บัญชีพื้นฐาน 1: วิธีลงบัญชีแบบเกณฑ์เงินสดกับเกณฑ์คงค้าง

Basics in Accounting 1: Cash and Accrual Accounting

เคยมีคนถามผมอยู่เหมือนกันว่าถ้าจะลงทุนในหุ้นต้องรู้อะไรบ้าง ผมอยากจะบอกว่าสิ่งที่ควรต้องรู้อย่างหนึ่งก็คือพื้นฐานบัญชีเนี่ยแหละ ผมก็ไม่ได้เป็นนักบัญชีนะ แต่มันสำคัญเพราะพวกรายงานผลประกอบการกิจการที่เราจะซื้อเนี่ย มันเขียนด้วยวิธีการและภาษาทางบัญชีไงเลยไม่รู้ไม่ได้ ที่ผมเจอมานะครับ น้อยมากจริงๆที่เคยเปิดตัวงบการเงินของบริษัท ซึ่งก็หาได้ทั่วไปเป็นข้อมูลสาธารณะ คนไม่รู้เลยเสียเปรียบไงครับ เพราะฉะนั้นผมว่าคุณเริ่มต้นจากเข้าใจหลักการลงบัญชีเบื้องต้นก่อนดีกว่า

หัวข้อนี้เกี่ยวกับพวกการบันทึกรายได้รายจ่ายครับ วิธีลงบัญชีมีอยู่สองแบบ คือแบบบันทึกเกณฑ์เงินสด กับเกณฑ์คงค้าง โดยสองแบบนี้ก็จะให้ตัวเลขผลประกอบการออกมาแตกต่างกัน เพื่อความเข้าใจเราจะอธิบายไปยกตัวอย่างไปครับ

เราจะสมมติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามนี้

  • คุณขายของไปได้เงินมา 200 บาท และจ่ายค่าซื้อสินค้ามาขาย 100 บาท
  • คุณขายของไปมูลค่า 500 บาท แต่ลูกค้าตกลงว่าจะจ่ายในเดือนหน้า คุณจ่ายค่าซื้อสินค้ามาขาย 250 บาท
  • ลูกค้าจ่ายเงินที่ค้างจากเดือนที่แล้ว 500 บาท และยังจ่ายเงินเพิ่มอีก 200 บาท โดยบอกว่าเป็นการจ่ายล่วงหน้าสำหรับซื้อสินค้าในเดือนหน้า
  • จ่ายค่าซื้อสินค้ามาขาย 100 บาท สำหรับส่วนที่ลูกค้าสั่งซื้อไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว

ทีนี้เรามาดูวิธีบันทึกเกณฑ์เงินสดก่อน โดยไอเดียแล้วก็ตามชื่อวิธีการนี้คือให้ความสำคัญกับเงินสด บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นตามเงินสดอย่างเดียว  ได้ตามตารางแบบนี้ครับ

เกณฑ์เงินสด

เดือน 1

เดือน 2 เดือน 3

เดือน 4

รายได้

200 0 700

0

รายจ่าย

100 250 0

100

กำไร 100 -250 700

-100

แล้วทีนี้ก็จะเป็นบันทึกตามเกณฑ์คงค้าง โดยไอเดียคือวิธีนี้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางธุรกิจ บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นตามกิจกรรมที่ทำเป็นหลัก เช่นอย่างกรณีเดือนที่สองที่ขายของไปแล้ว 500 บาท แม้จะยังไม่ได้รับเงิน แต่วิธีการนี้จะลงว่าเป็นรายรับไปในเดือนนั้นเลย และอย่างเดือนที่สามก็จะไม่มีการบันทึกว่าเป็นมีรายได้หรือรายจ่ายเลย เพราะยึดตามกิจกรรมทางธุรกิจที่เกิดขึ้นเป็นหลักว่าลูกค้าเค้าซื้อของของเดือนที่ 4 ไม่เกี่ยวกับเดือนที่ 3 ซึ่งจะได้ตามตารางแบบนี้ครับ

 

เกณฑ์คงค้าง

เดือน 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน 4

รายได้

200 500 0

200

รายจ่าย

100 250 0

100

กำไร 100 250 0

100

ในบทความนี้คุณก็จะเห็นคร่าวๆละว่ามันมีสองวิธี รู้แล้วว่ามันต่างกันยังไง ทีนี้ในบทความต่อๆไปเราจะมาพูดถึงว่าเค้าใช้อันไหนในกรณีใดและเพราะอะไรกันครับ บทนี้เอาเท่านี้ก่อนผู้เขียนจะไปพักดื่มน้ำชา