้ความสำคัญคือช่วงที่ผ่านมา มีคนซื้อหุ้นนี้เยอะหรือน้อยแค่ไหนเท่านั้น
เรื่องนี้เป็นเหตุผลหลักเลยที่ทำให้ผมท้ายที่สุดแล้วไม่เชื่อสายเทคนิค ผมไม่เชื่อว่ามันจะมีคณิตศาสตร์หรือสูตรคำนวณอะไรที่ทำนายได้ว่าพรุ่งนี้คนจะทำอะไร
ยกตัวอย่างไอเดียที่บอกเส้นค่าเฉลี่ยราคา 7 วัน วิ่งขึ้นตัดกับเส้นค่าเฉลี่ยราคา 14 วัน แปลว่าวันพรุ่งนี้คนจะอยากซื้อหุ้นนี้แล้วราคาจะขึ้น ผมว่าฟังดูไม่มีเหตุผลเลย เส้นค่าเฉลี่ยราคา 7 วัน วิ่งขึ้นตัดกับเส้นค่าเฉลี่ยราคา 14 วัน มันก็แค่บอกว่า 7 วันที่ผ่านมาราคาหุ้นนี้ขึ้นเร็วกว่าช่วง 14 วันที่ผ่านมา มันบอกได้แม่นยำมากแต่เรื่อง “ที่ผ่านมา” เท่านั้น การที่เราสรุปว่า “โอ้โห ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคนนิยมหุ้นนี้มากขึ้นนะเนี่ย สัปดาห์นี้คนต้องนิยมหุ้นนี้มากขึ้นไปอีกแน่เลย” ผมว่ามันเป็นการสรุปอะไรที่ตลกมาก
จากตัวอย่างข้างบน ถ้าถามสายเทคนิคว่าวันต่อไปจะเป็นยังไง เค้าก็บอกว่ามันน่าจะขึ้นนะ แต่อย่าลืมตั้ง Stop Loss ด้วยล่ะ ฟังสายเทคนิคคนไหนเค้าก็จะเน้นจุด Stop Loss มากเหลือเกิน ทำไมต้องตั้ง Stop Loss น่ะเหรอ ก็เพราะโอกาสเดาผิดมันเยอะเหลือเกินไง ผมถามจริงถ้าวิธีมันเดาถูกเป็นส่วนใหญ่มันจะต้องมีเหรอครับ Stop Loss ดูเหมือนโอกาสเดาผิดกับถูกมันก็ 50-50 น่ะแหละครับ
พออธิบายตามนี้ไป ผมก็มักจะเจอคนทักขึ้นมาว่า “แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคมันเป็นการดูเทรนด์นี่ มันเป็นวิชาสถิตินะ มันน่าจะเชื่อถือได้นะ”
ผมจะมาตอบประเด็นนี้ในตอนต่อไป