ปกติเวลาผมสอนผมมักจะไม่มีโอกาสอธิบายหัวข้อนี้จริงจัง ทั้งที่อันนี้จะเป็นคำถามที่มักมีคนถามตอนช่วงท้ายๆสัมมนาเกือบทุกรอบ ก็เลยเดี๋ยวจะตอบไว้บนนี้ละกันครับ
โดยภาพรวมแล้ว ผมว่าการตัดสินใจขายของผมหลักการคล้ายนักลงทุนเน้นคุณค่าทั่วไปแหละ นั่นคือขายในกรณีเหล่านี้
- พลาด พลาดตั้งแต่ตอนวิเคราะห์กิจการเลย เช่น อาจจะเข้าใจลักษณะธุรกิจผิด เข้าใจความสามารถในการแข่งขันผิดไป หรือพลาดเรื่องพวกตัวเลขงบการเงินต่างๆ เช่น ลืมดูภาระผูกพันระยะยาวที่นอกงบบัญชี, ลืมเช็คว่ามีออกวอร์แรนต์ไว้เยอะมาก ฯลฯ
- พื้นฐานเปลี่ยน อันนี้อาจจะมาจากการเปลี่ยนแปลงที่เราไม่สามารถคาดการณ์แต่แรก เช่น ในอดีตร้านหนังสืออาจจะดีมาก แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนละคนซื้อหนังสือน้อยลงหันไปอ่าน e-book หรือถ้าวันนึงเกิดโลกพบวิธีใช้พลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่นแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้มีประสิทธิภาพ บริษัทน้ำมันก็จบละครับ
- ราคาสูงเกินไป ราคาที่ขึ้นมาสูงในที่นี้คือเมื่อเทียบกับกำไรของบริษัทและอัตราการเติบโตแล้ว ไม่คุ้มที่จะถือหุ้นบริษัทนี้ต่อไป
- มีโอกาสที่ดีกว่าโผล่มา อันนี้ก็ปกติ โอกาสดีมันโผล่มาเป็นระยะ ในบางครั้งสมมติเราถือหุ้นบริษัทหนึ่งมาซักระยะ มีกำไรบ้างแล้วแต่ไม่ถึงกับเต็มศักยภาพของกิจการ ถ้าบังเอิญมีโอกาสอื่นที่ดีมากๆโผล่มา บางครั้งผมก็ตัดสินใจขายครับ
ทีนี้สิ่งที่เราต้องทำกรณีเจอเหตุการณ์เหล่านี้คือ
กรณี 1
พลาดก็ต้องยอมรับว่าพลาด พิจารณาว่าที่พลาดนี่ส่งผลขนาดไหน พลาดรุนแรงแบบทำให้การประมาณการที่ทำมาไร้ประโยชน์เลยมั้ย หรือพลาดแค่ทำให้ผลตอบแทนที่คาดต่ำลง
ถ้าพลาดรุนแรงเรื่องการวิเคราะห์ตัวกิจการ จนเห็นสมควรไม่ต้องทำการประมาณการใหม่ ตัดสินใจขายทิ้งซะ
ถ้าพลาดเรื่องการประมาณการ ลืมทำนู่นนี่นั่น ตัวเลขผิด ฯลฯ ให้ทำการประมาณการผลตอบแทนใหม่ แล้วดูว่ารับได้มั้ย รับไม่ได้ก็ตัดสินใจขายดึงเงินทุนกลับมาเตรียมสำหรับโอกาสต่อไป
กรณี 2
พื้นฐานเปลี่ยนรุนแรง โดยเฉพาะประเภทที่ทำให้มีคู่แข่งกับบริษัทเราเยอะขึ้นเยอะ หรือกรณีที่ทำให้สินค้าหรือบริการของบริษัทเราตกยุคไปไม่ต้องใช้แล้ว อันนี้ขายอย่างด่วน ตัวอย่างกรณี Digital TV อย่างเนี้ย คู่แข่งโผล่ตรึม ไม่รู้ใครจะชนะล่ะ แต่ถ้าเราถือหุ้น MCOT หรือ BEC เราต้องรู้ตัวแล้วว่าแบบนี้หลอนแน่นนอน ยังไงมันต้องมีผลอยู่แล้ว มันเปิดการแข่งขันเยอะขึ้นเยอะน่ะครับ
กรณี 3
ราคาสูงเกินไป อันนี้ง่ายนะผมว่า อย่างปกติผมแนะนำให้ซื้อที่ราคาที่ให้ประมาณการผลตอบแทน 15% ใช่มั้ย สมมติเราซื้อมาละ หลายปีต่อมาราคาสูงขึ้นมาเยอะจนเราสงสัยว่ามันจะสูงเกิน ก็แค่ทำขั้นตอนเดียวกับตอนซื้อมาตอนแรกน่ะครับ อัพเดทข้อมูลจนถึงปีล่าสุด แล้วทำการประมาณการผลตอบแทนอีกที ดูว่าราคาปัจจุบันนี้คาดหวังผลตอบแทนไปในอนาคตกี่ %
อันนี้แล้วแต่คนละ แต่ผมว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผลตอบแทนที่คาดหวังต่ำเท่ากับหรือต่ำกว่าเงินฝาก 3% นะ ให้ขายเลยทันที เพราะแปลว่าซื้อที่ราคาปัจจุบันคาดหวัง 3% แล้วนักลงทุนจะซื้อไปทำไม เค้าก็ไปฝากธนาคารไม่ดีกว่าเหรอ แปลว่าหุ้นตัวนี้ราคาแพงเกินมาเยอะละ
กรณี 4
อันนี้ต้องเปรียบเทียบแล้วล่ะ สิ่งต้องทำคืออัพเดทข้อมูลให้เป็นปัจจุบันให้เรียบร้อยทั้งหุ้นที่เราถืออยู่ และหุ้นที่เรามองว่าเป็นโอกาสดี แล้วทำการประมาณการผลตอบแทนของสองอันนี้มาเปรียบเทียบกัน
คำถามคือ ผลตอบแทนคาดหวังของโอกาสใหม่ ต้องดีกว่าหุ้นเก่ากี่ % เราถึงจะยอมเปลี่ยน
อันนี้ก็แล้วแต่คนอีกน่ะแหละ ส่วนตัวผมใช้กฎ 7±2% นะ หมายความว่าโดยปกติถ้าผมจะเปลี่ยนจากหุ้นเดิมที่ดี ไปยังหุ้นใหม่ เมื่อหุ้นใหม่ผลตอบแทนที่คาดหวังดีกว่าหุ้นเดิม 7%
ที่เขียน ±2% คือถ้าหุ้นใหม่ลักษณะธุรกิจเข้มแข็งมาก ผมมีความสบายใจที่จะเป็นเจ้าของมากกว่าหุ้นเดิม ถ้าผลตอบแทนคาดหวังดีกว่าหุ้นเดิม 5% ผมก็เปลี่ยน แต่กลับกันสมมติผมว่าหุ้นเดิมลักษณธธุรกิจเข้มแข็งกว่า ไว้ใจได้มากกว่า ผลตอบแทนคาดหวังของหุ้นใหม่ต้องดีกว่าหุ้นเดิมอยู่ 9% ผมถึงจะยอมเปลี่ยน
เกณฑ์ของผมที่ใช้ก็ประมาณนี้ครับ ถ้าเคยเรียนด้วยกันมาแล้วผมว่าพวกคุณรู้แน่นอนว่าผมพูดถึงอะไรอยู่ กรณีที่ท่านผู้อ่านไม่ได้เคยเรียนด้วยกันมาก่อน ก็ขอให้อ่านเอาเข้าใจคอนเซปการตัดสินใจ แล้วเอาไปปรับใช้กับวิธีการของแต่ละคนเอาละกันนะครับ
Please note: I reserve the right to delete comments that are offensive or off-topic.