หุ้นกลุ่มประกันภัย

Insurance industry

หุ้นกลุ่มประกันภัย

#หุ้นประกันภัย #หุ้นประกัน #ธุรกิจประกัน 

ธุรกิจประกันมันจะแบ่งออกเป็นสองอันหลักๆคือประกันชีวิตกับประกันวินาศภัย  ธุรกิจที่ผมมีความเข้าใจมากหน่อยก็จะเป็นธุรกิจประกันภัยเพราะคนที่บ้านอยู่ในธุรกิจนี้

ธุรกิจนี้เค้าทำเงินจากอะไร

ไอเดียหลักๆคือบริษัทรับประกันภัยสัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่เกิดภัย (เงินที่จ่ายชดใช้ค่าเสียหายนี่เรียกว่าสินไหมทดแทน) ให้คนแลกกับการที่คนจ่ายเงินให้บริษัทประกันภัย (เงินนี่เรียกว่าเบี้ยประกันภัย)  บริษัทประกันภัยคาดหวังว่าการที่รวมความเสี่ยงของคนจำนวนมากไว้ด้วยกันมันจะเป็นการกระจายความเสี่ยงของบริษัทประกัน  เพราะทุกคนที่ซื้อประกันก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดภัยหมด  บางคนก็จะไม่เกิดภัยและบริษัทประกันก็จะไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย  ส่วนบางคนก็จะเกิดภัยและบริษัทต้องจ่ายชดใช้ค่าเสียหาย  ตราบใดที่โดยรวมแล้วเบี้ยประกันทั้งหมดที่เก็บมาจากทุกคนรวมกันมันใหญ่กว่าค่าสินไหมทั้งหมดที่ต้องจ่ายบริษัทประกันก็จะมีกำไร  ส่วนมองจากมุมของลูกค้าก็ได้ประโยชน์ด้วยเพราะมันทำให้ชีวิตมั่นคงมากขึ้น  จริงอยู่บางคนซื้อไปสุดท้ายไม่เกิดภัยอาจจะไม่ได้ใช้  แต่จริงๆแล้วคือไม่มีใครรู้ว่าชีวิตจะเกิดภัยหรือเปล่าและไม่มีใครอยากให้เกิด  การมีประกันภัยอยู่มันทำให้ชีวิตปลอดภัยมากขึ้นคาดเดาได้มากขึ้น

ความได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งของธุรกิจนี้คือเบี้ยประกันภัยมันจะเก็บมาก่อนที่จะต้องจ่ายค่าสินไหม  ดังนั้นบริษัทก็จะมีเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในมือที่สามารถเอาไปลงทุนได้  เงินนี่เค้าจะเรียกว่า float

โดยรวมแล้วบริษัทประกันภัยจะมีกำไรมั้ยมากหรือน้อยก็จะขึ้นอยู่กับว่ารับประกันแล้วต้องจ่ายค่าสินไหมขนาดไหน  มีเหลือพอคุ้มค่าใช้จ่ายอื่นๆหรือเปล่า  และระหว่างนั้นสามารถเอา float ไปลงทุนได้ดีหรือเปล่า

ธรรมชาติธุรกิจนี้

โดยคอนเซปต์มันฟังดูดีนะ  ธุรกิจนี้ก็เพียงแค่ต้องดูในอดีตว่าโดยเฉลี่ยแล้วความเสียหายต่อคนหรือต่อคันหรือต่ออาคารคือเท่าไหร่  แล้วก็แค่ตั้งราคาให้มันสูงพอคุ้มค่าสินไหมบวกค่าใช้จ่ายต่างๆแค่นี้ก็กำไรละนี่  แล้วยังมีกำไรจากการเอา float ไปลงทุนอีก  ธุรกิจก็ดูไม่ต้องลงทุนเครื่องจักรไม่ต้องผลิตอะไรเยอะแยะ  แค่พิมพ์กระดาษกรมธรรม์ออกมาแค่นั้นเอง  ดูเหมือนมีแต่ได้นะ

แต่เอาจริงๆคือมันเป็นธุรกิจยาก  เพราะจำนวนคู่แข่งมีเยอะ  ขายสินค้าเหมือนๆกัน  คนซื้อตัดสินใจก็มาจากราคาเบี้ยประกันเป็นหลัก  ดังนั้นโดยส่วนใหญ่ก็จะแข่งกันด้วยราคา  แล้วถ้าเกิดมีไอบ้าเจ้าไหนทำราคาต่ำจนเว่อร์อาจจะเพราะต้องการแย่งส่วนแบ่งตลาดเลยยอมขาดทุน  เจ้าอื่นก็ต้องตามไม่งั้นก็ต้องยอมไม่ขาย  ใครคิดอะไรใหม่ออกมาดูเข้าท่าคนอื่นก็สามารถลอกสัญญาทำสินค้าแบบเดียวกันออกมาได้แทบในทันที

นอกเหนือจากนั้นแล้วธุรกิจประกันภัยก็มักจะถูกควบคุมหรือมีกฎใหม่ๆที่มีผลกระทบออกมาโดยหน่วยงานที่กำกับดูแล  เช่นอย่างคปภ.ของไทยบางทีก็สั่งให้เพิ่มความคุ้มครองโดยไม่เพิ่มเบี้ย  เป็นการสร้างผลงานเอื้อประโยชน์ให้ประชาชน  ซึ่งก็เข้าใจได้แต่มันก็จะเป็นความซวยของบริษัทประกัน

วิธีสังเกตว่าบริษัทไหนดี

ธุรกิจนี้จะหาแบบดีกว่าคนอื่นมาๆก็จะยากนิดเพราะอย่างที่บอกว่าสินค้ามันเหมือนๆกัน  แต่ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้  โดยรวมมันต้องพึ่งพาผู้บริหารที่มีสติแหละ  เท่าที่ผมเคยเห็นบริษัทประกันภัยที่จะได้เปรียบก็มีเช่น

  1. บริษัทที่เลือกภัยได้ดีกว่าคนอื่น และพร้อมที่จะไม่รับถ้ามองว่ารับไปไม่กำไร  โดยปกติพวกนี้ก็ต้องมีความสามารถในการเลือกลูกค้าที่ดีกว่า  ถ้าทำได้ Loss ratio ก็จะต่ำกว่าคนอื่น  จุดสังเกตก็จะเป็นตัว Loss ratio นี่แหละ  ถ้าดูว่ารับประกันประเภทเดียวกันกับคู่แข่งแต่ Loss ratio ต่ำกว่าต่อเนื่อง  อันนี้เป็นสัญญาณที่ดีละ  และโดยปกติพวกนี้จะไม่ agressive พยายามจะโตพรวดพราดหรือแข่งราคาเพื่อแย่งตลาด
  2. บริษัทที่ทำประกันภัยแบบ niche จัด  บางบริษัทเค้ารับประกันภัยประเภทที่มีคนสนใจซื้อน้อยตลาดแคบ  ข้อดีคือคู่แข่งที่จะเข้ามาก็จะน้อยเพราะประกันมันเป็นประเภทที่ไม่ได้ขายได้เยอะ  มันก็เลยทำให้พวกที่ทำ niche นี่ตั้งราคาได้มากกว่า  และที่สำคัญคือถ้าบริษัทนี้เค้ารับประกัน niche มานาน  เค้าจะเริ่มรู้และมีข้อมูลว่าจะเลือกภัยยังไง  ความเสียหายจะประมาณเท่าไหร่  ก็จะทำให้ทำได้ดีกว่าคนอื่นเข้าไปอีก  ประกันแปลกๆที่ผมเคยเห็นก็เช่นรับประกันค่ายลูกเสือ, เรือยอร์ช, งานแต่งงาน, คนสอนขี่ม้า, โรงเรียนสอนดำน้ำ ฯลฯ
  3. มี captive market  คือมีช่องทางเอาลูกค้ามาจากไหนซักอย่างที่ได้เปรียบคนอื่น  เช่นบริษัทประกันญี่ปุ่นในไทย Sompo, Tokio Marine, Mitsui Sumitomo พวกนี้ได้ลูกค้าญี่ปุ่นส่วนใหญ่  ยังไงมันก็จะทำประกันกับสามเจ้านี่  ไม่ว่าจะมีเสนอราคาถูกกว่าแค่ไหนก็ตาม  หรือมีช่องทางธนาคารอย่างกรุงเทพประกันภัยก็จะได้งานจากลูกค้าธนาคารที่กู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ  แบบนี้ก็จะทำให้ธุรกิจได้เปรียบไประดับหนึ่งละ
  4. มีผลการดำเนินงานเข้มแข็งเงินสำรองเยอะ  สำคัญโดยเฉพาะกับพวกที่รับประกันทรัพย์สิน  บางบริษัทผู้บริหารเค้าเข้าใจธุรกิจรู้ว่าบางทีมันก็จะมีภัยใหญ่โตเกิดขึ้นได้  กรุงเทพประกันภัยนี่เป็นตัวอย่างบริษัทที่เข้าใจธุรกิจและมีเงินสำรองเยอะขนาดว่าปี 2554 น้ำท่วมใหญ่เค้ามีเงินจ่ายสินไหมได้  ในขณะที่เจ้าอื่นอาจจะต้องรอ reinsurer หรือบางบริษัทต้องระดมทุนเพิ่ม

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี