หุ้นวัฏจักร สังเกตจากอะไร ? ต้องหลีกเลี่ยงเหรอ ?

How to Spot a Cyclical Stock? And Must You Avoid Them ?

หุ้นวัฏจักร สังเกตุจากอะไร ? ต้องหลีกเลี่ยงเหรอ ?

หุ้นวัฎจักรคืออะไร ?

เอาจริงๆในความเห็นผมคือหุ้นเกือบทุกบริษัทมันก็มีความเป็นวัฏจักรแหละมากหรือน้อยเท่านั้นเองครับ  แต่เวลาที่เค้าพูดถึงหุ้นวัฎจักรนี่คือหมายถึงหุ้นที่ผลประกอบการและราคาหุ้นมีทิศทางดีขึ้นหรือแย่ลงมีความเกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจมากๆ

ดังนั้นหุ้นวัฎจักรชนะหุ้นที่ไม่ค่อยวัฎจักรในช่วงเศรษฐกิจดี  เพราะช่วงเศรษฐกิจดีหุ้นวัฎจักรก็จะผลประกอบการดีและราคาหุ้นขึ้นดีด้วย  แต่พอช่วงเศรษฐกิจไม่ดีหุ้นวัฎจักรก็จะแพ้หุ้นที่ไม่ค่อยวัฎจักรเพราะหุ้นวัฎจักรก็จะผลประกอบการแย่ตามและราคาหุ้นก็จะแย่ไปด้วย

 

ดูยังไงว่าเป็นหุ้นวัฎจักร ?

จริงๆมันก็หลากหลายนะ

สินค้าที่ไม่ได้จำเป็นต้องซื้อก็ได้เช่น การท่องเที่ยว, เครื่องประดับ, อาหารแพงๆ, ฯลฯ

สินค้าพวกที่ไม่ได้ต้องซื้อบ่อยๆเช่น บ้าน, เฟอร์นิเจอร์, รถยนต์, ฯลฯ

สินค้าที่เอาไปผลิตเป็นอย่างอื่นต่อเช่น เหล็ก, คอนกรีต, ฯลฯ

เทียบกับที่ไม่ใช่หุ้นวัฎจักรก็อย่างเช่น Coca-Cola, ยาสีฟัน, สบู่

 

ควรหลีกเลี่ยงหรือเปล่า ?

ไม่ได้ว่าต้องหลีกเลี่ยงหรืออะไรนะ  แค่ต้องเข้าใจว่าบริษัทพวกนี้มันจะรับผลกระทบเยอะช่วงเศรษฐกิจไม่ดีเท่านั้นเอง  ดังนั้นเวลาที่ดีที่ควรจะซื้อบริษัทกลุ่มนี้ก็คือช่วงเศรษฐกิจไม่ดีเพราะช่วงนั้นหุ้นมันจะตกเยอะและจะฟื้นกลับมาหลังเศรษฐกิจฟื้น  และอาจจะควรระมัดระวังไม่ไปซื้อตอนช่วงเศรษฐกิจดีที่บริษัททำได้ดีเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่องหลายปีเพราะราคามันมักจะสูงพรวดขึ้นไปเยอะจากความนิยมของคนเท่านั้นเอง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

อัตราคิดลด, Equity Risk Premium, เบต้า, Risk-Free, CAPM, Required rate of return คืออะไร หาจากไหน?

Discount Rate, Equity Risk Premium, Beta, Risk-Free, CAPM, Required rate of return, What are they and Where to Find Them?

อัตราคิดลด, Equity Risk Premium, เบต้า, RiskFree, CAPM, Required rate of return คืออะไร หาจากไหน?

อันนี้เป็นคำถามที่ต่อเนื่องมาจากวีดิโอหัวข้อ Discounted Cash Flow  มีคนถามว่าตัวเลข required rate of return on equity ที่ใช้คิดลด 13% นั่นมาจากไหน  ในวีดิโอนั่นผมสมมติตัวเลขขึ้นมาเฉยๆครับ ในวีดิโอนี้เรามาคุยกันในรายละเอียดเพิ่มเติมว่าตัวเลขนี้เอามาจากไหน

สาระสำคัญของตัว required rate of return on equity คือมันเป็นอัตราผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดที่นักลงทุนควรจะคาดหวังได้เพื่อให้ยินดีที่จะถือหุ้นนั้นๆ  ซึ่งมันก็ควรจะสอดคล้องกับระดับของความเสี่ยงของการถือหุ้นนั้นๆว่างั้นเถอะ ปกติก็จะมีวิธีหลักๆคือ CAPM กับ Multifactor model

  1. CAPM
  2. หลักการของ CAPM ก็คือบอกว่า 

    required rate of return on equity = Risk free rate + (Equity risk premium x Beta)

    Risk free rate หรือผลตอบแทนที่ไม่เสี่ยงเลยนี่ก็เอาจากพันธบัตรรัฐบาล  http://www.thaibma.or.th/EN/Market/YieldCurve/Government.aspx  ปัจจุบันก็ยังมีเถียงกันอยู่ว่าใช้ผลตอบแทนระยะสั้นหรือระยะยาว  แต่โดยปกติถ้าเอาไว้คิดลดเงินในอนาคตหลายปีก็จะนิยมใช้ระยะยาวให้สอดคล้องกัน  

    Equity risk premium หรือก็คือส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดหุ้นโดยรวมกับผลตอบแทนที่ไม่เสี่ยงเลย  มันมีวิธีได้มาหลักๆอยู่ 2 แบบคือใช้ Historical (ข้อมูลจริงดูย้อนหลัง) หรือไม่ก็ใช้ Forward-Looking (คาดการณ์อนาคต)  ซึ่งเอาจริงๆเราทำเองยากเพราะก็ไม่มีข้อมูลหรือไม่ก็ต้องนั่งเดาตัวแปรซึ่งลำบากชีวิต เราใช้ที่คนอื่นทำไว้แล้วละกัน อันนี้เป็นของคุณ Aswath Damodaran http://pages.stern.nyu.edu/~adamodar/New_Home_Page/datafile/ctryprem.html

    Beta หรือก็คือหุ้นที่เราดูอยู่โดยเฉลี่ยแล้วมีการขยับอย่างไรเมื่อเทียบกับตลาด  CAPM มองตัวนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าหุ้นเสี่ยงมากกว่าหรือน้อยกว่าตลาดโดยเฉลี่ย หาได้โดยการทำ Regression ซึ่งเราคงไม่ทำเอง  ไปดูได้บนเวป www.investing.com หรือ www.morningstar.com ก็ได้  สองอันนี้น่าจะเป็นข้อมูลรายเดือนระยะเวลา 5 ปีทั้งคู่

    ในตัวอย่างเราได้ว่า required rate of return ของ CPALL = 1.56%+(6.77%x0.78) = 6.84%

  3. Multifactor model
  4. อันนี้มันก็มีขึ้นมาหลังจากเค้าพบว่าการใช้ Beta ของ CAPM มันยังสะท้อนความเสี่ยงของหุ้นได้ไม่สมบูรณ์ก็เลยมีคนพยายามหาตัวแปรอื่นๆเข้ามา  ที่ดังก็จะมี Fama-French คือใช้ตัวแปร 3 ตัวคือ Equity risk premium, small-cap risk premium กับ value premium ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าถ้าจะต้องทำจริงๆจะเอาข้อมูลมาจากไหนนะ

 

จะเห็นได้ว่าการหา required rate of return on equity เอาจริงๆก็ไม่ได้มีวิธีการเดียวที่ชัดเจนขนาดนั้น  ดังนั้นก็อย่างที่บอกแหละว่าการประมาณมูลค่าของบริษัทยังไงมันก็ไม่มีวิธีไหนแม่น เราต้องเข้าใจข้อจำกัดมันและใช้มันให้ถูกต้องในฐานะเครื่องมือในการกะอย่างคร่าวๆครับ


 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตลาดจะลงต่อมั้ยหรือจะฟื้น? | ซื้อตอนนี้เลยมั้ยหรือรอก่อนดี? | ซื้อเยอะๆ หรือซื้อแค่นิดเดียวก่อน

General questions about how much to buy and whether to wait

ตลาดจะลงต่อมั้ยหรือจะฟื้น? | ซื้อตอนนี้เลยมั้ยหรือรอก่อนดี? | ซื้อเยอะๆ หรือซื้อแค่นิดเดียวก่อน

ช่วงนี้มีคนถามหลากหลายเรื่องควรจะซื้อหุ้นเลยมั้ยหรือควรจะรอ  หรือควรจะซื้อบางส่วนแล้วกันไว้บางส่วน หรือควรจะขายก่อนมั้ยแล้วค่อยกลับเข้าไปซื้อตอนราคาตกไปเยอะๆ  ฯลฯ วีดิโอนี้ผมรวบรวมคำถามลักษณะนี้มาตอบครับ

แต่เอาจริงๆเป็นอะไรที่ตอบยากมากเลยนะครับ  เวลาผมลงทุนเองก็มีคิดลังเลกับคำถามแบบนี้เหมือนกัน  บอกไว้ก่อนเลยว่าสิ่งที่ผมตอบมันจะเป็นความเห็นส่วนตัวเป็นหลัก  สิ่งที่ผมตอบคือจะพยายามช่วยจัดลำดับความคิดให้คุณเท่านั้นเอง ไม่ได้จำเป็นที่คุณจะต้องเชื่อหรือเห็นด้วยหรือทำเหมือนกันนะ  เพราะมันไม่มีใครรู้อนาคตไง และดังนั้นเรื่องพวกนี้มันก็เลยไม่มีถูกผิด มันมีแค่คุณสบายใจจะทำแบบไหนเท่านั้นเอง

 

ตลาดหุ้นจะตกต่อมั้ยหรือว่ามันจะฟื้น ?

คำตอบ : ผมไม่รู้ครับ  และไม่มีใครรู้จริงๆหรอกครับ  ทุกคนก็ได้แต่เดาเท่านั้น

ถ้าสมมติต้องให้เดาจริงๆ  ในความเห็นผมคือเชื่อว่าน่าจะตกต่อนะ  หลักๆแล้วเพราะการระบาดในอเมริกายังไม่จบและน่าจะรุนแรงมากขึ้น  หุ้นตลาด US ก็น่าจะตกและทำให้ตลาดหุ้นอื่นทั่วโลกผวาไปด้วย กับเหตุผลรองลงมาคือคิดว่าผลของ lockdown หรือการให้คนอยู่กับบ้านจะมีผลกับธุรกิจหลายอย่าง  ซึ่งถึงแม้จะเชื่อว่าชั่วคราวแต่ก็คิดว่าน่าจะรุนแรงอยู่ ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาน่าจะเละ

 

ควรจะซื้อหุ้นตอนนี้เลยมั้ย  หรือควรจะรอให้มันตก ?

คำตอบ : เราต้องมีเกณฑ์ในใจและยึดปฏิบัติตามนั้นครับไม่งั้นเราจะงงมาก  เนื่องจากเราไม่รู้เลยว่าหุ้นจะตกต่ำลงไปอีกจริงหรือเปล่า แล้วสมมติเกิดว่ามันตกลงมาเพิ่มละ  แล้วตรงนั้นควรจะซื้อเลยมั้ย มันก็จะถามไปได้เรื่อยๆไม่มีวันจบถ้าเราไม่มีเกณฑ์ในใจว่าสรุปราคาที่เราอยากได้คือเท่าไหร่กันแน่  มันต้องกำหนดเกณฑ์ตัวนี้ให้ได้น่ะครับ

คำว่ากำหนดเกณฑ์นี่คือมันจะเป็นตัววัดอะไรก็ได้เลยที่คุณตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรจะ take action อะไรหรือเปล่า  เอาที่มันสมเหตุสมผลสำหรับคุณก็คือใช้ได้ เช่น

  • บางคนอาจจะใช้ตัวมูลค่าที่แท้จริงที่มาจากการทำ Discounted Cash Flow เป็นตัววัด  และเกณฑ์คือจะเริ่มซื้อถ้าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่คิดได้ซัก 20% และอาจจะซื้อเพิ่มถ้ามันตกลงไปอีก
  • ตัวผมใช้ Projected Return หรือผลตอบแทนคาดหวังเป็นตัววัด  เกณฑ์คือถ้าหุ้นเป็นบริษัทที่เราชอบธุรกิจและผลตอบแทนคาดหวังของการถือหุ้นนี้สูงกว่า 15% ต่อปีก็จะเริ่มซื้อ
  • คุณพ่อผมใช้ Average P/E ของทั้ง SET ย้อนหลัง 10 ปีเป็นตัววัด  และเกณฑ์คือถ้า P/E ปัจจุบันของ SET ต่ำกว่า Average P/E นั้นเค้าจะเริ่มซื้อกองทุนดัชนี SET  และจะเริ่มซื้อมากขึ้นแบบ accelerated ถ้ายิ่ง P/E ปัจจุบันต่ำกว่า Average P/E เยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • บางคนก็อาจจะใช้ตัววัดคือราคาตกจาก peak กี่ % ภายในระยะเวลาเท่าไหร่  เกณฑ์อาจเป็นถ้าราคาตกจาก peak ก่อนหน้านี้ 20% ภายในระยะเวลา 1 ปีจะเริ่มซื้อ
  • บางคนอาจจะใช้ Dividend Yield เป็นตัววัด  เกณฑ์คือต้องเป็นธุรกิจที่ชอบและที่ผ่านมาจ่ายปันผลทุกปีและถ้า Dividend Yield สูงกว่า 4% จะเริ่มซื้อ

อะไรแบบนี้เป็นต้น  สรุปคือเกณฑ์มันจะเป็นอะไรก็ได้เลยเอาให้เราเป็นคนกำหนดเองและยึดปฏิบัติตามได้ก็โอเคละ  และด้วยเกณฑ์ที่ชัดเจนนี้คำถามที่บอกว่าตอนนี้ควรซื้อเลยมั้ยหรือรอมันก็จะหายไป ถ้ามันถึงเกณฑ์ของคุณแล้วคุณก็ซื้อและถ้ามันยังไม่ถึงเกณฑ์คุณก็รอต่อไปก็เท่านั้นเอง

 

แล้วถ้าซื้อ  ควรซื้อแค่นิดเดียวแล้วรอตกเพิ่มมั้ยหรือซื้อเยอะๆไปเลยดี ?

คำตอบ : อันนี้แล้วแต่  ผมแนะนำให้ลองถามตัวเองดูว่าระหว่างอันไหนจะเซ็งมากกว่ากัน

  1. ซื้อนิดเดียวแล้วมันไม่ตก  ราคากลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว  อดซื้อหรือซื้อได้น้อย
  2. ซื้อเยอะแล้วมันตก  ซื้อเพิ่มได้น้อยเพราะเงินเหลือไม่เยอะ  พลาดโอกาสซื้อของดีราคาถูก

พอรู้ตัวว่าอันไหนแย่กว่า  ก็ทำตัวสอดคล้องน่ะแหละครับ  อย่างสมมติถ้าเป็นผม ผมรู้ตัวเลยว่าจะเซ็งกว่ามากถ้าซื้อไว้นิดเดียวแล้วปรากฎว่าราคามันขึ้นพรวดไปแล้วอดซื้อ  เพราะผมมองว่าโอกาสตลาดตกแบบนี้มีไม่บ่อยหลายปีจะมีทีนึง และต่อให้เราซื้อมาแล้วราคามันตกไปอีกก็ไม่เป็นไรมากเพราะซื้อตอนนี้ก็กำไรดีมากละ  ดังนั้นผมก็จะเทไปทางซื้อเยอะไว้ก่อนให้ไม่ต้องเสียดายทีหลัง มีเก็บเงินสดไว้ซื้อเพิ่มอีกไม่เยอะประมาณ 20-30% ของเงินสดทั้งหมดที่มีตอนแรกไว้ซื้อเพิ่มเผื่อที่ซื้อไปแล้วตกลงไปอีกซัก 15-20% หรือไม่งันก็ซื้อหุ้นอื่นที่ตอนแรกอาจจะยังตกไม่เยอะแต่อาจตกเยอะจนน่าสนใจในภายหลัง

ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็แนะนำว่าทำที่คุณรู้สึกสบายใจแหละ  และถ้าเป็นไปได้กำหนดกฎเอาไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะซื้อกี่ % ของเงินที่มี  สำรองไว้ซื้อตอนถูกลงกี่ % แล้วที่ว่าถูกลงจะซื้อเพิ่มนี่คือถูกลงแค่ไหน  ซื้อเพิ่มแต่ละครั้งซื้อเท่าไหร่ แบบนี้เมื่อเวลาสถานการณ์จริงเกิดขึ้นจะได้ไม่ต้องสับสนคิดเยอะ

 

ช่วงนี้ตลาดตก  ควรจะขายหุ้นออกมาก่อนแล้วกลับเข้าไปซื้อใหม่ตอนมันตกมามั้ย ?

คำตอบ : คล้ายๆกับข้อข้างบน  ก็คือในเมื่อไม่มีทางรู้อนาคต  ก็ลองถามตัวเองว่าอันไหนรับไม่ได้มากกว่ากันระหว่าง

  1. ขายแล้วปรากฎว่ามันไม่ตก  ราคากลับขึ้นไป อดซื้อกลับเข้าไปหรือไม่ก็ซื้อกลับมาแพงกว่าเดิม
  2. ไม่ขายแล้วปรากฎว่ามันตกลงไปอีก  เสียโอกาสตรงที่ถ้าออกมาก่อนก็จะมีเงินสดเยอะขึ้นและกลับเข้าไปซื้อได้ถูกลง

อันไหนรู้สึกแย่กว่าก็อย่าไปทำอันนั้น  อย่างถ้าเป็นผมนี่เคยเจอประสบการณ์ตรงเลยว่าขายหุ้นบริษัทนึงออกมาด้วยความเชื่อว่าเดี๋ยวราคามันจะตกลงมาอีกแล้วน่าจะได้ซื้อราคาถูกลง  ตอนนั้นขายมีกำไรประมาณ 15% ผลปรากฎว่ามันไม่ตกและผมก็พลาดหุ้นที่ถ้าถือจะกำไร 4 เท่าไป หลังจากนั้นมาเลยมีนโยบายว่าจะไม่เดาทิศทางตลาดหรือขายบริษัทที่เราคิดว่าซื้อมาถูกต้องแล้วแค่เพราะหวังว่าจะซื้อได้ถูกลงละครับ

แต่แน่นอนว่าคุณก็ไม่ต้องทำตามผมก็ได้  อาจจะขายบางส่วนเก็บไว้บางส่วนก็ได้ เอาที่ทำแล้วรู้สึกว่าสบายใจก็ทำอันนั้นแหละ  ไม่มีผิดไม่มีถูกอยู่แล้วครับเรื่องนี้

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตลาดหุ้นไทย SET ตอนนี้ถูกแล้วหรือยัง ? จะดูจากอะไร ?

Is SET cheap at the moment ? How to know ?

ตลาดหุ้นไทย SET ตอนนี้ถูกแล้วหรือยัง ? จะดูจากอะไร ?

ก็ถ้าถามผมก็คิดว่าตอนนี้ราคาถูกนะ  แต่สมมติถ้าเอาแบบไม่อาศัยความรู้สึกจะดูยังไง  ผมก็เสนอว่าให้ดู P/E ของทั้ง SET ตอนนี้เทียบกับ P/E เฉลี่ยของ SET ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาดีมั้ยครับ  จะได้ทำให้เราเห็นภาพคร่าวๆว่าตอนนี้ตลาดหุ้นโดยรวมราคาถูกแล้วหรือยัง

อย่างแรกไปดู P/E ปัจจุบันของ SET ก่อน https://marketdata.set.or.th/mkt/marketsummary.do?language=th&country=TH

แล้วก็เทียบกับช่วงที่ผ่านมา  สามารถไปโหลด P/E ย้อนหลังของ SET ได้ที่ https://www.set.or.th/en/market/market_statistics.html

ตัวเลขที่ได้คือ

P/E ปัจจุบัน (วันที่ 24 มีนาคม 2020)11.99 เท่า
P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ตั้งแต่ปี 2015)18.81 เท่า
P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (ตั้งแต่ปี 2010) 17.27 เท่า
P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปี (ตั้งแต่ปี 2000)14.13 เท่า

 

แบบนี้ก็น่าจะสรุปได้ว่า SET ในเวลานี้ถูกเมื่อเปรียบเทียบกับเฉลี่ยช่วงหลายปีที่ผ่านมา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านับช่วง 5-10 ปีนี้ ซื้อ SET ตอนนี้ก็เหมือนมี discount เยอะอยู่

เทียบกับเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี-36.26%
เทียบกับเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี-30.57%
เทียบกับเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปี-15.15%

 

ใครอยากดูเทียบด้วยอัตราส่วนอื่นอย่าง P/BV หรือ Dividend Yield ก็ลองทำดูก็ดีนะ  ข้อมูลก็เอาจากหน้าเดียวกันนี่แหละครับ

แต่บอกไว้ก่อนว่าคำว่า SET ตอนนี้ถูกไม่ได้แปลว่า SET มันจะไม่ตกไปอีก  มันอาจจะถูกลงไปอีกก็ได้ ในตารางเราก็เคยเห็นว่ามีบางช่วงที่ P/E ของ SET ต่ำเลขตัวเดียวก็มี  ไม่มีใครบอกได้ว่าจะต่ำสุดที่เท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้ถือว่าหุ้นโดยรวมราคาถูกแล้วและเป็นเวลาที่ดีที่จะซื้อหุ้นครับ  ถ้าขี้เกียจเลือกจะซื้อกองทุนรวม SET100 หรือ SET50 เลยผมก็เชื่อว่าในอนาคตผลลัพธ์จะออกมาดีกว่าอยู่เฉยๆแน่นอนครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

วิธีประเมินมูลค่าหุ้น อันไหนดีสุด ?

What is the best valuation method ?

วิธีประเมินมูลค่าหุ้น อันไหนดีสุด ?

มีคนถามเกี่ยวกับวิธีประเมินมูลค่าหุ้นว่าวิธีไหนดีสุด  วันนี้เราเลยถือโอกาสอธิบายให้เห็นภาพว่าวิธีประเมินมูลค่าหุ้นมันมีอะไรบ้าง  แต่ละอันต่างกันอย่างไร และวิธีไหนดีที่สุดครับ  

หัวข้อนี้เป็นเนื้อหาที่ผมสอบ CFA Level 2 ผ่านไปแล้วพอดี  ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้มันเยอะเนื้อหามีเป็นเล่มเลยครับ แต่ผมจะพยายามอธิบายมันคร่าวๆละกันนะ

วิธีประเมินมูลค่าบริษัทมันจะแบ่งเป็น

  1. Income approach หรือ Present value models
  2. ไอเดียหลักคือมูลค่าของทรัพย์สินมันควรจะคิดจากผลประโยชน์ที่เราคาดว่าจะได้รับจากการที่เราเป็นเจ้าของมัน  ดังนั้นถ้าเราประมาณการผลประโยชน์ที่เราคาดว่าจะได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วคิดลดผลประโยชน์เหล่านั้นทั้งหมดกลับมาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน  ตัวเลขที่ได้มาจากการคำนวณก็ควรจะเป็นมูลค่าของทรัพย์สินนั้น

    วิธีการกลุ่มนี้มันก็จะมีแยกย่อยออกไปอีกและแต่ละวิธีก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก  อันหลักๆที่ได้รับความนิยมก็จะเป็น

    • คิดลดตัวปันผล (Discounted Dividend)  ตรงไปตรงมาสุด ข้อมูลมีอยู่แล้วด้วย แต่มันก็จะมีปัญหากับบริษัทที่ไม่จ่ายปันผล  หรือจ่ายปันผลห่างจากกำไรสุทธิที่ทำได้เยอะมาก
    • คิดลดความสามารถในการจ่ายปันผล (Discounted Free Cash Flow)  Free Cash Flow นี่หมายถึงกระแสเงินสดที่มาจากการดำเนินงานและหักส่วนที่ต้องใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนและลงทุนในสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจแล้ว  อันนี้ก็ออกมาแก้ความเสียเปรียบของการคิดลดตัวปันผล ในทางคอนเซปต์ก็เหมาะสมมากใช้ได้กับหุ้นที่จ่ายและไม่จ่ายปันผล แต่ข้อเสียคือข้อมูลมันไม่มีต้องทำการบ้านเยอะ  ปกติที่ต้องใช้การเดาอยู่แล้วยิ่งต้องเดาเยอะขึ้นไปอีก มีทำกัน 2 แบบหลักๆคือคิดลดตัว Free Cash Flow to Equity กับ Free Cash Flow to the Firm  

    สำหรับคนต้องการรายละเอียดวิธีทำเราเคยมีอธิบายไว้ในวีดิโออื่น

    https://youtu.be/vNQ7KMoAZDY

    https://youtu.be/GJwSPsFFdWg

    https://youtu.be/t5nIoL5-GiE

    โดยภาพรวมของวิธีการนี้ข้อดีคือหลักการมันถูกต้องสุดละ  แต่ข้อเสียคือมันมีตัวแปรที่ยากมากอยู่สองเรื่องคือการประมาณการผลประโยชน์ที่เราคาดว่าจะได้รับในอนาคต  และอัตราผลตอบแทนที่ใช้ในการคิดลดซึ่งโดยหลักการแล้วควรจะต้องเป็นผลตอบแทนที่สะท้อนความเสี่ยงของทรัพย์สินนั้นซึ่งก็มีหลายทฤษฎีอีกว่าควรจะคิดมายังไง

     

  3. Market approach หรือ Pricing multiples
  4. ไอเดียหลักมาจาก Law of one price ซึ่งบอกว่าของที่เหมือนๆกันในตลาดก็ควรจะมีราคาขายเท่าๆกัน

    หรือว่าง่ายๆคือวิธีการก็คือดูว่าโดยเฉลี่ยกลุ่มบริษัทหรือกลุ่มทรัพย์สินที่ลักษณะใกล้เคียงกับอันที่เราสนใจมันขายกันอยู่ในตลาดเท่าไหร่แล้วมาเทียบกันกับอันที่เราสนใจ  วิธีการกลุ่มนี้ก็มีหลากหลายเช่นกัน แต่ที่นิยมใช้ส่วนใหญ่ก็คือการเทียบราคาหุ้นกับปัจจัยพื้นฐานบางอย่างของบริษัทว่าเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ เช่นราคาเทียบกับกำไร (P/E), ราคาเทียบกับมูลค่าทางบัญชี (P/B), ราคาเทียบกับยอดขาย (P/S), ราคาเทียบกับปันผล (Dividend yield)  หรือไม่ก็เทียบราคาของทั้งบริษัท (Enterprise Value) กับ EBITDA อันนี้คล้ายๆกับ P/E แหละแต่ต่างตรงที่มองจากมุมมองของทั้งบริษัทไม่ใช่เฉพาะจากมุมมองของผู้ถือหุ้น

    โดยภาพรวมวิธีการนี้ข้อดีคือมันใช้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วในตลาดไม่ต้องอาศัยการเดาตัวเลขในอนาคต  แต่ข้อเสียคือมันประเมินมูลค่าของบริษัทในเชิงเปรียบเทียบ ถ้าสมมติฐานที่บอกราคาตลาดเหมาะสมแล้วไม่เป็นจริงปุ๊บการประเมินมูลค่าก็อาจจะเพี้ยน  เช่นถ้าตลาดโดยเฉลี่ยแล้วแพงเกินไปทั้งตลาด ต่อให้หุ้นที่เราสนใจดูถูกเมื่อเทียบกับตลาดก็ไม่ได้แปลว่าหุ้นมันราคาถูก มันอาจจะราคากลางๆเหมาะสมแล้วหรือจริงๆยังแพงไปก็ได้  ตัวอย่าง Dotcom bubble ในอเมริกางี้

     

  5. Asset-based approach
  6. ไอเดียหลักคือไปดูว่าบริษัทมีทรัพย์สินอะไรมูลค่าเท่าไหร่แล้วก็หักหนี้สินออกไปได้มาเป็นมูลค่าของบริษัท

    วิธีการนี้มีที่ใช้จำกัด  โดยปกติเค้าจะใช้กับบริษัทที่กำลังจะเลิกกิจการกำลังจะขายทรัพย์สินจ่ายหนี้แล้วคืนเงินให้กับผู้ถือหุ้น  หรือไม่ก็ใช้กับบริษัทที่ทำธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติเช่นเหมือง, ทำป่าไม้, ฯลฯ เช่นดูว่าแร่ที่มีอยู่ในเหมืองมีจำนวนเท่าไหร่  คาดว่าราคาตลาดที่จะขายได้คือเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายในการขุดแร่พวกนี้ขึ้นมาเท่าไหร่

 

ทีนี้อันไหนดีสุด  ส่วนตัวแล้วผมก็จะบอกว่าวิธีการแบบที่ 1 ที่ทำการคิดลดผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตเนี่ยแหละครับคือดีสุดละ  ถึงแม้ว่ามันจะมีความยากและมีจุดบอดเรื่องตัวแปรที่ใช้ก็ตาม แบบที่ 3 มันชัดเจนอยู่แล้วว่าใช้ได้จำกัด ส่วนแบบที่ 2 ผมก็เห็นอยู่ว่ามันมีจุดบอดตรงสมมติฐานว่าตลาดถูกต้องและเหมาะสมแล้ว

ปัจจุบันนี้คนในวงการส่วนใหญ่เห็นด้วยตรงกันว่าวิธีคิดลดความสามารถในการจ่ายปันผล (Discounted Free Cash Flow) ดีกว่าการคิดลดปันผล (Discounted Dividend)  แต่ปัจจุบันวิธีที่ผมใช้อยู่เป็นหลักคือ Discounted Dividend แต่เปลี่ยน terminal value แทนที่จะคิดแบบปันผลโตไป infinity ผมใช้ Price multiple แทน ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะผมรู้สึกว่ามันง่ายกว่าที่จะไปประมาณ Free Cash Flow และสุดท้ายวิธีการไหนมันก็อาศัยการทำนายอนาคตซึ่งไม่มีทางแม่นยำอยู่ดี  ดังนั้นผมเห็นการประเมินมูลค่าหุ้นว่ามีไว้เพื่อให้เราพอจะบอกได้คร่าวๆเท่านั้นเองว่าตอนนี้ราคาหุ้นมันถูกหรือแพง ไม่ได้มีไว้เพื่อคำนวณให้ได้ตัวเลขเป๊ะๆ

สรุปคือมันไม่มีวิธีอะไรที่ทำให้เราทำนายอนาคตได้  ผมถึงบอกเสมอว่าอย่าไปกังวลกับวิธีการประเมินมูลค่าหุ้นมากนัก  คุณก็ใช้วิธีการที่รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลสำหรับคุณน่ะแหละ แล้วเอาเวลาไปศึกษาทำความเข้าใจตัวธุรกิจของบริษัทดีกว่า  มีประโยชน์กว่ากันเยอะครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

Sales Growth อย่าลืมดูด้วยว่าโตจากไหน

Don't Forget to Check the Source of Sales Growth

Sales Growth อย่าลืมดูด้วยว่าโตจากไหน

การที่บริษัทเติบโตโดยรวมเป็นเรื่องดีแหละครับ  ยอดขายเติบโตก็ต้องเป็นอะไรที่ดีกว่ายอดขายตกแน่นอน  แต่ทีนี้จากที่เคยเจอคือการเติบโตมันมีรายละเอียดที่เราควรสังเกตอยู่เหมือนกัน

วีดิโอหัวข้อนี้เราจะพูดถึงว่าการเติบโตมันมีอยู่สองแบบคือที่มาจากบริษัทโตด้วยตัวเอง (organic growth) กับโตจากการควบรวมกิจการ (inorganic growth)

การเติบโตจากกิจกรรมของบริษัทเอง  ซึ่งอาจจะหมายถึงการขยายสาขาหรือการเพิ่มสินค้ากลุ่มใหม่ที่บริษัทไม่เคยทำมาก่อนด้วย  ไม่ได้มีความหมายเดียวกับ Same-store-sales-growth นะ

ส่วนการโตจากการควบรวมกิจการก็ตามชื่อคือบริษัทโตจากการซื้อกิจการของคนอื่นมา

รายละเอียดว่าบริษัทโตเองหรือโตจากการซื้อกิจการโดยปกติจะหาได้อยู่บนรายงานประจำปี

ในกรณีที่เราเห็นว่าการเติบโตของบริษัทมาจากโตเอง  อันนี้ผมจะมองเป็นเรื่องดี มันเป็นสัญญาณว่าธุรกิจหลักของบริษัทยังเติบโตอยู่และผู้บริหารน่าจะบริหารได้ดี

แต่ถ้ากรณีที่เราเห็นว่าการเติบโตมาจากการซื้อกิจการเป็นหลัก  อันนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่จะเริ่มน่ากลัวขึ้นละ เพราะว่า

  1. การซื้อกิจการมักจะแพง
  2. โดยไอเดียคือถ้าบริษัทที่ถูกซื้อเป็นบริษัทที่ทำได้ดีมากอยู่บริษัทก็ต้องใช้เงินเยอะในการซื้อเทียบกับกำไรที่บริษัทที่ถูกซื้อทำได้  เพราะแน่นอนว่าเจ้าของเดิมก็จะยอมขายให้คนอื่นในราคาถูกอยู่แล้ว หลายครั้งก็จะต้องมีการกู้ยืมเงินธนาคารมาเพื่อซื้อกิจการ และทำให้มีหนี้สินเพิ่มขึ้น

  3. หรือไม่งั้นก็ไม่แพงแต่เป็นธุรกิจที่เจ้าของเดิมทำแล้วไม่เวิร์คเค้าเลยยินดีขาย
  4. ไม่ว่าจะซื้อมาถูกหรือแพงก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นว่าต้องทำให้บริษัทที่ซื้อมาเวิร์คกว่าที่คาด

และหลายๆครั้งมันก็ไม่ง่าย  บางทีก็เรื่องวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เหมือนกัน  บางทีก็ต้องหาวิธีให้สินค้าขายด้วยกันได้ ฯลฯ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าซื้อกิจการจะไม่ดีนะ  มันมีข้อดีเหมือนกัน

  1. โตเร็วกว่ากันเยอะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าซื้อมาแล้วบริหารได้ดี
  2. ถ้าเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันก็จะได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่ม
  3. ถ้าเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมใกล้เคียงที่บริษัทไม่เคยทำก็จะได้ know how ไม่ต้องเสี่ยงลองเอง

ดังนั้นเวลาเจอกรณีที่บริษัทมีการเติบโตจากการซื้อกิจการและเป็นการซื้อกิจการที่ค่อนข้างใหญ่มีสาระสำคัญหรือมีการซื้อกิจการบ่อยๆต่อเนื่องหลายปี  ผมเสนอให้พยายามสังเกตเรื่องต่อไปนี้

  1. การเติบโตของบริษัท  เป็นผลมาจากการซื้อกิจการอย่างเดียวเลยหรือเปล่า
  2. บริษัทที่ซื้อเป็นบริษัททำอะไร  ดูมันสมเหตุสมผลกับธุรกิจหลักของบริษัทหรือเปล่า
  3. ถ้าเคยซื้อกิจการมาก่อนในอดีต  ที่ซื้อมาแล้วเป็นยังไง
  4. กรณีที่เป็นการซื้อขนาดใหญ่อาจจะควรกะผลกระทบที่เกิดกับผลประกอบการของบริษัทไว้ซักนิดนึง  ซื้อมาด้วยจำนวนเงินเท่าไหร่ มีการกู้ยืมเงินมั้ยดอกเบี้ยเป็นเท่าไหร่ กำไรที่บริษัทเป็นเจ้าของเป็นเท่าไหร่

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

วิธีกะหุ้น ถูก แพง : ง่ายสุดที่คิดออกละ!

Approximate a Stock's Value : Easiest Way I Can Think Of!

วิธีกะหุ้น ถูก แพง : ง่ายสุดที่คิดออกละ!

ผมเจอคนถามหลายทีละเรื่องวิธีการคำนวณมูลค่าดูว่าหุ้นถูกหรือแพง  และพอตอบไปด้วย Discounted Dividend ปุ๊บก็ดูเหมือนหลายคนแทนที่จะดูว้าวกลายเป็นดูซึมไป  วันนี้เลยลองหาวิธีแบบง่ายสุดๆเท่าที่นึกออกมาครับ

ไอเดียคือมันเป็นวิธีการที่บอกว่าถูกหรือแพงแบบคร่าวมาก  เหมือนแทนที่จะบอกว่าคนอ้วนหรือผอมโดยการวัดน้ำหนักเราก็ใช้กะเอาด้วยสายตาแทน  ซึ่งมันก็จะแม่นยำน้อยกว่าแน่นอนและใช้ได้ในกรณีที่มันถูกหรือแพงไปอย่างชัดเจน แต่ข้อดีคือมันง่าย

ผมเสนอให้เริ่มจากดูอัตราส่วนผลตอบแทนกำไรต่อหุ้นที่บริษัททำได้เทียบกับราคาที่เราซื้อ  ซึ่งก็คือส่วนกลับของ p/e น่ะแหละ อย่างเช่นสมมติ p/e 20 เท่าก็จะเท่ากับ e/p ที่ 5% หรือถ้า p/e 17 เท่าก็จะเท่ากับ e/p 5.88%  พอทำตัวเลขออกมาเป็น % ผลตอบแทนแบบนี้มันก็จะดูง่ายกว่า

ตรงนี้อาจจะดูอัตราปันผลตอบแทน (dividend yield) ด้วยก็ได้แล้วแต่คน

แล้วต่อมาก็ดูอัตราการเติบโตของกำไรกับความสม่ำเสมอของมัน  เทียบเอาแบบง่ายๆบนเวป SET ก็ได้ครับ

สุดท้ายก็คือเทียบกับผลตอบแทนอย่างอื่นที่เราหาได้ว่าแบบนี้มันน่าจะเรียกว่าถูกหรือแพง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

DCA แล้วพอร์ตติดลบ ต้องดีใจสิ!

Negative DCA Port? You should be celebrating!

DCA แล้วพอร์ตติดลบ ต้องดีใจสิ!

ล่าสุดมีคนมาถามเรื่องนี้  เค้าบอกว่าทำ DCA มา 2 ปีละแต่เห็นว่าพอร์ตการลงทุนขาดทุนเลยเกิดความกังวลว่ามันผิดปกติหรือเปล่าแล้วเค้าควรจะทำ DCA ต่อมั้ย  ผมอยากจะตอบเค้าเลยว่าจริงๆเค้าควรจะดีใจเลยนะที่พอร์ตขาดทุนและเค้าสมควรทำ DCA ต่อมาก วันนี้ผมเลยมาอธิบายเรื่องนี้ครับ

 

DCA คืออะไรและทำไปเพื่ออะไร ?

ไอเดียของการทำ DCA มันมาจากความเชื่อว่าความพยายามในการกะจังหวะซื้อขายหุ้นไม่ว่าจะด้วยการดูธุรกิจอ่านงบการเงินแบบพื้นฐานหรือการดูกราฟแบบเทคนิคเป็นอะไรที่เสียเวลาและไม่มีประโยชน์  สิ่งที่ควรทำคือตัดอารมณ์ของคนออกไปจากการตัดสินใจซื้อหุ้น ด้วยการซื้อหุ้นหรือกองทุนหรืออะไรซักอย่างนึงโดยมีกำหนดระยะเวลาสม่ำเสมอและด้วยจำนวนเงินเท่าเดิม

ด้วยวิธีการนี้  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราจะซื้อหุ้นแบบเฉลี่ยไปเรื่อย  ตอนหุ้นราคาตกเราก็ซื้อด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม ตอนหุ้นราคาขึ้นเราก็ซื้อด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม  ในระยะยาวแล้วผลตอบแทนของเราก็จะใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนของทรัพย์สินที่เราซื้อมา ความสำคัญของการกะจังหวะซื้อก็จะหายไปเหลือแค่ความสำคัญของสิ่งที่เราเลือกจะทำ DCA เท่านั้น

 

ต่อให้ปลายทางเท่ากัน  ระหว่างทางหุ้นขึ้นกับระหว่างทางหุ้นลงอันไหนดีกว่ากัน

ทีนี้มาถึงเรื่องว่าทำไมผมถึงบอกว่าควรจะดีใจถ้าหุ้นตกแล้วพอร์ตขาดทุน

ผมอยากจะเปรียบเทียบกรณีให้ดูว่าสมมติว่าปลายทางตอนจบราคาหุ้นเท่ากัน  แต่ถ้าระหว่างทางต่างกันจะเกิดอะไรขึ้น เราจะสมมติว่าตอนแรกราคาหุ้นปีที่ 1 ราคาอยู่ 50 บาทและปีสุดท้ายคือปีที่ 6 ราคาหุ้นอยู่ที่ 100 บาทเหมือนกันทุกเคส  และเราจะทำการ DCA ซื้อหุ้นด้วยเงิน 1,000 บาททุกปีต่อกัน 5 ปีแล้ววัดผลกันตอนปีที่ 6

 

Case 1: กรณีหุ้นทยอยเพิ่มขึ้นแบบเรียบๆ

Case 2: กรณีหุ้นขึ้นพรวดอย่างเร็วตอนแรกแล้วตกลงมาตอนหลัง

Case 3: กรณีหุ้นตกลงไปตอนแรกแล้วค่อยราคาสูงขึ้นตอนท้าย

 

เห็นอะไรมั้ยครับ  จะเห็นว่าจริงๆแล้วสำหรับคนที่ทำ DCA  ขอให้สุดท้ายปลายทางเราเลือกทำ DCA กับทรัพย์สินที่ถูกต้องนะ  ระหว่างทางถ้ายิ่งราคาหุ้นตกเท่าไหร่ก็ยิ่งดี  

 

ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะย้ำคือ DCA มันไม่ใช่วิธีการปาฏิหารย์ที่ทำให้พอร์ตเรากำไรหรือลดความเสี่ยงหรืออะไรทั้งสิ้นนะครับ  มันเป็นวิธีการอัตโนมัติที่ทำให้เราไม่ต้องคอยกังวลเวลาลงทุนและทำให้ผลตอบแทนเรายอดเยี่ยมเท่ากับค่าเฉลี่ยของทรัพย์สินนั้นเท่านั้นเอง  ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับการทำ DCA คือการเลือกทรัพย์สินที่เราทำ DCA ครับ และถ้าเราเลือกมาดีแล้วก็ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอต่อไปและจำไว้ว่าจริงๆแล้วระหว่างทางยิ่งราคาตกรุนแรงยิ่งดีครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตลาดตกด้วยโรคระบาดแบบนี้ มีหุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจบ้าง?

Which sectors are interesting during this deadly virus period?

ตลาดตกด้วยโรคระบาดแบบนี้ มีหุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจบ้าง?

เมื่อเร็วๆนี้ผมเตือนให้ลูกศิษย์ที่เรียนด้วยกันไปเริ่มมองหาหุ้นน่าสนใจได้แล้วเพราะเริ่มเห็นตลาดหุ้นตกใจจากโรคระบาดกัน  แล้วเค้าก็ถามว่ามีหุ้นกลุ่มไหนแนะนำมั้ย วันนี้ผมเลยเรียบเรียงวิธีคิดผมมาตอบครับ

ในเวลาที่ตลาดตกใจแล้วหุ้นตกในวงกว้าง  ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเพราะโรคระบาดอย่างเดียวคือมันจะเป็นตกจากอะไรก็ได้เลย  ผมแนะนำให้ก่อนอื่นเลยขั้นตอนแรกคือคุยกับตัวเองให้จบก่อนไม่งั้นมันจะมีปัญหาทีหลัง  ดูว่าเหตุที่เกิดขึ้นที่ทำให้ตลาดตกใจคืออะไรและถามตัวเองว่ามันเป็นปัญหาชั่วคราวหรือเปล่า  อย่างกรณี COVID-19 เราก็ชัวร์อยู่แล้วว่าเป็นปัญหาชั่วคราว อย่างเลวร้ายที่สุดเลยก็คือระบาดทั้งโลกแล้วก็ประชากรโลกตายไป 2-3%  ถ้าเราคุยกับตัวเองตรงนี้จบและเชื่อว่ามันเป็นปัญหาชั่วคราวเราก็จะหายตกใจมีสติดำเนินการต่อและหลังจากนี้เราจะคุมสติได้ง่าย แต่ถ้าถึงตรงนี้เราเชื่อว่ามันเป็นปัญหาถาวรเช่นอย่าง COVID-19 นี่คือวันสิ้นโลกแล้วงั้นก็ไม่ควรจะต้องลงทุนละครับ

เมื่อเราคุยกับตัวเองจบและมั่นใจว่าเป็นปัญหาชั่วคราว  แปลว่าตลาดหุ้นที่ตกนี่มันคือโอกาสใช่มั้ยครับ เพราะเรารู้ว่าในที่สุดแล้วเรื่องนี้จะหายไปและทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ  และราคาหุ้นก็จะฟื้นกลับไปใกล้เคียงเดิมถูกมะ ตอนนี้เราก็มี 2 ทางเลือกหลักๆขึ้นอยู่กับระดับความใจแข็งของเรา ซึ่งอันนี้คุณต้องพิจารณาตัวเอง

  1. ซื้อหุ้นที่โดนผลกระทบจังๆ
  2. ซื้อหุ้นที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรแต่ราคาตกตามกันไป

Choice 1: ซื้อหุ้นที่โดนผลกระทบจังๆ  ก็คือเลือกซื้อหุ้นที่โดนผลกระทบจากเรื่องที่มันทำให้ตลาดตก  อย่างถ้าเป็นเรื่อง COVID-19 นี่ก็เช่น

  • หุ้นโรงแรม  Hilton, Hyatt, Marriott, Central Plaza Hotel, Minor International, Intercontinental, รวมถึง REIT ที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมแล้วมีสัญญาเช่าลักษณะค่าเช่าผันแปร, etc.
  • หุ้นโรงหนัง  Major, Cineworld, Cinemark, etc.
  • หุ้นทัวร์ท่องเที่ยวหรือจองตั๋ว  H.I.S., Booking.com, Expedia, etc.
  • หุ้นสนามบิน  AOT, Aeroports de Paris, Flughafen Zurich, etc.
  • หุ้นเรือสำราญ  Carnival Corp, Royal Caribbean Cruise, etc.
  • และอื่นๆ

ข้อดีของการซื้อแบบ Choice 1 นี่ก็คือส่วนใหญ่มันจะราคาตกรุนแรง  และดังนั้นคือถ้ามันรอดจากเหตุการณ์ได้เราก็จะกำไรเยอะ แต่ข้อเสียคือเราต้องคุมสติเยอะหน่อยเพราะซื้อมาก็อาจจะตกลงไปอีกจากผลประกอบการที่แย่ลง  และที่สำคัญคือถ้าเลือกซื้อไม่ดีก็จะมีความเสี่ยงเงินสูญเพราะพวกบริษัทกลุ่มนี้โดนผลกระทบจังๆและอาจจะไม่รอดถ้าไม่เข้มแข็งจริง

คำแนะนำคือนอกจากจะแน่นอนว่าต้องซื้อบริษัทที่มีอำนาจบังคับผู้บริโภคแล้วถ้าเป็นไปได้ซื้อพวกที่เข้มแข็งที่สุดไว้ก่อน  ไม่ต้องเอาที่ราคาถูกมากก็ได้ เน้นเอาที่ margin ดีสุดสม่ำเสมอสุดและหนี้น้อยสุดจะดีกว่า หุ้นมันตกเยอะเรากำไรเยอะอยู่แล้วไม่ต้องระทึกมากก็ได้

Choice 2: ซื้อหุ้นที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรแต่ราคาตกตามกันไป  ก็คืออะไรก็ได้ละที่จริงๆมันไม่ได้เกี่ยวกันแค่ราคาตกเฉยๆ

ข้อดีของการซื้อแบบ Choice 2 นี่คือปลอดภัยมากเพราะหุ้นที่เราซื้อมันไม่ได้เกี่ยวไรเลยกับเหตุการณ์แค่คนตกใจเฉยๆ  แต่ข้อเสียคือปกติราคามันก็จะไม่ได้ตกอะไรนักหนาเพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง ดังนั้นกำไรก็จะไม่ได้อลังการเท่าไหร่

คำแนะนำคือซื้อที่คุณชอบแหละครับไม่ได้มีอะไรซับซ้อน  คิดเหมือนว่าไม่ได้มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วก็เลือกซื้อหุ้นตามปกติที่คุณทำเลย  เพราะจริงๆมันก็ไม่เกี่ยวกับบริษัทพวกนี้อยู่แล้ว

สรุปคือในเวลาที่เกิดเหตุการณ์ตกใจที่หุ้นตกในวงกว้าง  คุยกับตัวเองให้จบว่ามันเป็นโอกาสหรือไม่ใช่ หุ้นกลุ่มไหนก็ได้แหละครับ  อย่ามัวแต่กลัวแล้วสุดท้ายไม่ได้ทำอะไรก็เป็นใช้ได้

ปล. ฝากทิ้งไว้อีกนิดนึงเรื่องซื้อแล้วกลัวจะรับมีดหุ้นตกลงไปอีกเพราะคนชอบถาม  ผมจะบอกว่าอย่ามองอะไรสั้นๆ ยังไงก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าหุ้นมันจะตกลงไปต่ำสุดที่เท่าไหร่  เลิกคิดหาคำตอบกับคำถามที่ไม่มีทางรู้อันนั้นซะ มองไกลออกไปหน่อย สุดท้ายเหตุการณ์มันก็เรื่องชั่วคราวใช่หรือไม่  เราซื้อให้มันได้มาราคาถูกปลายทางก็กำไรแน่นอนแล้วจะกังวลไปทำไม

 

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม คืออะไร ? ต่างจากกำไรสุทธิยังไง ?

What is Comprehensive Income? How different is it from Net Income?

กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม คืออะไร ? ต่างจากกำไรสุทธิยังไง ?

มีคนถามหัวข้อนี้ว่ามันต่างกันอย่างไร  แล้วเราต้องดูอันไหน

สองอันนี้มันจะมีความเกี่ยวข้องกันและจะอยู่ใกล้ๆกันบนงบกำไรขาดทุน  งบกำไรขาดทุนสาระสำคัญคือมันก็พูดว่าบริษัทขายของไปมีรายได้เท่าไหร่มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างแล้วสุดท้ายกำไรหรือขาดทุนเหลือเท่าไหร่  บรรทัดสุดท้ายของงบกำไรขาดทุนก็จะเป็นกำไร(ขาดทุน)สุทธิ พอจบส่วนนั้นปุ๊บต่อมาก็จะเป็นส่วนของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จเลย

สาระสำคัญของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นคือพวกกำไรหรือขาดทุนที่ถูกกำหนดให้บันทึกแยกออกจากกำไรสุทธิบนงบกำไรขาดทุนเพราะพวกนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง  การจะนับว่ารายได้, รายจ่าย, กำไรหรือขาดทุนเกิดขึ้นจริงคือตัวธุรกรรมมันจะต้องถูกทำเรียบร้อยแล้ว เช่นเมื่อได้มีการขายเงินลงทุนไปแล้ว สมมติบริษัทมีซื้อตราสารหนี้เอาไว้แบบเป็นหลักทรัพย์เผื่อขายแล้วเกิดราคามันสูงขึ้นหรือต่ำลง  มันก็จะมีการบันทึกการเปลี่ยนแปลงราคานั้นอยู่ในกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น เมื่อบริษัทมีการขายตราสารหนี้นั้นจริงๆแล้วเท่านั้นถึงจะไปบันทึกผลกำไรขาดทุนในงบกำไรขาดทุน มันจะมีรายการบางอันด้วยที่อาจจะไม่ผ่านงบกำไรขาดทุนเลยแต่มีการเปลี่ยนแปลงตัวส่วนของผู้ถือหุ้นบนงบดุลตรงๆเลยแต่ผมจำไม่ได้ว่ารายการเรื่องอะไรบ้าง•

รายการกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นเช่น

  • ผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยน
  • ผลกำไร (ขาดทุน) จากการประมาณการตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย  พวกนี้คือสำรองผลประโยชน์ของพนักงาน

ทีนี้คำถามคือแล้วเราควรจะดูอันไหน  ส่วนตัวผมแนะนำให้ดูตัวกำไรสุทธิเป็นหลัก  เพราะมันเป็นอันที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับกิจกรรมหลักของบริษัท  ส่วนตัวกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จเราสังเกตไว้ว่ามันไม่ได้แตกต่างรุนแรงกับตัวกำไรสุทธิก็ใช้ได้  ส่วนใหญ่มันจะแตกต่างเล็กน้อยเพราะพวกรายการกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นของบริษัทปกติมันไม่ควรจะเป็นรายการใหญ่  กับคอยดูตรง “องค์ประกอบอื่นของส่วนของผู้ถือหุ้น” บนงบดุลซึ่งเป็นตัวเลขสะสมว่าไม่เป็นตัวเลขติดลบมโหฬารก็โอเคละ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg