DCA (Dollar Cost Averaging) การลงทุนถัวเฉลี่ยต้นทุนคืออะไร
What is Dollar Cost Averaging?
DCA เป็นอีกหนึ่งวิธีการลงทุนที่หลายคนใช้อยู่ หากเราเข้าไปในธนาคาร อาจเคยได้ยินเจ้าหน้าที่ธนาคารชักชวนให้เราเจียดเงินทุกเดือนเท่าๆ กันซื้อหุ้นจำนวนหนึ่งหรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้น วิธีการนี้เรียกว่า DCA หรือ Dollar Cost Averaging หรือภาษาไทยคือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย
วิธีการนี้เป็นอย่างไร มีผลดีผลเสียอย่างไร เหมาะหรือไม่เหมาะกับใคร ลองรับชมกันได้เลยครับ
อัพเดต – Lookers (ครั้งที่ 2)
Update – Lookers (2nd time)
As of Feb 13, 2018 ราคาอยู่ที่ 87.05p
ผมเคยเขียนเกี่ยวกับหุ้นบริษัทนี้ไปเมื่อ July 8, 2017 http://www.adisonc.com/stock-in-my-focus-lookers/
ตอนนั้นก็ว่าน่าสนใจแล้ว ตอนนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีกเพราะราคาถูกลงไปกว่าช่วงนั้นอีกพอสมควร จากตอนผมเขียนถึงมันราคา 116.25p ตอนนี้ราคาถูกลงมากว่าตอนนั้น -23% ได้
ความเดิมตอนที่แล้ว
บริษัทนี้ราคาตกรุนแรงด้วยความกังวลว่ายอดขายรถจะตกเพราะปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงความกังวลเรื่อง Brexit ด้วย
มาถึงตอนนี้
ยอดขายรถใหม่ในอังกฤษก็ตกตามที่คนคาดไว้ โดยรวมทั้งปี 2017 เทียบกับปี 2016 จำนวนรถใหม่ที่ขายลดลง -5.7% และล่าสุดถ้าเทียบเดือนมกราคมปี 2018 เทียบกับ มกราคมปี 2017 จำนวนรถใหม่ที่ขายลดลง -6.3% ที่มาไปดูได้ที่ https://www.smmt.co.uk/vehicle-data/
เข้าใจว่าเลยเป็นเหตุให้ราคาหุ้นตกลงไปอีก
แล้วผมว่าไง
ตื่นเต้นดีใจเลยแหละ และซื้อหุ้นบริษัทนี้เพิ่มไปแล้วด้วย
ที่น่าสนใจคือ เมื่อเดือนกันยายน 2017 บริษัท Lookers ออกมาบอกว่ายอดขายเค้าเพิ่มขึ้นด้วยทั้งรถใหม่และรถมือสอง เพิ่มขึ้นทั้งจากยอดขายดีลเลอร์เดิมที่ตัวเองเป็นเจ้าของอยู่แล้วและเพิ่มจากดีลเลอร์ใหม่ที่บริษัทไปซื้อกิจการมา ในขณะที่ ณ เดือนกันยายน 2017 ยอดขายรถใหม่ของทั้งอุตสาหกรรมตกอยู่ -3.9%
แต่ยังไงก็ดีผมเชื่อว่าถ้ายอดขายรถตกทั้งอุตสาหกรรม ยังไงบริษัทนี้ก็ไม่รอด มันต้องมีผลกระทบบ้างอยู่แล้ว
ประเด็นสำคัญคือราคามันถูกเหลือเกิน อย่างตอนนี้มันราคา 89p ใช่มั้ยครับ แค่กำไรต่อหุ้นของครึ่งปี 2017 ก็ 9.07p ละ แปลว่าเฉพาะผลกำไรครึ่งปี อัตราส่วนกำไรต่อหุ้นเทียบกับราคาหุ้นก็ 10.11% ละ ถ้ากะเอาหยาบๆว่าทั้งปี 2017 กำไรเป็นประมาณ 18p (เดาเอาจาก 9.07 คูณ 2 ตรงๆ) อัตราส่วนกำไรต่อหุ้นเทียบกับราคาหุ้นก็เป็น 20.22% หรือก็คือ P/E บริษัทนี้อยู่ 4.94 เท่าแค่นั้นเอง
สมมติยอดขายรถตก เรากะเอาแบบเผื่อๆเลย เอาว่ากำไรปี 2018 ทั้งปีทำได้แค่เท่ากับปี 2017 ครึ่งปี ซึ่งคือ 9.07p ด้วยราคานี้ที่ 89p มันก็ถูกมากอยู่ดี (P/E อยู่ 9.81)
อัพเดท – Dignity (ครั้งที่ 2)
Update – Dignity (2nd time)
As of Feb 13, 2018 ราคาอยู่ที่ 783.70p
ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ Dignity Plc ไปเมื่อ December 2, 2017 http://www.adisonc.com/stock-in-my-focus-dignity/
ตอนนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีกเพราะราคาถูกลงไปอีกเยอะเลย จากตอนผมเขียนถึงครั้งที่แล้วราคา 1,624p ตอนนี้ราคาตกลงมาอีก -48% ได้ เลยต้องมาเขียนถึงเพิ่มเติมอัพเดทซักหน่อย
ความเดิมตอนที่แล้ว
หลักๆเลยสาเหตุที่ทำให้หุ้นบริษัทนี้ราคาตก เป็นเพราะความกังวลเรื่องการแข่งขัน ซึ่งทางผู้บริหารของบริษัทเป็นคนออกมาพูดเองเลยว่ามีคู่แข่งเข้ามาตัดราคาเยอะขึ้น
มาถึงตอนนี้
ผลประกอบการทั้งปี 2017 ออกมาไม่มีปัญหาอะไร แต่สิ่งที่คนตกใจคือเมื่อตอนเดือนมกราคม บริษัท Dignity ประกาศว่าปี 2018 จะมีการลดราคาค่าบริการจัดงานศพแบบประเภทพื้นฐานลงประมาณ 25% (ซึ่งถือว่าลดราคาเยอะอยู่นะ) และ จะไม่เพิ่มราคาค่าบริการจัดงานศพแบบเต็มรูป (งานประเพณีดั้งเดิม)
ทางบริษัทแจ้งชัดเจนเลยว่าด้วยผลจากการปรับราคาที่ลดลงเพื่อแข่งขันในตลาด ยังไงผลประกอบการปี 2018 คาดการณ์ว่าจะไม่ดีอย่างที่คาดกันไว้แต่แรก
ลองไปอ่านเพิ่มเติมดูเองได้ที่ https://www.dignityfunerals.co.uk/corporate/investors/news/press-releases/2018-01-19/1077/pre-close-trading-update-and-market-positioning/
แล้วผมว่าไง
ตื่นเต้นดีใจเลยแหละ เสียดายคือได้ซื้อไปบ้างแล้ว เลยซื้อเพิ่มไปอีกครับ
หลักๆเลยคือผมคิดว่าคนตกใจรุนแรงเกินเหตุ และราคาตอนนี้มันถูกเกินไป
- รายได้จากงานศพแบบพื้นฐาน คิดเป็นแค่ 20% ของรายได้จากธุรกิจรับจัดงานศพที่บริษัทจัดทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่ได้ใหญ่อะไรนัก ราคาที่ลดลง 25% แน่นอนทำให้กำไรน้อยลง แต่ก็อาจจะไม่ได้หายไปหมดซะทีเดียวเพราะด้วยราคาที่ลดลงก็เชื่อว่าจะขายได้ปริมาณมากขึ้น
- ราคาตอนนี้มันถูกเหลือเกิน กำไรครึ่งปีของ 2017 อยู่ที่ 5p เนื่องจากเต็มปียังไม่ออกเราลองประมาณดูก่อนสมมติว่าคูณสอง กำไรเต็มปี 2017 น่าจะอยู่ที่ 145p ด้วยราคาตอนนี้อัตราส่วนกำไรต่อหุ้นเทียบกับราคาหุ้นจะเป็น 18.5%
สมมติให้ปี 2018 ทั้งปีกำไรหดลง เหลือแค่เท่ากับครึ่งเดียวของปี 2017 ก็คือ 72.5p ด้วยราคาตอนนี้อัตราส่วนกำไรต่อหุ้นที่กะว่าลดแล้วเทียบกับราคาหุ้นจะเป็น 9.25% หรือคิดเป็น P/E 10.81 เท่า ซึ่งแปลว่าคิดแบบหยาบๆไม่ต้องทำ projection ประมาณการณ์อะไรซับซ้อน ด้วยราคานี้ต่อให้ปีหน้ากำไรบริษัทตกลงครึ่งนึงมันก็ยังถูกมากเลย
หุ้นที่ผมสนใจ – WPP
Stock in my focus – WPP
As of February 7, 2018 ราคาหุ้นอยู่ 1,237.98 p
บริษัทนี้คนแวดวงสื่อโฆษณาต้องรู้จัก กลุ่มบริษัท WPP เป็นผู้ให้บริการด้านสื่อสารการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และช่วงที่ผ่านมานี้ราคาตกรุนแรงทีเดียวจนเริ่มน่าสนใจ วันนี้ผมเลยมาพูดถึงให้รู้จักไว้ครับ
ลักษณะธุรกิจ
บริษัทนี้เริ่มต้นใน 1986 ทำธุรกิจให้บริการทำการตลาดแบบ Below-the-line ถายหลังขยายไปทำทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการตลาด
ปัจจุบัน WPP เป็นกลุ่มบริษัทที่ให้บริการด้านสื่อสารการตลาดให้กับลูกค้าทั่วโลก มีบริษัทลูกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในอุตสาหกรรมด้านต่างๆที่ผมเชื่อว่าคนทำงานสายงานนี้ต้องรู้จักแน่นอน เช่น
- กลุ่มออกแบบโฆษณา เช่น Ogilvy & Mather, Y&R, J. Walter Thompson
- กลุ่มวางแผนซื้อสื่อโฆษณา เช่น Mindshare, Maxus, Mediacom
- กลุ่มวิจัยการตลาด เช่น Milward Brown, TNS
- กลุ่ม PR ประชาสัมพันธ์ เช่น Burson-Marsteller, Cohn & Wolfe
- กลุ่มการตลาดตรง, ดิจิตัล เช่น Wunderman
แล้วที่ผ่านมาเป็นไง
ช่วง 10 ปีที่ผ่านบริษัทนี้ก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆจากการควบรวมกิจการและจากการเติบโตของเศรษฐกิจ มีช่วงที่ผลประกอบการแย่ลงบ้างอย่างช่วงปีหลังวิกฤติ 2008 ในอเมริกา แต่นั่นมันก็ค่อนข้างปกติเพราะช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีลูกค้าก็จะลดการโฆษณาลง
สาเหตุที่บริษัทนี้ทำได้ดีอย่างสม่าเสมอผมเชื่อว่ามาจากเรื่องชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของบริษัทลูกและการที่บริษัทมีการลงทุนเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ยิ่งถ้าบริษัทได้งานจากลูกค้าขนาดใหญ่ทำโปรเจคใหญ่บริษัทก็ยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างลูกค้ากลุ่มที่เป็นบริษัทใหญ่ๆใน Fortune 500 เวลาเปิดให้คนเข้ามาเสนองานเค้าก็จะให้ไม่กี่เจ้าเข้ามาแข่ง และส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ดังนั้นบริษัทที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วเคยรับงานขนาดใหญ่อยู่แล้วก็จะได้เปรียบ
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านโดยรวมแล้วนอกเหนือจากยอดขายที่สูงขึ้นแล้ว บริษัทยังสามารถขยายอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (Profit before interest and tax) ได้ด้วย เข้าใจว่ามาจากการรวบพวกแผนกงานหลังบ้านต่างๆเช่นบัญชีการเงินมารวมกันอยู่ที่สำนักงานใหญ่จุดเดียวทำให้ประหยัดมากขึ้น คุณ CEO (Sir Martin Sorrell) ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการควบคุมพวกเรื่องค่าใช้จ่ายการบริหารต่างๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ดีมาก
ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ
ราคาหุ้นตกต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้วปี 2017 ละ ตกจากแถว 1,900p ลงมาตอนนี้อยู่แถว 1,300p
สาเหตุหลักน่าจะมาจากเรื่องต่างๆต่อไปนี้
- ยอดขายต่ำลงถ้าไม่นับส่วนเพิ่มจากการควบรวมกิจการ หลักๆเลยมาจากทางโซนฝั่งอเมริกาที่ยอดขายต่ำลงเกือบ 5% ได้
- คนกังวลว่าจะโดน Google กับ Facebook เข้ามาแข่ง เพราะปัจจุบัน Google กับ Facebook มีความพยายามสร้างเครื่องมือให้คนที่จะโฆษณาสามารถจัดการการซื้อสื่อหรือโฆษณาได้ด้วยตัวเอง
- งบโฆษณาการตลาดเทไปทางดิจิตัลกับออนไลน์มากขึ้น และบริษัทที่เป็นพวกที่ปรึกษาด้าน IT อย่าง Accenture, Deloitte, IBM กับ PwC เข้ามาแข่ง
สำหรับเรื่องบริษัทลูกค้าลดการใช้จ่ายด้านโฆษณาหรือปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆผมไม่ค่อยห่วง เพราะเรื่องแบบนี้มันมีขึ้นลงเป็นระยะอยู่แล้วตามปกติ ยิ่งช่วงนี้เศรษฐกิจโลกเติบโต GDP กำลังซื้อคนเพิ่มขึ้นแทบจะทุกทวีป มันต้องทำให้บริษัทลูกค้าต่างๆเพิ่มการใช้จ่ายด้านโฆษณาการตลาดแน่นอนอยู่แล้ว
ส่วนเรื่อง Google กับ Facebook กับการที่คนย้ายไปดิจิตัลมากขึ้นทำให้การซื้อสื่อทำได้ง่ายขึ้นคนจัดการด้วยตัวเองได้มากขึ้นก็จริง แต่ด้วยการแข่งขันสุดท้ายมันก็ไม่ใช่วัดกันแค่ซื้อสื่อหรือเลือกคียเวิร์ดอย่างเดียว มันแข่งกันด้วยความคิดสร้างสรรค์การออกแบบวิธีการสื่อสารไอเดียให้น่าสนใจด้วย และนี่คือมูลค่าเพิ่มที่บริษัทในกลุ่ม WPP ทำได้ ยกตัวอย่างเช่น ad ที่ขึ้นมาไม่กี่วินาทีของ Youtube เป็นต้น แค่ไปจ่ายเงินให้ Google เอาเวลาโฆษณานี่ใครๆก็ทำได้ แต่การที่จะใส่ไอเดียลงไปในเวลาสั้นมากๆให้เกิดผลลัพธ์ขายของได้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
คู่แข่งใหม่จากฝั่งบริษัทที่ปรึกษา IT พวก Accenture, Deloitte, IBM กับ PwC ในอนาคตไม่แน่ แต่ในเวลาสั้นๆก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเรื่องความสร้างสรรค์มาแข่งกับบริษัทในกลุ่ม WPP ที่ทำพวกเรื่องงาน Creative และเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคมานานได้ เพราะว่าของพวกนี้มันสร้างด้วยไอเดียคนซะเยอะ แต่บริษัทกลุ่มที่ปรึกษา IT โดยรากฐานคือมาจากการสร้างและจัดการระบบให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดลดต้นทุน เน้น Efficiency ไม่ใช่ Creativity
ดังนั้นโดยสรุปผมเชื่อว่าบริษัทอย่าง WPP ที่ปัจจุบันก็โฟกัสไปที่การทำตลาดดิจิตัลมากขึ้น จะยังทำได้ดีต่อไปในอนาคตอีกนาน และด้วยเหตุผลว่าคนตกใจราคาตกลงมารุนแรง หุ้น WPP ก็เลยเป็นอะไรที่ผมให้ความสนใจมากในเวลานี้ครับ
เสริมสร้างฐานะทางการเงิน 13 – ตัดปัญหาเรื่องวินัย ซื้อกองทุนรวมแบบอัตโนมัติ
Improve your financial life 13 – Automate As Much As Possible
ปัญหาหลักอันดับหนึ่งที่ทำให้คนเงินไม่พอตอนเกษียณก็คือไม่ได้ออมเนี่ยแหละ แล้วสาเหตุที่คนไม่ได้ออมส่วนใหญ่ผมพบว่ามันเป็นเรื่องของการขาดวินัย บางคนใช้จ่ายเพลินควบคุมตัวเองไม่ได้ วางแผนไว้บางทีก็ยังมีหลุด ข่าวดีคือปัจจุบันมันมีวิธีแก้แล้วครับ นั่นคือการให้บริษัทจัดการลงทุนตัดบัญชีเราไปลงทุนให้แบบอัตโนมัติไปเลย
นึกถึงความง่ายดายในการสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพครับ เวลาเงินเดือนออกบริษัทที่เค้าจะหักเงินส่วนหนึ่งสมทบเข้ากองทุนทุกเดือนใช่มั้ย เราไม่ต้องทำอะไรเลยไม่มีความยุ่งยากใดๆทั้งสิ้น ไอเดียมันแบบนั้นเลยเพียงแต่คราวนี้เราเป็นคนไปบอกกับบริษัทจัดการกองทุนที่เราชอบด้วยตัวเอง แล้วอนุญาตให้เค้าหักเงินเราจากบัญชีธนาคารเลย
สิ่งที่มันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการลงทุนอัตโนมัติคือ
1. แก้ปัญหาเรื่องวินัย
ซึ่งตรงนี้หลายคนมีปัญหาทั้งที่รู้ว่าการออมสำคัญและเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่บางทีมันคุมสติไม่อยู่ไงเผลอใช้เงินนู่นนี่ไปก่อนทำให้เหลือเงินไว้ออมไม่พอกับเป้าหมาย ซึ่งมันก็ไม่ผิด เราแค่ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเราขาดวินัยและถ้าปล่อยให้ออมไม่พอไปเรื่อยๆเราจะมีปัญหาในอนาคต แล้วใช้เครื่องมือนี้ช่วยบังคับตัวเองไปเลย
2. ตัดปัญหาเรื่องการกะจังหวะ
หลายคนที่ซื้อกองทุนรวมติดความรู้สึกว่าจะต้องกะจังหวะซื้ออะไรซักอย่าง เอาจริงๆคือยังไงเราก็กะไม่ถูกดังนั้นไม่ต้องเสียเวลาเลยดีกว่า
3. มักจะได้ถูกกว่าคนซื้อปลายปี
คนส่วนใหญ่มันจะรอซื้อ LTF, RMF ตอนช่วงปลายปี ช่วงนั้นพอคนแห่ซื้อกันเยอะๆหน่วยลงทุนมันก็เลยมักจะแพง ส่วเราถ้าซื้อเฉลี่ยเท่ากันทุกๆเดือนแนวโน้มคือเราจะได้มาที่ราคาถูกกว่า
แล้วถ้าสนใจต้องทำอย่างไร
1. ศึกษาหากองทุนที่เราชอบ
เลือกก่อนว่าจะไปลงทุนกองไหนดี เลือกได้มากกว่าหนึ่ง
2. ติดต่อบริษัทจัดการกองทุนนั้น
เปิดเวปเค้าหรือโทรเข้าไปก็ได้ครับ แล้วบอกเค้าเลยว่าต้องการจะลงทุนซื้อหน่วยลงทุนแบบประจำ ถามเค้าว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง ผมเข้าใจว่ามีบริการแบบนี้ทุกบริษัทแหละ
3. กรอกแบบฟอร์ม
โดยปกติก็ให้รายละเอียดที่จำเป็นให้เค้านั่นแหละ ระบุชื่อกองทุนรวมที่จะให้ซื้อ, ข้อมูลตัวเรา, สั่งซื้อเป็นเงินเท่าไหร่, ซื้อทุกเดือนมั้ยหรือทุกสามเดือนหรือยังไง, ซื้อวันที่เท่าไหร่, หักเงินจากบัญชีธนาคารไหนเลขบัญชีอะไร ประมาณนี้
แนะนำอยู่อย่างนึงสำหรับคนที่ทำงานประจำคือ ให้เค้าตัดเงินวันที่เงินเดือนออกเลยครับ จะได้ชัวร์ว่าจะมีเงินอยู่ในบัญชีแน่นอนและเราจะได้กันเงินสส่วนหนึ่งไว้ออมแน่นอน ทำเพื่ออนาคตเราก่อนครับ
เสริมสร้างฐานะทางการเงิน 12 – ประเมินกองทุนที่เราลงทุนอยู่
Improve your financial life 12 – Review your mutual fund
ถึงแม้ว่าผมก็ไม่ค่อยถนัดหัวข้อนี้เพราะปกติลงทุนในหุ้นเลือกด้วยตัวเองมาโดยตลอด แต่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวนี้คนที่ลงทุนอยู่ในกองทุนรวมมีเยอะมาก กองทุนรวมเองก็มีหลายกองมาก และหลายคนเลือกกองทุนจากที่คนของธนาคารแนะนำโดยไม่ได้มีโอกาสเปรียบเทียบอะไรเลย วันนี้เราพูดถึงไอเดียในการประเมินกองทุนรวมกันครับ
ก่อนเริ่มต้องอธิบายนิดนึงว่าการประเมินกองทุนรวมเป็นอะไรที่ยากมาก ยากกว่าประเมินหุ้นแน่นอน เพราะอย่างหุ้นนี่คือเราพิจารณาตัวธุรกิจเป็นหลัก มันเห็นภาพได้จากลักษณะธุรกิจที่เค้าทำแนวโน้มต่างๆนู่นนี่ แต่กองทุนรวมมันคือเราเอาเงินไปฝากให้คนอื่นบริหาร แล้วคนอื่นคนนั้นถึงไปลงทุนจริงอีกที ซึ่งเค้าจะไปลงทุนเท่าไหร่อย่างไรเรารู้แค่คร่าวๆเท่านั้นจากนโยบายการลงทุนที่เค้าประกาศ แถมคนบริหารที่เป็นคนตัดสินใจก็เปลี่ยนคนได้ตลอดด้วยนะแม้ว่าจะเป็นกองทุนชื่อเดิมก็ตาม
เครื่องมือที่ดีที่สุดที่ผมรู้จักเป็นของ Morningstar ปกติบริษัทนี้เค้าดังเรื่องเปรียบเทียบกองทุนอยู่แล้ว มีที่เป็นของกองทุนรวมประเทศไทยด้วย ใช้เวปนี้เลยครับ ลองเข้าไปเล่นดู http://tools.morningstarthailand.com/th/fundquickrank/default.aspx?Site=th&LanguageId=th-TH
อย่างที่เห็น มันจะมีให้เราหาเปรียบเทียบได้หลายแบบมาก เวลาใช้ก็หาเริ่มจากประเภทกองทุนที่เราสนใจก่อน จะแบ่งตาม AIMC หรือแบ่งตามประเภทสินทรัพย์ที่ไปลงทุน หรือแบ่งว่าเป็น LTF, RMF ก็แล้วแต่เรา ทีนี้สิ่งที่เราควรพิจารณาประเมินกองทุนรวมมีเรื่องอะไรบ้าง ผมพูดถึงเกณฑ์ที่บริษัท Morningstar เค้าใช้ประเมินก่อนละกัน
-
People
คนที่บริหารกองทุนเป็นใคร เค้ามีความได้เปรียบกว่าคนอื่นอย่างไร มีประสบการณ์มาแบบไหนกี่ปี มีผลงานแบบไหนมา ตัวผู้บริหารกองทุนลงทุนเงินของตัวเองในกองทุนที่ตัวเองบริหารหรือเปล่า แล้วปกติมีการเปลี่ยนผู้บริหารกองทุนบ่อยหรือไม่
-
Process
นโยบายการบริหารการลงทุนของกองทุนนี้เปนอย่างไร ใช้วิธีลงทุนแปลกๆหรือเป็นวิธีที่ถูกพิสูจน์มาก่อนแล้ว แล้วตัวผู้บริหารกองทุนมีประสบการณ์บริหารนโยบายการลงทุนแบบนี้หรือเปล่า
-
Parent
บริษัทแม่ที่เป็นเจ้าของกองทุนนี้เป็นใคร ผู้บริหารกองทุนของบริษัทนี้เข้าออกบ่อยหรือเปล่า บริษัทมีแนวทางการบริหารแบบไหนมองระยะยาวหรือระยะสั้น คุณภาพของทีมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เป็นยังไง ไม่เคยมีประวัติทำผิดอะไรกับกลต.ใช่มั้ย เราจะฝากเงินของเราไว้ยาวๆกับบริษัทนี้ได้หรือเปล่า
-
Performance
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาภายใต้การบริหารของผู้บริหารกองทุนคนนี้เป็นอย่างไร ยิ่งถ้ามีประวัติผลงานนานหลายปีก็จะทำให้เราไว้ใจได้มากขึ้น เราอยากรู้ว่ากองทุนนี้ทำได้ดีหรือแย่กว่าตลาดในระยะยาวหรือในสถานการณ์ต่างๆ ถ้าเป็นไปได้เราอยากได้ความสม่ำเสมอในผลการดำเนินงาน
-
Price
ค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียให้กองทุนนี้เป็นอย่างไร มีค่าธรรมเนียมตอนเข้า-ออกมั้ย ค่าธรรมเนียมการบริหารเป็นเท่าไหร่ สูงกว่าหรือต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนอื่น
อย่างที่เห็นว่าเกณฑ์นี้ก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลอยู่ แต่ถึงเวลาทำจริงผมก็นึกไม่ออกว่าพวกเราที่เป็นนักลงทุนรายย่อยจะไปหาข้อมูลเรื่อง People, Process กับ Parent ได้ยังไง
โดยความเห็นส่วนตัวผมจะให้ความสำคัญเรียงตามนี้
-
ดู Price ก่อน
เพราะเป็นอะไรที่ชัวร์สุดละ เนื่องจากเราไม่มีทางรู้เลยว่าอนาคตกองทุนจะยังทำได้ดีเหมือนที่ผ่านมา แต่ที่ชัวร์คือค่าธรรมเนียมที่เราต้องจ่าย ดังนั้นผมจะเลือกกองทุนที่ค่าธรรมเนียมนู่นนี่นั่นต่ำไว้ก่อน ไม่เอากองทุนที่มีค่าธรรมเนียมเข้า-ออก
เวลาใช้เวป Morningstarthailand ในหมวดจัดลำดับกองทุน กดตรงหัวข้อ “ค่าธรรมเนียมและอื่นๆ” มันก็จะโหลดหน้าที่เน้นจัดลำดับตามค่าธรรมเนียมขึ้นมา
ให้ความสำคัญกับ Total Expense Ratio อันนี้คือค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นคิดเป็น % ก็คือเงินเรา 100 บาทจะหายไปกับค่าธรรมเนียมนู่นนี่นั่นกี่บาท กดให้มันเรียงตามค่านี้เลยก็ได้ ยิ่งน้อยยิ่งดี
หัวข้ออื่นอย่าง Management Fee, Max Initial Fee มันจะขึ้นเลขที่กองทุนนั้นประกาศไว้ว่าเป็นค่าสูงสุดที่อาจจะเก็บ เช่นถ้า Management Fee เขียนว่า 3% แปลว่ากองทุนนี้เค้าประกาศไว้ว่าค่าธรรมเนียมการบริหาร (Management Fee) สูงสุดคือ 3% แต่เก็บจริงอาจจะต่ำกว่านั้น ดังนั้นตรงหัวข้อพวกนี้อาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ พวกค่าธรรมเนียมเข้า-ออกเราต้องไปอ่านดูจากรายงานล่าสุดของตัวกองทุนนั้นๆว่าปัจจุบันเค้าเก็บจริงอยู่เท่าไหร่
-
แล้วมาดู Performance ประกอบอีกที
อันนี้ก็ดูประกอบเฉยๆแหละ ผลงานกองทุนในอดีตไม่ได้การันตีผลงานในอนาคตก็จริง แต่มันก็ใช้เป็นเครื่องบ่งชี้คร่าวๆได้บ้าง
เวลาจัดลำดับกองทุน กดดูภายใต้หัวข้อ “ผลตอบแทนระยะยาว” พยายามดูที่ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (แถวขวาสุด) หรืออย่างน้อยก็ย้อนหลัง 5 ปี (แถวที่สองจากขวา) เพราะบางกองทุนอาจจะอายุไม่ถึง 10 ปี
ตัวเลขนี้ก็ดูว่าอย่าให้มันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดก็เป็นใช้ได้ ต่ำกว่านิดเดียวเป็นจุดทศนิยมยังพอรับได้ แต่ถ้าต่ำกว่าเป็นหลาย % นี่ไม่ไหวนะ ถ้าให้ดีก็เลือกที่ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่อย่าลืมว่าผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องบ่งชี้อนาคต
ถ้าไม่ทราบว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของกองทุนแต่ละประเภทคือเท่าไหร่ ไปดูของเวป AIMC (สมาคมบริษัทจัดการลงทุน) หรือไม่ก็โหลดอันนี้เลย https://drive.google.com/open?id=1ylcPd-g90of-XX_oWrjcRKwR3rPSoZwK
ลองไปเล่นดูครับ แต่อย่าไปกังวลว่าจะต้องหากองทุนที่ดีที่สุด หาที่มันโอเคได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยนิดนึงก็ใช้ได้แล้ว
เสริมสร้างฐานะทางการเงิน 11 – แผนสำหรับคนที่เกษียณแล้วล่ะเป็นอย่างไร
Improve your financial life 11 – How Retirees Can Estimate How They're Doing
ถ้าสมมตินี่เราเกษียณแล้วและกำลังเริ่มดึงเงินจากส่วนที่สะสมไว้ยามเกษียณมาใช้ มาถึงตรงนี้จะพูดภึงการออมอะไรก็ไม่ทันแล้ว สิ่งที่ทำได้หลักๆเลยคือการควบคุมอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ คำถามสำคัญคือเราใช้จ่ายได้เท่าไหร่ถึงจะไม่ทำให้เงินเกษียณหมดเร็วเกินไป
จริงๆเรื่องนี้ถ้าจะเอาให้ดีเราอาจจะต้องหาที่ปรึกษาทางการเงินมาช่วยวางแผน เพราะสถานการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่โอเควันนี้เราจะพูดถึงหลักการพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องรู้เกี่ยวกับอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ เราจะคำนวณมันอย่างไร แล้วโดยปกติมันควรจะเป็นเท่าไหร่ดี
-
คำนวณหาอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ปัจจุบันของเรา
คำนวณโดยการรวบรวมรายจ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบปี จะทำการประมาณการเอาหรือจะใช้ของจริงเลยได้ก็ยิ่งดี จากนั้นหักรายได้ที่ได้ประจำจากแหล่งอื่นที่ไม่เป็นการดึงเงินจากส่วนที่สะสมไว้เกษียณมาใช้ เช่นเงินบำนาญชราภาพจากประกันสังคม, เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, บำนาญจากประกันชีวิต, รายได้จากปล่อยเช่าห้องคอนโด, ฯลฯ พอหักส่วนนี้ออก ตัวเลขที่ได้คือส่วนของค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องดึงเงินเก็บจากส่วนที่สะสมไว้มาใช้ เอาเลขตัวนี้ตั้งจากนั้นหารด้วยมูลค่าของเงินที่สะสมไว้ทั้งหมดก็จะได้อัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ของเรา
สมมติคนเกษียณต้องมีเงินใช้ปีละ 240,000 บาท ได้รับเงินบำนาญจากประกันสังคมปีละ 60,000 บาท เหลือส่วนที่ต้องดึงออกมาจากเงินที่สะสมไว้ปีละ 180,000 บาท ถ้าเค้ามีเงินสะสมไว้สำหรับเกษียณ 4,000,000 บาท แปลว่าคนนี้ก็จะมีอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ปีละ 4.5% แต่สมมติต้องดึงเงินมาใช้ปีละ 400,000 บาท อัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ก็จะเป็นปีละ 10%
-
ดูว่าอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ของเรามันสูงไปมั้ย
โดยปกติตัวเลขที่นิยมใช้กันเป็นมาตรฐานคือเริ่มต้นปีแรกที่ 4% แล้วจากนั้นค่อยๆปรับการใช้ตามความจำเป็นของเงินเฟ้อขึ้นไปในแต่ละปี มีงานวิจัยศึกษาหลายอันที่พูดถึงและยืนยันตัวเลขนี้ว่าเป็นตัวเลขอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ที่ค่อนข้างปลอดภัย
เหตุผลหลักคือสมมติคิดแบบหยาบๆใช้ปีละ 4% กว่าจะหมดก็ใช้เวลา 25 ปี ถ้าเราเกษียณตอนอายุ 60 ปี ก็จะหมดตอนอายุ 85 ปี หรือถ้าเกษียณเร็วอายุ 55 ปี เงินก็จะหมดตอนอายุ 80 ปี ซึ่งโดยคร่าวๆก็เป็นอายุเฉลี่ยของเราพอดี
เหตุผลที่สองคือ 4% เป็นตัวเลขที่ไม่สูงเกินไป ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเงินสะสมในแต่ละปีจะช่วยทดแทนส่วนที่เราใช้ไปได้บ้าง เพื่อให้เห็นภาพดูตัวอย่าง
ตัวอย่าง 1
ถ้าหลังเกษียณเราลงทุนเงินสะสมทั้งก้อน 100% ไว้ในกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป ซึ่งคาดหวังผลตอบแทนประมาณ 2.5%
ต้นปีจากเงิน 100 บาท เราถอนออกมาใช้ 4 บาททุกปีตามแผน มันจะเหลือ 96 บาท
เงิน 96 บาทต้นปี ในระหว่างปีลงทุนผลตอบแทนได้มา 2.5% ของ 96 บาทคิดเป็นเงิน 2.4 บาท
ปลายปีจะเรามีเงิน 98.4 บาท
ตัวอย่าง 2
ถ้าหลังเกษียณเราลงทุนเงินสะสม 80% ตราสารหนี้ 20% หุ้น ผลตอบแทนคาดหวังจะเป็นประมาณ 3.87%
ต้นปีจากเงิน 100 บาท เราถอนออกมาใช้ 4 บาททุกปีตามแผน มันจะเหลือ 96 บาท
เงิน 96 บาทต้นปี ในระหว่างปีลงทุนผลตอบแทนได้มา 3.87% ของ 96 บาทคิดเป็นเงิน 3.71 บาท
ปลายปีจะเรามีเงิน 99.71 บาท
จะเห็นว่าเงินของเรามันจะหายไปช้าลงถ้าเราลงทุนได้ผลตอบแทนดีขึ้น
-
ปรับอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ของเรา
มาตรฐานที่บอก 4% มันก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคนซะทีเดียว เราอาจจะปรับการดึงเงินมาใช้ของเราขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆอย่างอื่นเช่น
-
ระยะเวลาที่เหลือ
แผน 4% มันออกแบบมาสำหรับคนที่คาดว่าจะใช้ชีวิตเกษียณอยู่ต่อประมาณ 25-30 ปี ดังนั้นสมมติว่าถ้าเราคาดว่าเราจะมีชีวิตอยู่นานกว่านั้นไปอีก แปลว่าเราอาจจะต้องใช้น้อยกว่าปีละ 4% หรือสมมติถ้าเราอายุ 75 ปีแล้ว เราก็อาจจะไม่ต้องกังวลมากนัก ใช้เยอะขึ้นกว่า 4% ก็ได้
-
ลงทุนในอะไรหลังเกษียณ
แผน 4% จริงๆแล้วเค้าตั้งสมมติฐานว่าคนลงทุนผสม มีทั้งตราสารหนี้และหุ้น ไม่ใช่ตราสารหนี้อย่างเดียว เพราะเค้าต้องการจะเผื่อว่าเรามีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินหรืออะไรนอกเหนือจากที่ดึงไปใช้ปกติด้วย
ถ้าเราตั้งใจจะลงทุนตราสารหนี้อย่างเดียว เราอาจจะต้องดึงออกมาใช้น้อยกว่า 4%
-
เข้าใจไว้เสมอว่าแผนอาจจะต้องมีการปรับ โดยเฉพาะถ้าผลตอบแทนการลงทุนเปลี่ยนแปลง
อย่างสมมติถ้าคนเกษียณโชคร้ายดันไปเจอปีที่หุ้นตกรุนแรงตอนปีแรกๆที่เริ่มเกษียณพอดีแล้วไม่ได้ปรับลดการดึงเงินออกมาใช้ เงินกองทุนที่สะสมไว้มันลดไปเร็วกว่าที่คาด แล้วเหลือเงินสะสมน้อยลงสำหรับปีที่ตลาดฟื้นตัว ทำให้ในระยะยาวอาจจะเหลือเงินใช้น้อยกว่าแผนที่วางไว้
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คืออาจจะต้องมีการปรับตัวตามสถานการณ์บ้าง เช่นปีที่ผลตอบแทนทำได้น้อยเราก็ใช้ประหยัดหน่อย แล้วไปใช้เยอะขึ้นในปีที่ผลตอบแทนทำได้ดีแทน
สำหรับคนที่เกษียณแล้วผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ช่วยได้มากสุดประมาณนี้ อาจจะต้องไปปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มเติมอีกที ยังไงขอให้โชคดีครับ
บิทคอยน์กับเงินดิจิตัลสกุลต่างๆ
Bitcoin Craze
ช่วงนี้เริ่มจะโดนคนถามหัวข้อนี้หลายครั้งน่าจะเป็นเพราะมีคนสนใจเยอะ ดังนั้นเพื่อความชัดเจนผมเลยมาเขียนตอบเป็นบทความเอาชัดๆ ส่วนตัวผมคิดว่าตอนนี้บิทคอยน์และเงินดิจิตัลสกุลตั้งเองทั้งหลายเป็นฟองสบู่ และผมจะไม่ลงทุนหรือสนับสนุนให้ลูกศิษย์หรือใครก็ตามลงทุนในพวกนี้แน่นอน ด้วยเหตุผลอะไรเดี๋ยวผมพยายามเรียบเรียงอธิบายความคิดผมให้ฟังครับ
อย่างแรกต้องมาตั้งสติกันนิดนึงก่อนว่าสรุปบิทคอยน์กับเงินดิจิตัลทั้งหลายนี่มันคืออะไรกันแน่ มันเป็นทรัพย์สินที่โดยตัวมันเองมีค่าหรือเปล่า หรือมันเป็นทรัพย์สินที่มีค่าจากการที่คนสมมติมูลค่ามันขึ้นมา
ทรัพย์สินสำหรับผมมันจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆตามที่มาของมูลค่า คือ
-
ทรัพย์สินที่ตัวมันเองมีค่า เพราะทำประโยชน์อะไรซักอย่างก่อให้เกิดรายได้
เช่น ห้องคอนโด นึกภาพอย่างถ้าเราเป็นเจ้าของห้องคอนโดที่สามารถปล่อยเช่าได้ ทุกเดือนมีคนใช้ห้องที่เราเป็นเจ้าของ ผู้เช่าต้องจ่ายค่าเช่าให้เราทุกเดือนเนื่องจากเราเป็นเจ้าของห้องนั้น ดังนั้นห้องคอนโดเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าโดยตัวมันเอง เพราะตัวมันเองทำงานสร้างรายได้ให้เราได้
หรืออย่างหุ้น นึกภาพหุ้น CPALL ก็ได้ มันคือใบแสดงสิทธิ์ว่าเราเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทที่ทำ 7-11 เวลามีคนมาซื้อของและบริษัทมีกำไร กำไรส่วนหนึ่งนั้นเป็นของเรา บางส่วนของกำไรของเราก็ถูกปันผลออกมาเป็นเงินสดให้เรา บางส่วนก็สะสมเก็บไว้ในบริษัทไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มกำไรมากขึ้นในปีต่อๆไป ดังนั้นหุ้นเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าโดยตัวมันเอง เพราะมันทำงานสร้างรายได้ให้เราได้
ทรัพย์สินกลุ่มนี้เวลาขาย ราคาขายมันจะมาจากความสามารถในการสร้างรายได้เป็นหลัก บวกกับความนิยมของคนเป็นปัจจัยเสริม
-
ทรัพย์สินที่ตัวมันเองไม่มีค่า มูลค่ามาจากคนสมมติขึ้นมา
เช่น ของสะสม, เหรียญสะสม, ภาพวาด, ฯลฯ พวกนี้โดยตัวมันเองไม่ได้สร้างรายได้ มูลค่าขึ้นกับการที่คนให้มูลค่ามัน จะเพราะอยากได้หรือชอบหรือเก็งกำไรก็แล้วแต่
หรืออย่างค่าเงิน ไม่จำกัดว่าเป็นเงินดิจิตัลหรือเงินบาท, ปอนด์, ฯลฯ พวกนี้โดยตัวมันเองก็ไม่ได้สร้างรายได้ มีไว้เป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยนเฉยๆ มูลค่ามาจากคนสมมติเช่นกัน
ทรัพย์สินกลุ่มนี้เวลาขาย ราคาขายมันจะมาจากความนิยมของคนเป็นหลัก
ทีนี้บิทคอยน์และเงินดิจิตัลคืออะไร ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นสกุลเงิน เพียงแต่ว่ามีจุดเด่นบางอย่างเพราะใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการบันทึกธุรกรรมแค่นั้นเอง เพื่อความเข้าใจง่ายเอาเป็นว่าหลักๆแล้ว มันคือสกุลเงินที่ไม่มีการควบคุมโดยหน่วยงานรัฐ (เหมือนอย่างเงินบาทงี้ที่ควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย), ไม่อาศัยตัวกลางอย่างธนาคาร และยากต่อการปลอมแปลง ยังไงในรายละเอียดต้องขอให้ไปหาอ่านที่อื่นเอาไม่งั้นมันจะอธิบายยาวมาก
จริงๆมันจะมีเหตุผลทางเทคนิคอื่นที่ทำให้ผมไม่ไว้ใจจะลงทุนในกลุ่มพวกนี้ แต่สมมติตัดเหตุผลเหล่านั้นไป เอาสาเหตุหลักๆพอ สิ่งที่ทำให้ผมไม่ลงทุนในพวกนี้แน่นอนเรียงตามความสำคัญคือ
-
มูลค่าขึ้นอยู่กับการยอมรับของคน
เนื่องจากมันเป็นสกุลเงินน่ะครับ ประเด็นหลักของสกุลเงินคือเอาไว้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อของ
นึกภาพดูนะอย่างเช่นเงินบาท ทำไมเงินบาทถึงมีคนอยากได้ ก็เพราะถือเงินบาทไว้สามารถเอาไปซื้อของในไทยได้ไง อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวไทย หรือใครอยากจะมาซื้อของไทย ถ้ามีคนอยากได้เงินบาทเยอะๆก็จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
แล้วทำไมแบงค์กาโม่ไม่มีคนอยากได้ ก็เพราะถือแบงค์กาโม่ไปซื้อของแล้วคนไม่รับใช่มั้ยครับ
ดังนั้นบิทคอยน์หรือค่าเงินอะไรก็แล้วแต่จะมีค่า ก็ต่อเมื่อมีคนยอมรับมันเป็นสื่อการกลางการซื้อขาย
ซึ่งประเด็นนี้ ปัจจุบันบิทคอยน์เอาไปใช้ซื้ออะไรได้อยู่นะ แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกสินค้าหรือบริการออนไลน์ ของทั่วไปในชีวิตประจำวันที่ซื้อขายด้วยบิทคอยน์ได้ก็ยังน้อยมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะมีคนยอมรับแค่ไหน
ปัจจุบันบิทคอยน์ซื้ออะไรได้บ้าง ลองอ่านนี่ดู https://99bitcoins.com/who-accepts-bitcoins-payment-companies-stores-take-bitcoins/
-
มีเงินดิจิตัลใหม่โผล่มาได้อยู่ตลอด
สมมติเราบอกว่าอนาคตคนจะไม่ถือเงินสด เงินอยู่ในรูปดิจิตัลหมด ซึ่งแบบนั้นมันเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นแหละเพราะเทคโนโลยีมันไปในทางนั้นจริง และการจ่ายด้วยโทรศัพท์หรือการทำธุรกรรมออนไลน์ก็มีเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วทำไมต้องบิทคอยน์ ในเมื่อวันดีคืนดีก็มีคนอื่นโผล่มาทำเงินดิจิตัลอื่นเมื่อไหร่ก็ได้
บิทคอยน์ต่างกับบิทคอยน์แคชอย่างไร ใครบอกผมได้บ้าง หรือทำไมไม่ไปใช้เงิน Ethereum แทน หรือทำไมไม่ไปใช้ Ripple แทน หรือสกุลเงินอื่นๆในอนาคตที่อาจจะโผล่ขึ้นมา ในเมื่อสุดท้ายแล้วพวกนี้มันเป็นแค่สื่อกลางในการซื้อขายนี่ครับ มันมีความแตกต่างอะไรกันตรงไหนเหรอ
-
เสียเปรียบเงินสกุลหลักที่รัฐบาลให้การรับรอง
ผมนึกไม่ออกว่าในฐานะเป็นสื่อกลางการซื้อขายของ การซื้อขายด้วยบิทคอยน์สำหรับบุคคลทั่วไปแบบเรานี่มันได้เปรียบการซื้อขายด้วยเงินปกติตรงไหน ง่ายกว่าหรือปลอดภัยกว่าหรือค่าใช้จ่ายถูกกว่ายังไง
สุดท้ายเงิบบาท, ดอลล่าร์ หรือเงินสกุลหลักอื่นๆที่รัฐบาลของประเทศให้การรับรอง มันก็สามารถอยู่ในรูปแบบดิจิตัลได้เหมือนกัน ทุกวันนี้เวลาเราโอนเงินซื้อของนู่นนี่เราก็ทำได้ด้วยมือถือหรือออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย และเรื่องค่าธรรมเนียมก็ต่ำลงเรื่อยๆ อย่างประเทศไทยทุกวันนี้มี Prompt Pay โอนต่างธนาคารต่ำกว่า 5,000 บาทก็ฟรีแล้วด้วย แถมได้รับการรับรองโดยรัฐบาลว่าสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายด้วยนะ
มันมีเหตุผลหรือประเด็นอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ที่จะใช้บิทคอยน์หรือเงินดิจิตัลอื่น ซึ่งเท่าที่เห็นความได้เปรียบก็มีจะแต่เรื่องว่าไม่สามารถติดตามตรวจสอบธุรกรรมได้ ทำให้ขายของผิดกฎหมายหรือหนีภาษีได้
-
ตอนนี้คนส่วนใหญ่ที่ซื้อบิทคอยน์หรือเงินดิจิตัล ซื้อเพราะการเก็งกำไร
เท่าที่เห็นทั้งในข่าวหรือที่ถามคนทั่วไป คนให้ความสนใจกับว่าบิทคอยน์จะขึ้นต่อมั้ย Ethereum จะราคาขึ้นด้วยมั้ยปีนี้ ปีที่แล้วราคาขึ้นมากี่ % แล้ว ถึง $10,000 แล้ว หรืออะไรประมาณนี้ คนไม่ได้สนใจจะถือบิทคอยน์หรือเงินดิจิตัลเพราะจะไปใช้ซื้อสินค้าอะไร แล้วในข่าวเองก็แทบจะไม่มีใครพูดถึงว่ามีร้านค้าไหนรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์บ้าง มีแต่คนมาให้สัมภาษณ์ว่าราคาจะขึ้นต่อไปนะ หรือราคาน่าจะตกนะ วันนี้ราคาขึ้น วันนี้ราคาลง ฯลฯ
บรรยากาศแบบนี้มันบรรยากาศของเก็งกำไรชัดๆ ฟองสบู่แน่นอน คนกำลังเมากับความโลภ
ผมไม่รู้ว่ายังไง ในอนาคตต่อไปอาจจะมีคนใช้บิทคอยน์ซื้อของอยู่หรือไม่มีก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆตอนนี้นี่มันฟองสบู่นี่หว่า ช่วงเวลาที่คนแห่ซื้ออะไรซักอย่างโดยไม่สนใจว่าซื้อมาเพื่อทำอะไรสนใจแค่กะจะขายต่อให้คนอื่นได้แพงขึ้น ถึงจุดหนึ่งเมื่อไม่มีคนบ้ามาซื้อต่อ ราคามันก็จะหยุดแล้วคนก็จะเริ่มตกใจแห่ขายแทน อาการแบบนี้มันมีมาเยอะละครับ
ปิดสรุปสุดท้าย ถึงผมจะเชื่อว่ามันเป็นฟองสบู่นะ แต่มันไม่ได้แปลว่าราคามันจะขึ้นไปอีกไม่ได้ ราคาเงินดิจิตัลพวกนี้ปีนี้มันอาจจะขึ้นพรวดไปอีก ถ้าเราไปซื้อก็อาจจะกำไรก็ได้ แค่ผมขอให้เราตระหนักว่ากำลังเก็งกำไรอยู่และมีโอกาสเละละกัน เพราะเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็ววันหนึ่งคนจะหายบ้า และทรัพย์สินเก็งกำไรที่ตัวมันเองไม่มีมูลค่าแบบนี้ราคามันจะหล่นโครมลงมาเมื่อคนเปลี่ยนความคิด
ใครจะเข้าไปเก็งกำไรก็เชิญเลยครับ น่าจะตื่นเต้นได้ลุ้นดีนะ ส่วนตัวผมไม่ลงทุนในพวกนี้แน่นอน ผมไม่นิยมลงทุนในอะไรที่ผมไม่มั่นใจอย่างน้อย 80% ว่าจะกำไร แทนที่จะไปวัดดวงนั่งลุ้นกับพวกนี้ สู้ผมฉวยโอกาสซื้อหุ้นกิจการดีแล้วราคาตกรุนแรงเพราะคนตกใจ เอากำไรง่ายๆสบายๆไม่ดีกว่าเหรอ
หุ้นที่ผมสนใจ – CGN Power
Stock in my focus – CGN Power
As of January 6, 2018 ราคาหุ้นอยู่ 2.14 HKD
ดูเหมือนการหาหุ้นดีราคาถูกยังเป็นไปได้อยู่ คราวนี้ผมพูดถึง CGN Power ครับ เป็นหุ้นโรงไฟฟ้าในจีนที่ผลประกอบการทำได้ไม่เลวแต่ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ
ลักษณะธุรกิจ
บริษัทนี้ทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นหลัก ธุรกิจมีรายได้ 80% มาจากการผลิตและขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กำไรหลักของบริษัทก็มาจากธุรกิจขายไฟฟ้า ลูกค้าก็แน่นอนคือรัฐบาลจีน ซึ่งจริงๆผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทนี้ก็เป็นรัฐบาลจีนนั่นแหละ อดีตเป็นหน่วยงานของรัฐบาลมาก่อน
มีธุรกิจอื่นเสริมเช่นรับงานวิศวกรรมก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และงานบริการด้านเทคนิคให้กับคนอื่น แต่ธุรกิจนี้รายได้คิดเป็นประมาณ 20% เท่านั้น และคิดเป็นสัดส่วนกำไรก่อนภาษีไม่ถึง 2% ของบริษัท ดังนั้นธุรกิจส่วนนี้จึงไม่เป็นสาระสำคัญ มองข้ามไปได้เลย
แล้วที่ผ่านมาเป็นไง
CGN Power เพิ่งขายหุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อปี 2014 เท่านั้น ข้อมูลย้อนหลังก็เลยมีไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ถ้าเอาตามข้อมูลที่มีบริษัทนี้ก็ทำได้ดีทีเดียว
ที่บริษัทนี้ทำได้ดีเพราะว่า ส่วนหนึ่งมันเป็นธรรมชาติของธุรกิจโรงไฟฟ้าอยู่แล้วที่รายได้จะค่อนข้างสม่ำเสมอเนื่องจากโรงไฟฟ้าเดิมที่สร้างไปแล้วจ่ายไฟต่อเนื่องให้ภาครัฐ ทำให้บริษัทมีกำไรอยู่ตลอด ปัจจุบันส่วนแบ่งการตลาดของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ของบริษัทนี้อยู่ที่ 60% ของไฟฟ้าที่มาจากนิวเคลียร์ในประเทศจีนทั้งหมด
ความได้เปรียบหลักคาดว่าน่าจะเป็นเพราะ CGN Power เป็นรัฐวิสาหกิจ จึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นพิเศษด้วย ปัจจุบันบริษัทมีแผนกำลังสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่หรือเพิ่มเตาปฏิกรณ์ในโรงไฟฟ้าเดิมอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนแบ่งการตลาดของแผนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ที่รัฐบาลอนุมัติแล้วของบริษัทนี้อยู่ที่ประมาณ 56% ของแผนการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ทั้งหมดในประเทศจีน ซึ่งแปลว่าบริษัทนี้ก็จะยังคงบริษัทที่ทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในจีนเจ้าหลักต่อไป มีโอกาสกำไรเติบโตอีกในอนาคตค่อนข้างแน่นอน ตราบใดที่เศรษฐกิจประเทศจีนยังเติบโตอยู่และมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ
หลักๆเลยคือหุ้นมันถูก บริษัทที่ผ่านมาค่อยๆกำไรดีขึ้นแต่ราคาหุ้นอยู่ที่เดิม
และที่สำคัญคือ โดยแนวโน้มแล้วบริษัทควรจะทำได้ดีขึ้นต่อเนื่องและมีกำไรสูงขึ้นได้ต่อไปอีกในอนาคต ด้วยเหตุผลหลักๆดังต่อไปนี้
- ลูกค้าคือภาครัฐ ธุรกิจที่ได้สัมปทานแบบนี้กำไรสม่ำเสมอ
- โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถือเป็นพลังงานสะอาดประเภทหนึ่ง ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือเขม่าการเผาไหม้สู่ชั้นบรรยากาศเหมือนโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือเชื้อเพลิงอื่น ซึ่งเรื่องมลพิษทางอากาศเป็นเรื่องที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญมากในเวลานี้
- ในหมู่พลังงานสะอาด ปัจจุบันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะถูกกว่าพลังงานสะอาดประเภทอื่นอย่างลมหรือแสงอาทิตย์อยู่มาก
- ปัจจุบันบริษัท CGN Power มีโครงการที่กำลังก่อสร้างเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 80% ของที่ดำเนินการแล้วในตอนนี้ ดังนั้นสมมติว่าอัตราส่วนกำไรสุทธิใกล้เคียงเดิม ถ้ารายได้โต 80% กำไรของบริษัทก็น่าจะโตพอๆกัน แปลว่ากำไรโตได้อีกเยอะมาก
- การใช้ไฟฟ้าในจีนในระยะยาว 10 ปีข้างหน้า เชื่อว่าก็จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นกว่าวันนี้ ดังนั้นแผนในการขยายก็ไม่น่าจะล่ม
เรื่องที่ต้องระวังคือ เนื่องจากการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใช้ต้นทุนสูงมาก บริษัทนี้เลยมีสัดส่วนหนี้สินใหญ่มาก ถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงเช่นเตาปฏิกรณ์ระเบิดหรืออย่างอื่น ก็อาจจะทำให้เละได้เหมือนกัน เราต้องจำใส่ใจไว้ว่ามีความเสี่ยงตรงนี้
แต่ถ้านอกเหนือจากเรื่องหนี้สินที่ใหญ่แล้ว บริษัทนี้แค่ด้วยผลประกอบการปัจจุบันต่อให้ทำได้เท่าเดิมไปเรื่อยไม่ขยายก็ค่อนข้างราคาถูกอยู่แล้ว และยังมีโอกาสที่กำไรจะสูงขึ้นเรื่อยๆ มันก็เลยเป็นหุ้นที่ผมสนใจมากเป็นพิเศษครับ







