“There are few things as risky as the widespread belief that there’s no risk.”
Howard Marks
ผู้ร่วมก่อตั้ง Oaktree Capital Management
ผมชอบประโยคนี้ของ Howard Marks เป็นพิเศษ ใจความสำคัญคือการลงทุนมีความเสี่ยงสูงมากก็ตอนที่คนจำนวนมากเชื่อว่าไม่มีความเสี่ยง
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ คนลงทุนก็จะมีความระมัดระวังกลัวเสียเงินอยู่ และความระวังนี้ก็จะทำให้อะไรที่ความเสี่ยงสูง ราคามันจะต้องต่ำหน่อยไม่งั้นมันไม่มีคนซื้อ ความเสี่ยงที่สูงก็เลยจะสัมพันธ์กับผลตอบแทนคาดหวังที่ต้องสูงตาม
แต่ทีนี้บางทีตลาดหุ้นอาจจะเข้าสู่โหมดขาดสติได้ มันจะเป็นช่วงที่คนมีความเชื่อว่าการลงทุนความเสี่ยงมันต่ำหรือเชื่อว่าไม่เสี่ยงเลย พอเชื่อแบบนี้ปุ๊บราคาก็จะสูงขึ้นได้จนเหนือเหตุผล โดยปกติจะมีขั้นตอนประมาณนี้
-
เริ่มจากเรื่องจริง
เช่น
- อินเทอร์เน็ตกำลังจะเปลี่ยนแปลงโลก
- คนจะย้ายมาอยู่คอนโดติดรถไฟฟ้ามากขึ้น
- เรากำลังจะเป็นสังคมสูงอายุ หุ้นกลุ่มสุขภาพต้องโต
- เงินจะมาอยู่ในรูปของดิจิตอลมากขึ้น
-
มีนักลงทุนรุ่นบุกเบิกทำกำไรจริง จากความต้องการของอะไรก็แล้วแต่นั้นจริงๆ
มีนักลงทุนกลุ่มแรกที่มองเห็นโอกาสเข้าไปลงทุน แล้วทำกำไรจากปัจจัยที่มีในข้อ 1 เป็นตัวอย่างความสำเร็จทำให้เริ่มมีคนหันมามองโอกาสตรงนี้มากขึ้น
-
เริ่มมีกระแสความนิยม มีคนสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น
ถึงขั้นประมาณนี้คนบางกลุ่มเริ่มมีความเชื่อ และก็จะเริ่มมีคนเข้ามาลงทุนมากขึ้นละ แต่คนส่วนใหญ่ก็จะยังระมัดระวังอยู่
-
คนรุ่นต่อๆมาทำกำไรจริง จากความต้องการใช้ของสิ่งนั้นที่สูงขึ้น + ความต้องการที่มาจากการเก็งกำไร
เริ่มมีคนทำกำไรหลายคนขึ้นเรื่อยๆ ราคาของนั้นเริ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กำไรเริ่มมาจากการอะไรที่ไม่ใช่ความต้องการใช้จริงของตัวทรัพย์สินนั้นละ เริ่มมาจากแรงซื้อเก็งกำไรของคนที่คาดหวังว่าราคาจะสูงขึ้นไปอีก
-
คนหมู่มากเกิดความเชื่อ
มาถึงจุดนี้คือคนทั่วไปเชื่อละ มาจากเหตุผลที่มีมูลจากข้อ 1 + เห็นคนนู้นคนนี้เค้ากำไรกันทุกคน เริ่มแห่เข้าไปลงทุน จากความระมัดระวังเปลี่ยนกลายเป็นความกลัวจะตกรถไฟพลาดโอกาส บางคนถึงกับเริ่มกู้เงินมาลงทุน
-
ราคาของสินทรัพย์นั้นสูงขึ้นจนเว่อร์
มาถึงจุดนี้คือมันเป็น feedback loop ละ คนที่เข้ามาเก็งกำไรทำให้ราคาสูงขึ้นไปอีก ราคาที่สูงขึ้นทำให้คนจำนวนมากขึ้นโลภมากขึ้นแล้วกระโดดเข้ามาซื้อ ก็เลยราคาสูงขึ้นไปอีก แล้วก็เลยทำให้คนกลุ่มใหญ่ขึ้นเข้ามาเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ตรงนี้เป็นจุดที่ความเสี่ยงพุ่งขึ้นสูงมากแล้ว
-
ปาร์ตี้เลิกตอนที่คนบ้าที่สุดคนสุดท้ายซื้อไป
มันจะมีจุดนึงที่ราคาสูงซะจนคนจำนวนมากเริ่มได้สติ และไม่มีใครกล้าเข้าไปซื้อแล้ว
-
คนคิดได้
หายบ้า และส่วนใหญ่ราคาก็จะเริ่มตกกลับมาสู่สภาวะปกติ เพราะคนส่วนใหญ่กลุ่มหลังๆที่ซื้อคือเพวกเก็งกำไร ไม่ได้มีเจตนาต้องการใช้ทรัพย์สินนั้นตั้งแต่แรก เช่น
- อินเตอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงโลกจริง แต่ไม่ได้แปลว่าบริษัทที่เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตจะกำไรทุกอัน ความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วแปลว่าวันนี้กำไรอยู่ดีๆ พรุ่งนี้อาจมีนวัตกรรมใหม่มาแทนก็ได้
- คนจะย้ายมาอยู่คอนโดใกล้แนวรถไฟฟ้ามากขึ้นจริง แต่คนที่จะย้ายมาอยู่คอนโดติดแนวรถไฟฟ้าก็มีจำกัด และที่สำคัญคอนโดเกิดใหม่ที่ขึ้นมาแข่งก็มีเยอะขึ้นเรื่อยๆ
- สังคมสูงอายุทำให้ธุรกิจสุขภาพโตก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าหุ้นโรงพยาบาลแพงแค่ไหนก็ได้
- เงินดิจิตอลอาจจะมาจริง แต่จะรู้ได้ไงว่าอันที่ชื่อ Bitcoin มันต้องเป็นผู้ชนะ
ที่เล่าให้ฟังเป็นขั้นตอนแบบนี้ ไม่ใช่ให้เราพยายามกะจังหวะเข้าไปเก็งกำไรนะครับ แต่ผมอยากให้เราเห็นวัฎจักร และคอยสังเกตเหตุการณ์รอบตัวเราไม่ให้เผลอไปแห่ลงทุนกับเค้าด้วย สังเกตเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคำพูดประมาณนี้ คุณต้องวิ่งหนีแล้ว เช่น
- ซื้อเลยยังไงอนาคตราคาก็ขึ้น
- ดีแน่นอน
- มันเป็นกระแสของโลกอนาคต
- คนอื่นที่ลงทุนเค้ากำไรกันเยอะแยะ
- ไม่มีความเสี่ยงเลยอันนี้
และ ฯลฯ อะไรที่คนส่วนใหญ่เชื่อประมาณว่า ไม่ต้องคิด ไม่ต้องกลัว ลงทุนเลย กำไรแน่นอน ประมาณนี้อ่ะครับ
จำไว้ว่า ยิ่งคนบ้าคลั่งราคายิ่งสูง ราคายิ่งสูงความเสี่ยงยิ่งสูง เราไม่ได้มาลงทุนเพราะเราต้องการความเสี่ยง เรามาลงทุนต้องการกำไรที่เยอะที่สุดโดยให้เสี่ยงน้อยที่สุด
วันนี้เอาเท่านี้ รอบหน้าเราจะมาพูดถึงเหตุการณ์ผิดปกติที่ทำให้ความเสี่ยงน้อยมากๆกันบ้าง