ตลาดหุ้นปี 2021 น่าลงทุนมั้ย ?

Our view on 2021

ตลาดหุ้นปี 2021 น่าลงทุนมั้ย ?

มีคนถามเรื่องมุมมองของเรากับตลาดหุ้นปีนี้หลายคำถามละ  ผมรวบรวมตอบในวีดิโอนี้ครับ

ภาพรวม

ผมก็มีมุมมองคล้ายกับคนอื่นๆทั่วไปนะ  คือมองว่าปัจจัยหลักต่อทั้งตลาดหุ้นและเศรษฐกิจคิดว่าเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาโควิด  ซึ่งในเวลานี้ก็ดูดีขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากวัคซีนออกมาเยอะขึ้น  ตอนนี้ผ่านมาจะจบไตรมาส 1 ละ  เราเริ่มเห็นประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เยอะอย่างอิสราเอลมีปัญหาโควิดน้อยลงเยอะ  วัคซีนดูจะได้ผล  และเราเห็นประเทศที่มีเงินอย่างอเมริกากับอังกฤษฉีดไปได้เยอะแล้ว  ผมทิ้งลิ้งค์ไว้ให้เผื่อใครสนใจติดดามเรื่องวัคซีน  ปกติผมจะดูของ Bloomberg ครับ  https://www.bloomberg.com/graphics/covid-vaccine-tracker-global-distribution/

และดังนั้นโดยรวมผมก็เชื่อว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะดีขึ้น  ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นดีขึ้นด้วย  โดยหุ้นที่แต่เดิมโดนผลกระทบจากโควิดจังๆแล้วไม่รู้จะรอดมั้ย  น่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลดีสุด  ส่วนหุ้นกลุ่มอื่นที่ขึ้นไปแล้วหรือไม่เกี่ยวเท่าไหร่ก็น่าจะเฉยๆ  ถ้าขึ้นก็ไม่น่าจะเยอะอะไรนักหนา

IMF world economic outlook

การฉีดวัคซีนดูช้า  หลายประเทศยังไม่เริ่ม

อันนี้ก็จริง  พวกประเทศที่ไม่ค่อยรวยนี่ก็เข้าใจได้ว่าจะยังเข้าไม่ถึงวัคซีน  แต่อย่างเยอรมณีที่เป็นประเทศมีเงินก็ดูช้าจริง

เท่าที่เห็นคือมันช้ามีอยู่ 2 แบบ  อันนึงเป็นเรื่องปริมาณวัคซีนที่ผลิตได้ทั้งหมด  และอีกอันเป็นเรื่องการจัดการ

ทั้งสองอย่างก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้การฟื้นตัวช้า  แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ไม่ฟื้น  โดยรวมผมมองว่าไม่มีปัญหา  เรื่อง supply ผมคิดว่าบริษัทผู้ผลิตก็จะพยายามเพิ่มกำลังการผลิตให้เยอะและเร็วที่สุดแน่ๆ  เพราะในเวลานี้วัคซีนมันมีหลายเจ้าละไงไม่ใช่แบบทำอยู่คนเดียว  ถ้าเจ้าไหนช้าก็มีโอกาสขายได้น้อย  งบประมาณที่วิจัยไปแล้วมันเป็นค่าใช้จ่ายใช้ไปแล้ว  ที่เหลือคือกำไรเยอะหรือน้อยขึ้นกับขายได้เยอะหรือน้อยละ  ดังนั้นเชื่อว่ามันรีบกันทุกบริษัทแน่  และตอนนี้มี J&J เข้ามาแล้วด้วย  เป็นแบบเข็มเดียวจบทำให้จัดการเรื่องการฉีดง่ายขึ้น  แล้วตัว J&J เองก็เป็นเจ้าใหญ่มาก  น่าจะคุ้นเคยกับการผลิตจำนวนมากอยู่แล้วด้วย  ส่วนเรื่องการจัดการ  ถ้าประเทศที่มันช้าๆเห็นตัวอย่างประเทศที่มันเร็วแล้วเห็นว่าพวกนั้นกลับมาเปิดประเทศได้กลับมาใช้ชีวิตปกติได้  ผมก็คิดว่ามันจะเร็วขึ้นมาเองแหละ  ประชาชนด่าครับถ้าช้า

แล้วเรื่องโควิดกลายพันธุ์ล่ะ

คิดว่าไม่มีประเด็น  เพราะเท่าที่ฟังคือวัคซีนก็ยังได้ผลอยู่  กับถ้าจำเป็นจริงๆบริษัทที่ทำวัคซีนก็สามารถที่จะปรับวัคซีนตามได้  แต่เนื่องจากเรื่องนี้มันใหม่มากเราก็ต้องคอยติดตามแหละ  แต่โดยรวมตอนนี้คิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่

วัคซีนพาสปอร์ตควรทำมั้ย

ส่วนตัวผมว่าควร  ทั้งนี้เพราะมันจะช่วยให้เศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัวได้  โดยรวมคนที่จะได้วัคซีนก่อนก็คือคนที่อยู่ในประเทศมีเงิน  ถ้าพวกนี้มีโอกาสได้ออกมาเดินทางท่องเที่ยวหรือบริโภต  มันก็จะเป็นการช่วยให้เศรษฐกิจประเทศอื่นฟื้นตัวด้วย  ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ที่เราจะรอให้ทุกคนได้วัคซีนครบพร้อมกันทั้งโลกก่อนแล้วค่อยอนุญาตให้เดินทางหรือทำกิจกรรมคนเยอะ  ถ้ารอนานขนาดนั้นความเสียหายต่อเศรษฐกิจจะยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่  และที่สำคัญผมมองว่าการทำจะทำให้คนจำนวนมากมีความรู้สึกอยากจะฉีดวัคซีนขึ้นด้วย

สิ่งที่คนกังวลกันก็คือตอนนี้การกระจายวัคซีนมันไม่เท่าเทียมอยู่  ประเทศที่ร่ำรวยก็ดูได้เปรียบ  เค้ากลัวว่ามันจะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับจนเยอะขึ้นไปอีก  กับคนอีกกลุ่มนึงที่กังวลคือพวกที่ไม่ไว้ใจและไม่คิดจะฉีดวัคซีน  เค้าก็มองว่าการทำแบบนี้คือรัฐบาลต้องการจะบังคับให้ฉีดให้ได้  ซึ่งก็เข้าใจได้นะ  มันไม่เท่าเทียมแน่นอนอยู่ละ  แต่จะรอเท่าเทียมให้ฉีดวัคซีนให้ได้หมดก่อนก็เดือดร้อนกันหมด  และจริงๆเดือดร้อนคนจนมากกว่าด้วย  ดังนั้นยังไงก็ควรต้องทำ  ส่วนพวกที่ไม่อยากฉีดก็ไม่ต้องฉีดสิ  แต่จะไปบอกว่าห้ามไม่ให้คนที่ฉีดวัคซีนแล้วและดังนั้นปลอดภัยห้ามเดินทางหรือห้ามทำกิจกรรม  ผมก็ว่าไม่แฟร์นะ  ก็เค้าไม่ได้เป็นความเสี่ยงต่อคนรอบข้างแล้วนี่

บางประเทศอย่างเยอรมณีหรือฝรั่งเศสมีโควิดรอบ 3 ละ  เรื่องนี้จะทำให้มีปัญหาหรือเปล่า

ก็ไม่มีอะไร  มันก็ปกติอยู่ละ  จนกว่าจะฉีดวัคซีนได้พอสมควรเราก็คาดหวังได้ว่ามันจะเป็นแบบนี้แหละ  ถ้าเราจะซื้อหุ้นในประเทศพวกนี้ก็ระวังนิดนึงว่ามันมีเงินทุนพอที่จะรอด  นอกเหนือจากนั้นแล้วผมว่าก็ไม่มีอะไรนะ

แล้วดังนั้นลงทุนยังไงดี

อันนี้ก็แนะนำเหมือนเดิมคือหุ้นพวกธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด  เน้นหาพวกที่ถ้าสถานการณ์ปกติมันจะเข้มแข็ง  กับดูว่ามันน่าจะรอดจะด้วยว่าไม่ถึงขาดทุนหรือมีเงินสดพอก็แล้วแต่  เช่นพวกโรงแรม, ห้าง, ฯลฯ

อื่นๆ

เรื่องเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย  หรือเรื่องเงินเฟ้อ  หรือเรื่องหนี้ที่หลายประเทศมีเยอะขึ้น  ในระยะสั้นอย่างน้อยในปีนี้ก็คิดว่าเป็นปัจจัยที่ไม่ใช่เรื่องหลักนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

เรื่องสำคัญสุดคือความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัท อย่ามัวแต่เสียเวลามากไป กับการประเมินมูลค่าหรืองบการเงิน

Prioritization issue

เรื่องสำคัญสุดคือความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัท อย่ามัวแต่เสียเวลามากไป กับการประเมินมูลค่าหรืองบการเงิน

หลังๆนี้ผมเริ่มสังเกตว่ามีนักเรียนผมหลายคนดูจะใช้เวลาวนเวียนอยู่เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่เกิดประโยชน์เยอะไป  เช่นบางคนก็อินกับ valuation มาก  พยายามหาวิธีการนู่นนี่ที่ซับซ้อนเพราะคิดว่ามันจะทำให้เดาได้แม่นยำมากขึ้น  หรือไม่ก็กำลังงมอยู่ว่าวิธีการไหนใช้เมื่อไหร่แล้วอันไหนแม่นกว่ากัน  ส่วนอีกกลุ่มนึงก็อินกับเรื่องบัญชีมาก  คือเก็บรายละเอียดปลีกย่อยสุดๆแบบประมาณพวกที่รู้เพื่อไปสอบ  ไม่ได้มีประโยชน์อะไรในสาระสำคัญ  เช่น การ capitalized cost อย่างค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเข้าไปเวลาบริษัทสร้างตึกคืออะไรบันทึกยังไง  หรือบริษัทที่มีทำธุรกิจในหลายประเทศรายการบนงบการเงินแปลงอัตราแลกเปลี่ยนยังไง  อะไรแบบนี้เป็นต้น  ซึ่งทั้งหมดนี้ผมมองว่ามันเป็นการใช้เวลาที่เปล่าประโยชน์มาก

จนผมรู้สึกว่าต้องพยายามช่วยจัด priority เรียงลำดับความสำคัญให้  โดยรวมมันจะมีหัวข้อหลักๆอยู่ 3 เรื่องที่เราต้องศึกษาเวลาลงทุนในหุ้น

  1. เรื่องเกี่ยวกับตัวบริษัท
  2. การบันทึกบัญชี  งบการเงิน  อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ
  3. การประเมินมูลค่าหรือผลตอบแทน

ใน 3 หัวข้อนี้  ความสำคัญมันเรียงตามลำดับนั้นเลย

การประเมินมูลค่า  เป็นอะไรที่คนดูจะอินสุด  แต่จริงๆความสำคัญน้อยสุดเลย  คนส่วนใหญ่พยายามจะหาความมั่นใจมากขึ้นจากการที่ใช้วิธีการคำนวณที่ละเอียดซับซ้อน  ซึ่งผมก็เข้าใจความรู้สึกนะ  ถ้ามันมีวิธีการที่ทำให้เราทำนายอนาคตได้แม่นยำมากขึ้นมันก็ดี  แต่สุดท้ายต้องอย่าลืมว่ามันไม่มีวิธีการอะไรที่ทำนายอนาคตได้  แม้แต่เจ้าของบริษัทเลยคุณว่าเค้ารู้เลยมั้ยว่าปีหน้ายอดขายกับกำไรจะเป็นเท่าไหร่อย่างชัดเจน  แล้วลองนึกภาพดูนะ  คุณกับผมซึ่งมองจากมุมของคนนอกบริษัทอีกต่างหาก  เราจะสามารถเดาไปในอนาคตว่าบริษัทจะโตกี่ % ไปถึง infinity  แล้วคิดลดตัวเลขพวกนั้นกลับมา  เราจะทำแบบนั้นได้อย่างแม่นยำเป็นไปได้จริงเหรอครับ  คุณก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ป้ะ  ดังนั้นในเมื่อยังไงมันก็ไม่มีคำว่าแม่นยำ  วิธีการประเมินมูลค่าใดๆมันเอาไว้สำหรับกะคร่าวๆว่าตอนนี้หุ้นถูกหรือแพงเท่านั้น  คุณจะใช้วิธีการไหนก็ได้เอาที่มันดูสมเหตุสมผลสำหรับคุณก็โอเคละ

ส่วนเรื่องการบันทึกบัญชี  การเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยบนงบบัญชีมันก็ดี  แต่มากไปถึงจุดนึงมันจะเริ่มเกินความจำเป็นละ  มันไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจตัวบริษัทได้ดีขึ้นน่ะครับ  อย่าง capitalized cost งี้คือเรารู้ว่าบริษัทสามารถจะบันทึกค่าใช้จ่ายอย่างดอกเบี้ยที่จ่ายไปตอนช่วงสร้างตึกเป็นส่วนหนึ่งของ fixed asset แล้วค่อยๆทยอยรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายผ่านการตัดค่าเสื่อม  แล้วยังไงอ่ะ  รู้แบบนี้แล้วทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นยังไง  หรือสมมติอย่างเรารู้วิธีการบันทึกบัญชีเวลาบริษัททำธุรกิจในหลายประเทศงี้  เรารู้ว่ามันใช้วิธีต่างกันแล้วแต่ว่าสกุลเงินไหน  สกุลเงินต่างประเทศหรือสกุลเงินบริษัทแม่เป็นสกุลเงินที่ใช้งาน  แล้วยังไงอ่ะ

เรื่องงบการเงินนี่เอาแค่เข้าใจรายการหลักๆบนนั้น  เข้าใจว่างบการเงินแต่ละอัน income statement, balance sheet, cash flow statement ต้องการจะบอกอะไรกับเรา  ดูเสร็จแล้วรู้เรื่องว่าบริษัทรายได้เท่าไหร่จ่ายเรื่องอะไรไปสุดท้ายกำไรมั้ย  เก็บเงินได้ป่าว  มีใช้เงินสดไปกับเรื่องอะไรบ้าง  หนี้สินเยอะมั้ย  มีอะไรเพิ่มขึ้นหรือลดลงเยอะจนผิดสังเกตหรือเปล่า  แล้วก็รู้จักอัตราส่วนทางการเงินสำคัญๆ  เท่านั้นเพียงพอแล้วครับ  อย่าไปเสียเวลากับเรื่องการบันทึกบัญชีเยอะเกินไป  การอ่านงบการเงินหลักๆเอาไว้คอนเฟิร์มภาพของบริษัทที่เราศึกษามาว่ามันสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันมั้ย  มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า  อย่าลืมว่าพวกนี้มันแค่บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเท่านั้นเอง  มันไม่ได้ช่วยให้เรารู้เลยว่าบริษัทจะทำได้ดีต่อไปในอนาคตหรือเปล่า

เรื่องที่เราควรจะใช้เวลากับมันจริงๆ

เรื่องที่เราควรจะใช้เวลากับมันจริงๆเลยคือเรื่องของบริษัทครับ  เราควรจะอยากรู้ว่าบริษัททำอะไรเป็นไงมั่งอย่างละเอียด  และเราควรจะอยากรู้ว่าปัจจัยอะไรทำให้มันเป็นแบบนั้น  อะไรทำให้มันทำได้ดีสม่ำเสมอ  หรืออะไรทำให้มันทำได้แย่ลง  และเราก็ควรจะอยากรู้ว่าบริษัทมีแผนจะทำอะไรต่อหรือกำลังทำอะไรอยู่  เพราะสุดท้ายเราต้องการจะรวบรวมทั้งหมดสรุปสุดท้ายว่าในอนาคตเราเชื่อว่ามันจะทำได้ดีขึ้นหรือแย่ลงหรือเท่าๆเดิม  เพราะว่าอะไร  และเราใช้ข้อสรุปอันนี้ในการตัดสินใจประกอบกับราคาหุ้นว่าเราควรจะลงทุนในบริษัทนี้หรือเปล่า

ถ้าเราทำ part สำคัญที่สุดนี้ได้ถูกต้องนะ  เกือบจะกำไรแน่นอนละ  มากหรือน้อยเท่านั้นเองขึ้นกับว่าซื้อมาได้ถูกแค่ไหน  แต่ถ้า part นี้เราพลาดนะ  อนาคตบริษัททำได้แย่ลงเรื่อยๆนะ  ไม่ต้องห่วงครับ  ยังไงก็เละ  งบการเงินก่อนหน้านี้จะดีแค่ไหนไม่ใช่สาระละ  งบการเงินอันต่อๆมามันก็จะดูอนาถขึ้นเรื่อยๆ  เพราะงบการเงินมันบันทึกอดีตที่ผ่านไปแล้ว  และการประเมินมูลค่าก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ละ  เพราะสมมติฐานเราผิดแต่แรกละไง  เราคิดว่าบริษัทมันจะดีแต่เราพลาด  ตัวเลขที่ได้จากการเดาอนาคตผิดๆก็เท่ากับขยะทั้งนั้นน่ะครับไม่ว่าจะใช้สูตรคำนวณยากขนาดไหนก็ตาม

ผมจะบอกว่ามีเพื่อนผมคนนึงนะ  เป็นตัวอย่างที่ดีมาก  งบการเงินเค้าดูคร่าวๆยังบ่นอยู่ว่าดูละเอียดมากไม่เป็น  ส่วน valuation นี่คือไม่สน DCF อะไรทั้งนั้นใช้ดู P/E อย่างเดียว  การตัดสินใจเน้นดูที่ตัวบริษัทดู fundamental อย่างเดียว  เพราะเพื่อนผมคนนี้เค้าเป็นคนทำธุรกิจ  เค้ามองการซื้อหุ้นเป็นการซื้อบริษัท  เวลาดูคือดูว่าอนาคตธุรกิจน่าจะไปได้มั้ยอย่างจริงจัง  model ธุรกิจแข่งขันได้หรือเปล่า  ได้เปรียบคู่แข่งยังไง  แล้วก็ซื้อที่ P/E มันไม่เว่อร์ไปก็เท่านั้นเอง  ตั้งแต่เค้าเริ่มลงทุนมาผมก็เห็นว่ากำไรตลอดครับ  ทำได้ดีเลยแหละ

ดังนั้นสรุปอีกที  เอาเวลาศึกษาเกี่ยวกับตัวธุรกิจของบริษัทครับ  ทำไงให้เราเห็นภาพว่าบริษัทมีความได้เปรียบยังไงดีกว่า  อย่ามัวไปงมงายกับ valuation ที่ยังไงมันก็ไม่แม่น  หรืออย่าไปเสียเวลากับรายละเอียดการบันทึกบัญชีปลีกย่อยที่รู้ไปก็เท่านั้น  เอาไปสอบได้อย่างเดียว  มันไม่ทำให้คุณลงทุนได้ดีขึ้นนักหนาหรอกผมพูดจริงๆ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

หุ้นทุนจดทะเบียน กับทุนที่ออกชำระแล้ว คืออะไร ต่างกันยังไง ?

หุ้นทุนจดทะเบียน กับทุนที่ออกชำระแล้ว คืออะไร ต่างกันยังไง ?

จริงๆมันก็ไม่ได้มีประเด็นอะไรมากนะ  แต่เห็นมีคนถามหลายทีละทำวีดิโอตอบซะหน่อย

ทุนจดทะเบียนคือจำนวนเงินทุนที่จดทะเบียนเอาไว้ในเอกสารตามกฎหมายน่ะครับ  คิดซะว่ามันเป็นขออนุญาตเอาไว้  จะออกจริงตามจำนวนนั้นหรือเปล่าก็อีกเรื่องนึง

ส่วนทุนที่ออกชำระแล้วคือที่ออกมาจริงแล้ว  บริษัทได้รับเงินจากผู้ถือหุ้นแล้ว  หุ้นอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นแล้ว  ซึ่งก็คือจะเท่ากับหรือน้อยกว่าที่จดทะเบียนไว้ก็ได้

เวลาคิดกำไรต่อหุ้น  จำนวนหุ้นที่เราจะใช้ก็คืออิงทุนที่ออกและชำระแล้ว  ทุนจดทะเบียนไม่เกี่ยว

เอาจริงๆในทางปฏิบัติทุนจดทะเบียนผมก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรนะ  สมมติจะออกหุ้นเกินที่จดทะเบียนไว้ก็สามารถทำได้ขอแค่ให้ผู้ถือหุ้นเห็นชอบเท่านั้นเอง

ในบางประเทศเค้าไม่ต้องมีเรื่องจดทะเบียนไว้เท่าไหร่แล้วด้วยซ้ำ  เช่นหุ้นในออสเตรเลียหรืออังกฤษ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

จะทำ valuation REIT หรือ IF ที่เป็น leasehold ทำไง ?

Valuation for Leaseholds

จะทำ valuation REIT หรือ IF ที่เป็น leasehold ทำไง ?

วิธีการง่ายมาก  ใช้ IRR บน excel ทำเลยครับ  คำนวณโดยสมมติว่าเราจะถือมันจนสิ้นสุดสัญญา  ดูว่าได้ผลตอบแทนกี่ %

ขั้นตอนมีดังนี้

  1. ดูว่าอายุสัญญาหมดในอีกกี่ปี  ตั้งจำนวนปีที่เหลือ
  2. เอาเลขปันผลเต็มปีที่ผ่านไปแล้วมา
  3. เดาคร่าวๆว่ารายได้ค่าเช่าน่าจะโตปีละกี่ %
  4. เดาไปจนจบว่าปันผลที่คาดว่าจะได้ในปีที่เหลือคือเท่าไหร่บ้าง  ระวังปีสุดท้ายหรือปีแรกซึ่งอาจไม่เต็มปี
  5. อย่าลืมหักภาษีปันผลด้วย
  6. ตอนนี้ราคาเท่าไหร่
  7. ตั้งแถวที่สรุปเงินที่จ่ายไปกับได้รับมา
  8. ใช้ function =irr  ลากครอบแถวที่สรปเงินที่จ่ายไปกับได้รับมาทั้งหมด

จริงๆในรายละเอียดมันจะมีว่าเงินที่ได้รับบางส่วนจะเป็นปันผลซึ่งโดนภาษี  กับบางส่วนเป็นส่วนลดทุนซึ่งไม่โดนภาษี  ที่เราทำนี่คือสมมติว่าโดนภาษีทั้งหมด  นั่นคือเราจะ underestimate ผลตอบแทนอยู่เล็กน้อย  อย่าคิดมาก  ทำตามนี้เลย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อยากจัดพอร์ตให้ไม่มีขาดทุนเลย ทำได้มั้ย ?

How can we be sure that our portfolio would not be effected in a economic downturn ?

อยากจัดพอร์ตให้ไม่มีขาดทุนเลย ทำได้มั้ย ?

มีคนถามอะไรประมาณนี้มา  เอาจริงๆเลยคือมันก็มีแหละ  ก็ถือเงินสด 100% เลยไง  หรือไม่ก็พันธบัตรรัฐบาล 100% เลยมันก็จะไม่มีผลกระทบแน่เผลอๆอาจจะดีขึ้นนิดนึงด้วยซ้ำ  แต่ทำแบบนั้นเป็นทางเลือกที่เลวร้ายมากผมว่า

ประเด็นแรกเลยคือการจัดพอร์ทแบบนั้นเพิ่มความเสี่ยงที่เงินจะไม่พอเพราะผลตอบแทนคาดหวังต่ำจัด  คือเราเห็นอยู่แล้วว่าเทรนด์ของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมันต่ำลง  การที่พอร์ทการลงทุนเรา defensive จัดมันอาจจะดูเสี่ยงน้อยนะ  แต่จริงๆเสี่ยงเงินไม่พอเยอะมาก  ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นการส่งลูกเรียนหนังสือ, เกษียณหรืออะไรก็แล้วแต่  ต่อให้จะบอกว่าระหว่างทางพอร์ทความผันผวนต่ำมากปลอดภัยมากไม่มีปีไหนเลยที่ขาดทุน  ถึงเวลาถ้ามันต้องใช้ขึ้นมาแล้วไม่พอมันก็คือเป้าหมายล้มเหลวอยู่ดี

ประเด็นที่สองที่จะบอกคือ  ถึงแม้หุ้นมันจะมีความผันผวนมากกว่าเยอะ  และอาจจะดูเหมือนขาดทุนในปีที่มีวิกฤตินะ  แต่จริงๆมันไม่ใช่ปัญหาเลยถ้าหุ้นที่เราเลือกมันเป็นบริษัทที่เข้มแข็งตั้งแต่แรก  เพราะถ้ามองระยะยาวเมื่อวิกฤตินั่นผ่านพ้นไป  บริษัทรอดกลับมาทำได้ดีเหมือนเดิม  ราคาหุ้นที่ตกไปมันก็ฟื้นขึ้นมาน่ะครับ  ดังนั้นถ้าเราเลือกธุรกิจที่เข้มแข็งพอร์ทขาดทุนในปีที่ตลาดตกรุนแรงก็เป้นแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น

ในความเห็นผมคนที่จะเอาแบบไม่เสี่ยงเลย 100% ได้นี่คือต้องมีเงินเยอะมากจนไงก็พอแน่นอนไม่ต้องสนใจผลตอบแทนเลยประมาณนั้น  แม้แต่คนที่ใกล้เกษียณมากผมก็ยังมองว่าควรมีหุ้นบ้างในสัดส่วนที่น้อย  ไม่ใช่แบบไม่มีเลย

สรุปคือ  จะทำให้พอร์ทไม่สะเทือนเลยเวลามีวิกฤติมันก็ทำได้แหละ  แต่อย่าทำเลย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ความได้เปรียบในการแข่งขันของแต่ละธุรกิจ เปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน

Changes of competitive advanvantage vary by industries

ความได้เปรียบในการแข่งขันของแต่ละธุรกิจ เปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน

อันนี้เป็นบทความที่ผมว่าน่าสนใจ  เขียนโดย Derek Horstmeyer, Ano Glonti และ Brian Peirce  สิ่งที่เค้าพยายามทำคือดูว่าความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทในแต่ละธุรกิจนี่มันเปลี่ยนแปลงเหมือนกันมั้ย  อุตสาหกรรมไหนที่บริษัทสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันเร็วสุดหรือช้าสุด  ผมทิ้งลิ้งค์ไว้ให้เผื่อใครสนใจอ่าน  https://blogs.cfainstitute.org/investor/2021/03/01/how-long-does-competitive-advantage-last-a-sector-analysis/

เนื่องจากการไปวัดความได้เปรียบในการแข่งขันมันอาจจะวัดตรงๆยาก  เค้าก็เลยดูการเปลี่ยนแปลงของ margin แทน  ถ้าเมื่อเวลาผ่านไปบริษัทสูญเสียความได้เปรียบเราก็น่าจะเห็น margin มันเล็กลง  คนทำเค้าตัดสินใจเทียบ Gross margin, Operating margin, EBT margin และ Net profit margin นับจากปีที่ IPO ซึ่งเค้ามองว่าน่าจะเป็นช่วงที่บริษัททำได้ดีที่สุดเทียบกับ 9 ปีต่อมาว่าเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง  และนี่คือผลลัพธ์ที่เค้าเจอ  ตัวเลขที่เห็นนี่คือเป็น Median ไม่ใช่ค่าเฉลี่ยนะ

ผมว่าน่าสนใจเลยนะ  เพราะบางกลุ่มธุรกิจเราก็เห็นว่า margin มันแย่ลงจริงเพราะการแข่งขันหรืออะไรก็แล้วแต่  แต่บางกลุ่มธุรกิจนี่ margin ดีขึ้นก็มี  อย่าง Software นี่ไม่ใช่แค่ดีขึ้นเฉยๆแต่ดูเหมือนดีขึ้นเยอะด้วยนะ  ซึ่งอันนี้ก็พอเข้าใจได้  แต่อย่างกลุ่มเคมีนี่ผมแปลกใจ  เพราะเข้าใจมาตลอดว่ามันน่าจะแข่งกันรุนแรงและเจ้าไหนก็น่าจะเหมือนๆกัน  แต่กลายเป็นว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่ margin ดีขึ้นเหมือนกัน  ส่วนกลุ่มที่ดูแย่อย่าง Biotechnology นี่ผมก็แปลกใจเช่นกัน  เข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นธุรกิจที่มีสิทธิบัตรคุ้มครองก็น่าจะ margin ดีหรืออย่างน้อยคงที่  นึกว่ามันก็น่าจะคล้ายๆกับกลุ่มผลิตยา Drug manufacturer ซึ่งก็ดูคงที่กว่าเยอะนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ลงทุนตามกระแสนิยม ผลตอบแทนมักไม่ค่อยดี

Good Stories Often Translate Into Bad Investments

ลงทุนตามกระแสนิยม ผลตอบแทนมักไม่ค่อยดี

มีคนจำนวนพอสมควรและรวมถึงนักเรียนเราด้วยที่เค้าชอบลงทุนตามกระแส  เช่นธีมยอดนิยมอย่างหุ้น healthcare อะไรแนวนั้น  ซึ่งในมุมมองของผมคืออะไรที่มันได้รับความนิยมและคนเห่อพูดถึงกันเยอะๆในทิศทางที่ดี  พวกนั้นมักจะกลายเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่  ด้วยเหตุผลว่ามันต้องถูกต้องทั้งหมดใน 3 เรื่องดังต่อไปนี้

1. กระแสที่ว่านี่มันต้องมาจริง

เรื่องบางเรื่องนี่ผมได้ยินมาเป็น 20 ปีละ  ปัจจุบันยังไม่เห็นมันจะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมีนัยสำคัญเช่น Nanotech, ตัดต่อพันธุกรรม, ฯลฯ  หรือแม้กระทั่งอย่างรถที่ใช้พลังงานสะอาดเราก็เพิ่งมาเห็นบูมเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองโดย Tesla  ทั้งที่ผมว่าผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กละนะ

2. บริษัทที่เราเลือกต้องเป็นผู้ได้ประโยชน์ในกระแสนั้น

นี่ก็เป็นอีกปัญหานึง  คือเราเดาว่าเทรนด์มาได้ถูกต้องก็ต้องเดาหุ้นให้ถูกบริษัทด้วยนะ  อย่างช่วงยุค internet บูม  คนก็เดาถูกแหละว่านี่มันจะเปลี่ยนโลก  แต่มันเดายากมากเลยว่าใครจะเป็นผู้ชนะ  บริษัทอย่าง Microsoft หรือ Google นี่มันเป็นคนที่เหลือรอดจากบริษัทจำนวนมากที่ตายไป

3. ราคาหุ้นมันต้องไม่ได้ว่าแพงเกินไป

และสุดท้ายคือ  ด้วยความที่ทุกคนก็นิยมเหมือนกับเรา  ทุกคนมีมุมมองที่ดีหมดทัศนคติดีสุดๆ  อาการแบบนี้ก็มักจะทำให้ราคาหุ้นมันแพงมาก  คือถ้าเราจะคาดหวังกำไรที่ดีเราต้องหวังว่าบริษัทจะทำได้ดีกว่าที่คาดมากขึ้นไปอีก  หรือไม่ก็หวังให้คนที่เห่อมากอยู่แล้วเห่อกันมากขึ้นไปอีกยอมซื้อต่อจากเราในราคาที่แพงเว่อร์ไปอีก  ซึ่งแบบนี้มันเสี่ยงไง

ดังนั้นโดยภาพรวมคือผมว่าเรามองหาหุ้นในกลุ่มที่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่น่าจะดีกว่านะ

ADR, GDR พวกนี้คืออะไร ?

ADR, GDR what are they ?

ADR, GDR พวกนี้คืออะไร ?

มีคนที่ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ  แล้วก็เริ่มเห็นว่าหุ้นบางทีมันจะมีคำว่า ADR หรือ GDR อยู่ด้านหลัง  ก็เลยมีคำถามว่ามันคืออะไร

พวกที่มันมี DR อยู่ข้างหลังเช่น DR, ADR, GDR พวกนี้มันคือ depository receipt ครับ

Depository receipt มันคือการที่โบรกเกอร์หรือธนาคารซื้อหุ้นที่อยู่ในต่างประเทศ  แล้วเอาไปฝากไว้กับพวก custodian ผู้ดูแลทรัพย์สิน  แล้วให้ custodian ออกเอกสารรับรองว่ามีหุ้นอยู่ออกมา  แล้วโบรกเกอร์หรือธนาคารก็เอาเอกสารนั่นมาให้คนซื้อขายแทนหุ้น  ตัวเอกสารรับรองว่ามีหุ้นอยู่นั่นน่ะคือ depository receipt ครับ

การทำแบบนี้เป็นการอำนวยความสะดวกดึงเอาหุ้นที่อยู่ในต่างประเทศมาให้นักลงทุนในประเทศลงทุนได้  โบรกเกอร์หรือธนาคารที่เป็นคนออก DR ก็ได้ค่าธรรมเนียมและบางทีจะมีหักปันผลที่ได้บางส่วนด้วย

ความต่างระหว่าง DR กับหุ้นจริงหลักๆคือ

  1. 1 DR อาจจะเท่ากับกี่หุ้นก็ได้แล้วแต่คนออกกำหนด
  2. ราคาของ DR กับหุ้นมันจะสอดคล้องไปในทางเดียวกัน  ส่วนใหญ่จะเท่าๆกัน  แต่ไม่จำเป็นเสมอไป 
  3. ปันผลที่ได้จาก DR อาจจะไม่เท่าหุ้นจริง
  4. การออก DR ไม่ได้ทำให้เกิด dilution เพราะจำนวนหุ้นเท่าเดิม

แต่สรุปแล้วการลงทุนใน DR มันก็เกือบจะเหมือนลงทุนในหุ้นจริงแหละ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ที่เค้าพูดกันเรื่องเงินเฟ้อ กับ Bond Yield สูงขึ้นนั่นมันคืออะไร ?

What's the deal with the rising bond yield and inflation ?

ที่เค้าพูดกันเรื่องเงินเฟ้อ กับ Bond Yield สูงขึ้นนั่นมันคืออะไร ?

ช่วงที่ผ่านมามีคนพูดถึงข่าวเรื่องเงินเฟ้อกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่สูงขึ้นในอเมริกา  แล้วก็ด้วยเหตุผลอะไรซักอย่างจะมีผลทำให้หุ้นตก  เลยมีคนอยากให้อธิบายเรื่องนี้ว่ามันเกี่ยวกันยังไง

ก่อนจะตอบคำถามต้องบอกก่อนว่าผมก็ไม่ใช่ว่าเข้าใจทุกอย่าง  ผมอาจจะอธิบายจากมุมเศรษฐศาสตร์ได้บ้างเพราะเรียนมา  แต่บางเรื่องอย่างอารมณ์ตลาดหรือจิตวิทยานี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

เราเริ่มจากตัวเงินเฟ้อก่อน  เงินเฟ้อนี่หลักๆก็คือของโดยภาพรวมราคาแพงขึ้นเท่านั้นเอง  ซึ่งโดยปกติแล้วของมันจะแพงขึ้นมันก็มาได้จากสองแบบหลักๆคือ

  1. คนมีความต้องการเยอะขึ้น
  2. ต้นทุนการผลิตแพงขึ้น

ส่วนเรื่อง bond yield อัตราผลตอบแทนพันธบัตร  มันก็คืออัตราส่วนระหว่างดอกเบี้ยที่คงที่ซึ่งกำหนดไว้แต่แรกเทียบกับราคาของพันธบัตรใช่มะ  และในเมื่อตัวดอกเบี้ยนั่นไม่เปลี่ยนเพราะกำหนดไว้แต่แรกแล้ว  อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมันก็เลยขึ้นกับราคาของพันธบัตรเป็นหลัก  ถ้าราคาพันธบัตรแพงขึ้นก็แปลว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็จะต่ำลง  ถ้าราคาพันธบัตรต่ำลงก็แปลว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็จะสูงขึ้น

ทีนี้อย่างกรณีของอเมริกาที่บอกเงินเฟ้อสูงขึ้น  มันก็น่าจะตรงไปตรงมาคือมาจากการที่คนมีความต้องการเยอะขึ้น  เพราะผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง

พอเงินเฟ้อสูง  มันก็ไปทำให้พันธบัตรไม่น่าลงทุนเท่าไหร่  เพราะพันธบัตรผลตอบแทนมันคงที่กำหนดไว้แล้วถูกมะ  ถ้าเงินเฟ้อสูงขึ้นราคาข้าวของสูงขึ้นกว่าที่คาด  มันก็ทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรน้อยลงด้วยไง  คนเห็นแบบนี้ก็เลยขายพันธบัตร  พอคนขายพันธบัตรก็ทำให้ราคาพันธบัตรต่ำลงอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสูงขึ้น

มาถึงตรงนี้  เรื่องมันก็สมเหตุสมผลดีไม่มีอะไร  แต่ต่อจากตรงนี้ว่าแล้วมันกระทบกับหุ้นทำให้หุ้นตกได้ยังไง  ก็เป็นอะไรที่ผมก็งงละ

ในเมื่อ bond yield สูงขึ้นเพราะคนไม่อยากถือพันธบัตร  คนก็ต้องเอาเงินไปทำอย่างอื่นถูกมะ  ถ้าถือเงินสดไว้เฉยๆอย่างงั้นก็ถือพันธบัตรดีกว่าเพราะเงินสดมันก็เจอเงินเฟ้ออยู่ดีไม่มีประโยชน์อะไร  คนอาจจะเอาไปซื้อทองซึ่งอดีตที่ผ่านมาถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ดีเพราะราคามันก็ขึ้นตามเงินเฟ้อ  หรือไม่งั้นก็ซื้อหุ้นเพราะถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นฟื้นตัวหรือเงินเฟ้อสูงขึ้น  บริษัทก็จะกำไรดีขึ้นราคาหุ้นก็สูงขึ้น  เป็นการป้องกันเงินเฟ้อได้ดีขึ้นเช่นกัน  ดังนั้นถ้าตามเหตุและผลแล้วสถานการณ์ในเวลานี้มันควรจะดีกับหุ้นนะ

แต่ปรากฎว่าไม่ใช่  กลายเป็นว่าหุ้นตกและคนก็ตกใจกลัวเงินเฟ้อกลัว bond yield สูงขึ้นอะไรซักอย่าง  ผมก็งงเหมือนกัน  เท่าที่อ่านดูในข่าว  ดูเหมือนเหตุผลจะเป็นเพราะคนกลัวว่าถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว + เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างเร็วในอนาคต  จะทำให้ธนาคารกลางออกมาเพิ่มอัตราดอกเบี้ย  และเมื่อเพิ่มอัตราดอกเบี้ยก็จะทำให้ต้นทุนการยืมเงินสูงขึ้นบริษัทยืมเงินน้อยลงและทำให้คนสนใจออมเงินเยอะขึ้นใช้จ่ายน้อยลง  บริษัทก็จะโตช้าลงและหุ้นอาจจะตก

ซึ่งผมก็ว่ามันแปลกๆนะ  เพราะธนาคารกลางก็ออกมาบอกอยู่แล้วว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย  แนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในเวลาที่เศรษฐกิจยังไม่ปกติก็ไม่น่าเป็นไปได้อยู่แล้ว  ความกังวลอันนี้ก็ดูห่างไกลยังไงไม่รู้  ในขณะที่วัคซีนดูได้ผลเศรษฐกิจก็น่าจะฟื้นและดีขึ้นหลังจากนั้น  ปัจจัยในระยะสั้นนี่ชี้ไปยังการฟื้นตัวและดูจะสนับสนุนการถือหุ้นมากกว่านะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นของ วอเรน บัฟเฟตต์ กับ ชาร์ลี มังเกอร์

Warren Buffett's valuation method

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นของ วอเรน บัฟเฟตต์ กับ ชาร์ลี มังเกอร์

เมื่อเร็วๆนี้ผมอ่านหนังสือชื่อ Charlie Munger the complete investor ของ Tren Griffin ครับ  ไอเดียของหนังสือคือคนเขียนเค้าพยายามเรียบเรียงสรุปแนวคิดของ Charlie Munger Vice Chairman ของ Berkshire Hathaway ซึ่งเป็นคนที่เค้าชื่นชมออกมาเป็นหมวดๆ  แล้วพอดีมันมีส่วนที่คนเขียนเค้าพูดถึงวิธีการลงทุนที่ Charlie Munger กับ Warren Buffett ใช้ด้วย  ซึ่งผมว่ามันน่าสนใจทีเดียว  เพิ่งรู้เหมือนกันเพราะนึกว่าปกติเค้าก็ใช้ Discounted cash flow ธรรมดา

ในภาพรวมเค้าก็ใช้ Discounted cash flow นั่นแหละ  แต่สิ่งที่ดูมีความต่างออกไปจากปกติมีสองอย่างคือตัว cash flow ที่เอามาคิดลด  กับ discount rate ที่ใช้คิดลด

1. ตัว cash flow เค้าใช้คำว่า owner’s earnings  

หลักการของตัวเลขตัวนี้ก็คือพยายามจะคำนวณว่ากำไรที่บริษัททำได้แล้วไปถึงมือผู้ถือหุ้นคือเท่าไหร่  วิธีการคำนวณคล้ายๆ Free cash flow to equity เลยคือ

กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม + ค่าตัดจำหน่าย – เงินสดที่ใช้ไปในการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร – เงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น

จะเห็นว่าคล้ายกับ Free cash flow to equity มาก  ต่างแค่ตรงที่ Free cash flow to equity ปกติเค้าจะมีเพิ่มอีกตัวคือ + เงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น  ที่บวกตัวนี้เพิ่มขึ้นมาเพราะเค้ามองว่าการที่กู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นมาก็ทำให้ใช้เงินลงทุนของผู้ถือหุ้นในการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรหรือพวกเงินทุนหมุนเวียนน้อยลง

เข้าใจว่าสาเหตุที่ Charlie Munger กับ Warren Buffett ไม่นับเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นเพราะพวกนี้ชอบบริษัทที่มีหนี้เงินกู้น้อยมากๆหรือถ้าเป็นไปได้ไม่มีกู้ยืมเงินเลย

2. ตัว Discount rate เค้าใช้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี

จริงๆตัวเลขเป๊ะๆไม่มีใครรู้ชัดเจน  แต่เค้าเคยพูดไว้ว่าใช้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 30 ปีเป็นตัวคิดลด  ซึ่งก็คือตัว risk free rate  หรือไม่ก็อาจจะมีบวก premium นิดหน่อย 1-2% ถ้าเค้ามองว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว ณ ตอนนั้นมันไม่น่าจะอยู่ที่ระดับนั้นในระยะยาว

อันนี้เป็นอะไรที่แปลกออกไปจากทฤษฎีที่สอนกันมาก  เพราะเวลาผมเรียนเค้าจะให้ใช้อัตราผลตอบแทนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงของหุ้นหรือสินทรัพย์นั้นๆไม่ใช่ risk free rate  เพราะว่าหุ้นมันมีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรที่รับรองโดยรัฐบาลแน่นอน  มันมีโอกาสเจ๊งหรือผลประกอบการแย่ลงหรืออะไรก็แล้วแต่และดังนั้นเพื่อให้การประเมินมูลค่าของหุ้นเค้าเลยสอนให้ใช้อัตราคิดลดที่สูงกว่า

เท่าที่ตีความจากสิ่งที่ Warren Buffett เขียนในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น  เข้าใจว่าเป็นเพราะเค้ามองว่าการวัดความเสี่ยงออกมาเป็นตัวเลขว่าเท่ากับกี่ % นี่เป็นเรื่องไร้สาระ  สำหรับเค้าแล้วการที่จะไปพยายามประเมินมูลค่าของบริษัทให้ได้แม้ว่ามันจะเสี่ยงมากและเราไม่รู้เลยว่าอนาคตมันจะเป็นยังไงด้วยการซี้ซั้วใช้เลขอะไรก็ไม่รู้เป็นอัตราคิดลดมันดูมั่ว  มันควรจะเริ่มจากการมองว่าเรามั่นใจขนาดไหนว่าบริษัทนั้นจะทำได้ดี  ถ้าเรามั่นใจมากถึงขึ้นแทบชัวร์แล้วดังนั้นมันก็คือความเสี่ยงมันต่ำ  ก็เลยทำการคิดลด owner’s earnings ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นด้วยอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลเลย  แล้วเวลาซื้อก็ซื้อให้มันต่ำกว่ามูลค่านั้นลงมาให้มี margin of safety แทน

สรุป

แปลกดีมั้ยครับ  ส่วนตัวผมอ่านเจอตรงนี้ผมก็มีความเห็นด้วยนะ  ส่วนนึงอาจจะเพราะมีความเชื่อถือสองคนนี้อยู่แล้ว  แต่อีกส่วนนึงคือจากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมก็เห็นด้วยว่ามันควรจะเริ่มจากดูตัวบริษัทก่อน  ผมพบว่าขอให้เราดูตัวธุรกิจมันไม่พลาด  เรื่องการประเมินมูลค่าเอาแค่กะหยาบๆว่าซื้อได้ถูกระดับนึงผลลัพธ์มันก็จะออกมาดีตลอดนะ  ที่มันเละแล้วสุดท้ายขาดทุนคือครั้งที่พลาดเรื่องตัวธุรกิจซะมากกว่า