ตอนนี้เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นไปถึงไหนแล้ว ? ธุรกิจไหนฟื้นก่อน ? ธุรกิจไหนยัง ?

How is the recovery on US economy ? Which sector and industry recover first ? Which have not recovered yet ?

ตอนนี้เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นไปถึงไหนแล้ว ? ธุรกิจไหนฟื้นก่อน ? ธุรกิจไหนยัง ?

ผมไปอ่านเจอบทความอันนี้ของ Morningstar คุยเรื่องเศรษฐกิจอเมริกาว่าฟื้นมาขนาดไหนแล้วเทียบกับช่วงก่อนโควิด  ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังอยากรู้พอดี  คือผมอยากรู้ว่าเศรษฐกิจของอเมริกาหลังจากเปิดให้ธุรกิจห้างร้านกลับมาปกติเกือบหมดแล้วมันเป็นยังไงบ้าง  เพราะถึงจุดนึงคาดว่าประเทศไทยก็น่าจะตามรอยเค้านะ

อันนี้ให้ดูจากเวป USA Today ว่าล่าสุดรัฐสีเขียวเป็นส่วนใหญ่ละ  หมายความว่าพวกข้อจำกัดต่างๆจากโควิดไม่มีละ  บางรัฐที่เป็นสีชมพูคือรัฐที่เริ่มมีนโยบายระวังโควิดกลับขึ้นมาเนื่องจากการระบาดเริ่มเยอะขึ้น  ส่วนสีน้ำเงินคือตอนนี้ข้อจำกัดยังไม่ยกเลิกแต่กำลังจะผ่อนคลายลง

ผมสรุปคร่าวๆเนื้อหาที่เค้าพูดถึงในบทความอัพเดทให้ฟัง

  • เค้ามองว่าการระบาดของ Delta ยังไงก็ไม่น่าจะมีผลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจเท่าไหร่  เพราะคนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็จะป่วยแบบอาการไม่หนักดังนั้นก็จะใช้ชีวิตได้ปกติ  ส่วนคนที่ยังไม่ฉีดก็คือคนที่ไม่แคร์และใช้ชีวิตตามปกติอยู่แล้ว
  • ในเรื่องเศรษฐกิจโดยรวม  เค้าคาดว่า Real GDP (GDP ที่ตัดผลของเงินเฟ้อแล้ว) จะเติบโต 6% และ 4.3% ในปี 2022  หลักๆแล้วมาจากปัจจัยทางฝั่งอุปทานคนกลับมาทำงานกันเยอะขึ้น  อัตราการว่างงานต่ำลง  ด้านอุปสงค์ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะปัจจุบันเราก็เห็นอยู่แล้วว่าเงินเฟ้อสูงขึ้นเป็นเพราะความต้องการสินค้าบริการกลับขึ้นมาเร็วกว่าทางฝั่งผู้ผลิต
  • ส่วนเรื่องการบริโภค  ของอุปโภคบริโภคนี่เป็นตัวนำเศรษฐกิจฟื้นเลย  หลักๆน่าจะมาจากการที่รัฐบาลออกนโยบายให้เงินกระตุ้น  ส่วนภาคบริการก็ฟื้นขึ้นมาอย่างเร็ว  แต่ปัจจุบัน Q2 2021 ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ 3.3%  เชื่อว่าในอนาคตก็จะฟื้นตัวกลับไปสูงกว่าก่อนโควิด  Delta อาจจะทำให้ฟื้นช้าแต่คาดว่ายังไงก็ฟื้นแน่
  • กลุ่มธุรกิจร้านอาหารกับโรงแรม  ตอนนี้ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดแค่ประมาณ 3% เท่าน้ัน  ซึ่งถือว่าฟื้นมาเยอะมากเพราะเป็นกลุ่มธุรกิจที่กระทบหนักจริงๆ  ตอน Q2 2020 นี่ตกไป 40%
  • ธุรกิจกลุ่มสุขภาพตอนนี้ก็ต่ำกว่าก่อนโควิดประมาณ 4.3%  หลักๆมาจากการที่คนส่วนใหญ่ถ้าไม่จำเป็นก็ยังหลีกเลี่ยงการไปหาหมอเพราะความเสี่ยงจากการติดโควิด
  • สาเหตุที่ธุรกิจบริการบางประเภทฟื้นตัวเร็วกว่า  เช่นร้านอาหารดูฟื้นตัวเร็วกว่าบริการอย่างสุขภาพ  น่าจะเป็นเพราะธุรกิจบริการบางประเภทต้องมีการวางแผนล่วงหน้า  อย่างเช่นการท่องเที่ยว, คอนเสิร์ตหรือการรักษาทางการแพทย์ที่จริงจังอย่างผ่าตัด  พวกนี้ต้องใช้เวลาซักพักถึงจะเริ่มมองเห็นการฟื้นตัว
  • การจ้างงานฟื้นตัว  แต่ดูจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด  เค้าคาดว่าการจ้างงานน่าจะฟื้นเต็มที่กลางปีหน้า  ณ ตอนนี้ Q2 2021 อัตราการจ้างงานยังต่ำกว่าก่อนโควิดอยู่ประมาณ 4.5%
  • ทั้งที่การจ้างงานจะยังไม่กลับมาเต็มที่  แต่ Real GDP ของ Q2 2021 ก็สูงกว่าที่คาด  มาจากการที่คนทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • พนักงานกำลังกลับไปทำงานในออฟฟิศ  เมื่อปีที่แล้วเค้าคาดว่าพนักงานประมาณ 40% ทำงานจากที่บ้าน  แต่ตอนนี้น่าจะเหลือประมาณ 20%  เมื่อจบเรื่องโควิดก็คาดว่าจะเหลือประมาณ 13% ซึ่งสูงกว่า 9% ช่วงก่อนโควิด
  • ส่วนที่ยังห่างไกลกับก่อนโควิดมากคือพวกการเดินทางเรื่องงาน  ธุรกิจที่พึ่งพาการเดินทางเรื่องงานก็น่าจะลำบาก  ต่อให้โควิดหายไปก็ยังไม่แน่ว่าจะฟื้นกลับมามั้ย  และในเวลานี้จากการสำรวจของ Deloitte ที่ทำกับธุรกิจใหญ่ๆคาดว่า Q2 2021 ที่ผ่านมาการใช้จ่ายเพื่อการเดินทางในธุรกิจอยู่ในระดับ 10-15% ของปี 2019  คาดว่าจะกลับไปที่ 75% ภายในสิ้นปี 2022
  • สำหรับคนที่สนใจจะอ่านบทความอันนี้ของ Morningstar ผมทิ้งลิ้งค์ไว้ให้ครับ  https://www.morningstar.com/articles/1056741/how-close-is-the-us-economy-to-normal

น่าสนใจอยู่นะ  ในแง่นึงมันก็ทำให้ผมรู้ว่าเศรษฐกิจของอเมริกานี่ฟื้นมาเยอะละนะ  และการที่เห็นตัวอย่างว่าธุรกิจอย่างร้านอาหารหรือสินค้าต่างๆฟื้นก่อนบริการประเภทอื่นก็เป็นอะไรที่มีประโยชน์  เผื่อถึงเวลาของไทยฟื้นผมก็จะซื้อหุ้นกลุ่มพวกนี้ก่อน

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อัพเดทสถานการณ์การลงทุน : ดูเหมือนเดลต้าจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

Augest 2021 Investment Update : Delta variant isn't as bad as previously thought.

อัพเดทสถานการณ์การลงทุน : ดูเหมือนเดลต้าจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

วีดิโอนี้เราติดตามสถานการณ์ต่อจากวีดิโอที่แล้ว

คำถามสำคัญของวีดิโอที่แล้วที่เราทิ้งไว้คือ  “สรุปการฉีดวัคซีนได้เยอะทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้หรือเปล่า  หรือซักพักก็ต้องกลับมาปิดธุรกิจปิดห้างร้านอาหารกันใหม่อยู่ดี ?”  ถ้าได้ก็หมายความว่าประเทศต่างๆถึงจุดหนึ่งก็จะสามารถกลับมาสู่สภาวะปกติได้ธุรกิจก็จะฟื้น  หุ้นบริษัทที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวหรือโดนโควิดกระทบตรงๆก็จะฟื้น  แต่ถ้าไม่ได้ก็แปลว่าพวกหุ้นท่องเที่ยวหรือโดนโควิดกระทบตรงๆก็เตรียมเละได้เลย  เพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะกลับมาสู่สภาวะปกติได้  บริษัทไม่สามารถทนขาดทุนไปได้เรื่อยๆ  โดยเราบอกให้จับตามองประเทศอังกฤษเป็นหลัก  เพราะฉีดวัคซีนได้เยอะและเพิ่งกลับมาอนุญาตให้คนใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ  ในขณะเดียวกันในตอนนั้นจำนวนผู้ป่วยใหม่ก็กำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  และก็เลยเป็นเหตุผลที่วีดิโอที่แล้วผมบอกว่าความเสี่ยงสูงขึ้นนะ

มาถึงตอนนี้  ประมาณ 1 เดือนผ่านไป  สถานการณ์ยังไม่ถึงกับชัด  แต่เท่าที่ดูดูเหมือนความเสี่ยงจะลดลง  ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

ปรากฎว่าหลังจากช่วงที่ทำวีดิโอรอบที่แล้วไป  จำนวนผู้ป่วยใหม่ในอังกฤษไม่ได้สูงแบบพรวดๆต่อเนื่อง  ดูเหมือนอยู่ในระดับที่ไม่เลวร้ายเท่าไหร่เมื่อพิจารณาประกอบว่า Freedom Day ผ่านมา 1 เดือนแล้ว

จำนวนผู้ป่วยใหม่ต่อวันก็น้อยกว่าช่วงเดือนที่แล้ว  จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับจำนวนคนป่วยที่เพิ่มขึ้น  แต่ก็เห็นได้ชัดว่าวัคซีนน่าจะได้ผลเพราะจำนวนคนตายต่อวันรวม 7 วันแค่ 687 คน  ซึ่งคือเฉลี่ย 98.14 คนต่อวัน  ต่ำกว่าไทยอีก  และเรื่อง Positivity rate ก็ไม่สูง  กะคร่าวๆคือ 227,391 คนจาก 5,213,493 ที่ตรวจ  คิดเป็น 4.36% เท่านั้น (ตัวเลขไม่เป๊ะเพราะสังเกตว่าวันที่มันไม่ตรง)

บางประเทศก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่เช่นใน US ที่จำนวนผู้ป่วยใหม่ก็ดูเยอะอยู่และยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น  แต่อย่างน้อยจำนวนการตายก็ยังดูไม่เลวร้าย  คล้ายๆกับอังกฤษช่วงก่อนหน้านี้ที่เคสเยอะแต่ถึงตายน้อย

โดยรวมแล้วผมก็สบายใจขึ้นนะ  เพราะเราเห็นตัวอย่างของอังกฤษว่ามันจะไม่ใช่พุ่งสูงไปเรื่อย  และดังนั้นหมายความว่าก็ไม่น่าจะต้องปิดธุรกิจตราบใดที่ไม่มีสายพันธุ์ใหม่อะไรโผล่มาพลิกสถานการณ์  เป็นผลดีอย่างยิ่งกับหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิดที่ผมถืออยู่

พูดถึงประเทศไทยนิดนึง  ช่วงนี้เห็นตัวเลขจำนวนคนป่วยใหม่ต่อวันใกล้เคียงเดิมและมีแววจะลดลง  บางคนก็บอกว่าเพราะตรวจน้อย  ก็เป็นไปได้แหละ  แต่ในสาระสำคัญภาพใหญ่ก็คือมันจะมีจุดสิ้นสุด  เพราะเราเห็นว่าวัคซีนได้ผล  และเอาจริงๆถ้าติดกันเยอะมากถึงจุดนึงมันก็จะเริ่มระบาดน้อยลงเพราะคนติดกันไปหมดแล้ว  เหมือนอย่างในอินเดีย  

ดังนั้นภาพรวมในการลงทุนผมก็มองเหมือนเดิมคือเป็นผมจะลงทุนในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากโควิดและคิดว่ามีเงินทุนเหลือพอน่าจะรอด

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ทำไมเราสนใจหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิด แต่ไม่สนใจหุ้นที่ได้รับประโยชน์ ?

Why we're interested in companies hit by COVID not benefit from COVID ?

ทำไมเราสนใจหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิด แต่ไม่สนใจหุ้นที่ได้รับประโยชน์ ?

มีคนฟังวีดิโอเราแล้วสงสัยว่าทำไมดูเหมือนเราสนใจหุ้นที่โดนผลกระทบจากโควิด  ทำไมเราไม่สนใจหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโควิด

อันนี้ผมตอบครอบคลุมเหตุการณ์โควิดและวิกฤติอื่นๆด้วยเลย  เอาจริงๆผมว่าน่าจะเป็นสไตล์แล้วแต่คนชอบมากกว่าครับ

ถ้าจะลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤติ  อย่างกรณีโควิดอาจจะเช่นบริษัทผลิตหน้ากาก, ถุงมือยาง, ฯลฯ  ก็ต้องซื้อเร็วหน่อย  คือซื้อตั้งแต่ต้นๆที่เกิดเรื่อง  แล้วก็ไม่สามารถถือยาวนานเกินไปได้  ถ้าจะให้กำไรสูงสุดก็ต้องขายก่อนวิกฤติจะจบ  เพราะต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ผิดปกติมันทำให้บริษัทขายดีมากผิดปกติ  หมายความว่าถ้าเหตุการณ์ผิดปกติที่ว่านั่นหายไป  ยอดขายที่ดีขึ้นกว่าปกติมันก็จะหายไปด้วย  แล้วถ้ายอดขายสุดท้ายลดลงเดี๋ยวราคาหุ้นยังไงก็จะตามผลประกอบการ  ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการถือยาว  หนึ่งในตัวอย่างหุ้นในกลุ่มนี้ที่ผมนึกออกก็อย่างเช่น Top Glove ที่ทำถุงมือยางครับ  ถ้าดูผลประกอบการย้อนหลังก็จะเห็นว่าก่อนโควิดเค้าก็ทำได้ไม่เลวนะ  แต่พอเกิดโควิดปุ๊บผลประกอบการพุ่งเลย  ยิ่งถ้าดู TTM นี่คือรายได้เติบโตกำไรเติบโตเยอะมาก  ราคาหุ้นก็เช่นกันพุ่งพรวดขึ้นมาเลย  แต่ทีนี้ในระยะยาวล่ะ  ถ้าโควิดจบไปความต้องการถุงมือของโลกมันจะสูงไปตลอดเชียวหรือ

ส่วนถ้าจะลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ  อย่างกรณีโควิดนี่  สิ่งที่เราทำคือมองหาหุ้นที่ก่อนโควิดมันก็เข้มแข็งและทำได้ดีสม่ำเสมออยู่  จนมาเจอโควิดทำให้ผลประกอบการแย่ลงและราคาหุ้นตกรุนแรง  เราก็เลือกซื้อที่เราพิจารณาว่ามันจะรอดโควิดไปได้กับถ้ารอดไปได้มันจะกลับมาทำได้ดีเหมือนเดิม  ข้อดีของกลุ่มนี้คือไม่ได้ต้องรีบเท่าอีกกลุ่มนึง  มีเวลาให้ติดสินใจ  และที่สำคัญคือถือยาวเลยโควิดจบไปเลยก็ได้  เพราะยิ่งถือยาวบริษัทก็ยิ่งทำได้ดีขึ้น  ราคาหุ้นสุดท้ายก็จะปรับตาม  นึกภาพดูว่าที่บริษัททำได้แย่ลงเป็นเพราะเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้น  เมื่อเหตุการณ์พิเศษนั้นหายไปบริษัทก็จะกลับมาทำได้ดีเหมือนเดิม  และในเมื่อก่อนหน้าเหตุการณ์พิเศษบริษัทมันก็เข้มแข็งและทำได้ดีอยู่แล้ว  พอเหตุการณ์หายไปบริษัทก็กลับมาเข้มแข็งและทำได้ดีขึ้นตามปกติ  เราได้ซื้อบริษัทแบบนั้นมาตอนที่มันราคาถูกพิเศษพอดีอีกต่างหาก  ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องรีบขายมั้ย  แต่ข้อเสียคือซื้อหุ้นกลุ่มนี้ก็อาจต้องรอนานนิดนึง  เมื่อไหร่ผลกระทบจากเหตุการณ์ผิดปกติถึงจบล่ะ  อย่างโควิดนี่ก็อาจจะนาน  กับอาจจะเสี่ยงไปอีกแบบคือบริษัทมันต้องรอดจากวิกฤตินะ  ถ้าเจ๊งไปก่อนระหว่างทางเราก็เดือดร้อน

สรุปคือ  ทั้งสองแบบมันก็มีข้อดีข้อเสียแหละ  ที่ผมพูดถึงหุ้นกลุ่มโดนผลกระทบบ่อยก็แค่เพราะส่วนตัวผมชอบไปทางนั้นก็เท่านั้นเองครับ  คุณจะลงทุนในกลุ่มไหนก็ได้แล้วแต่  แค่ต้องเข้าใจข้อจำกัดของมันไว้เท่านั้นเอง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

โควิดระบาดรอบ 2 นี่ นับเป็นโอกาสหรือเปล่า ?

Is the second COVID wave in Thailand considered opportunity ?

โควิดระบาดรอบ 2 นี่ นับเป็นโอกาสหรือเปล่า ?

มีคนถามความเห็นว่าสมมติ COVID เวฟสองนี้ระบาดรุนแรงขึ้นมาจนต้องมี lockdown อีกรอบ  แบบนี้ผมยังมองว่าเป็นโอกาสอยู่หรือเปล่า

อันนี้คือตอบแบบมองจากมุมของการลงทุนในหุ้นล้วนๆไม่นับความเสียหายต่อเศรษฐกิจหรือชีวิตคน  มันก็ขึ้นอยู่กับว่าตลาดหุ้นตกด้วยมั้ย  ถ้าไม่ตกก็ต้องไม่ใช่โอกาสแน่  แต่สมมติตลาดหุ้นตกรุนแรงผมก็เชื่อว่าเป็นโอกาสนะ

โดยภาพรวมสิ่งที่ผมมองคือแบบนี้

  • การจะให้ปัญหาจบสมบูรณ์การท่องเที่ยวกลับสู่ปกติ  ยังไงก็ต้องใช้วัคซีนหรือยา  ซึ่งประเด็นตรงนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป  ที่จริงแล้วดูจะดีขึ้นกว่าที่คาดด้วยซ้ำไปด้วยความที่มีวัคซีนที่ใช้ได้หลายอัน  ทดลองเสร็จเร็วกว่าที่คาด  และหลายประเทศก็เริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแล้ว
  • การระบาดรอบสอง  ไม่ว่าจะทำการ lockdown หรือไม่  มันเป็นการทำให้ระหว่างทางที่จะไปถึงสภาพปกติเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง  คือเปลี่ยนจากที่ธุรกิจพึ่งพาการกินใช้ของคนในประเทศได้ค่อนข้างปกติเพราะไม่มีการระบาดกลายเป็นการกินใชัของคนในประเทศก็อาจจะจำกัดไปด้วย  ดังนั้นก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงจริงๆเพราะมันก็จะมีผลกระทบกับผลประกอบการบริษัทในตลาด  จากบางบริษัทที่ตอนแรกเราคิดว่ารอดแน่นอนแล้วเพราะไม่ได้พึ่งพานักท่องเที่ยวอาศัยแค่คนในประเทศก็ยังกำไรพวกนี้ก็จะเสี่ยงเพิ่มขึ้นแน่ๆ
  • แต่ก็เป็นโอกาสด้วยเช่นกัน  เพราะอย่างที่บอกคือสุดท้ายจะจบได้ก็ต้องมีวัคซีนหรือยาอยู่ดี  และการที่ระบาดรอบสองก็แค่ทำให้ระหว่างทางลำบากมากขึ้นเท่านั้น  ภาพรวมยังเหมือนเดิม

ดังนั้นสิ่งที่่ควรทำผมก็แนะนำเหมือนเดิม  ก็มองภาพไกลหน่อยแล้วเห็นมันเป็นโอกาส  มองหาบริษัทที่มันได้รับผลกระทบแล้วราคาตกแต่เราเชื่อว่ามันจะทนได้นานพอแล้วรอดนั่นแหละ  แล้วก็อย่าตกใจเกินไป  สิ่งที่เราควรจะตกใจคืออะไรก็ตามที่ทำให้ปัญหาลากยาวออกไปกว่าที่คาดเยอะๆน่ะครับ  เช่นวัคซีนใช้ไม่ได้แล้ว

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ตัวเลขน่าสนใจ : ผลกระทบ COVID-19 ในจีน

Update: COVID-19 impact on China

ตัวเลขน่าสนใจ : ผลกระทบ COVID-19 ในจีน

ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าผลกระทบจากการระบาดรอบนี้จะจบเมื่อไหร่หรือรุนแรงขนาดไหน  แต่เมื่อเร็วๆนี้ผมอ่านเจอบทความอันนึงบน Forbes ที่มีตัวเลขจาก Nomura Global Economics แสดงผลกระทบกับจีนน่าสนใจผมเลยเอามาเล่าให้ฟังครับ  นี่เป็นลิ้งค์ของบทความที่ว่าครับ https://www.forbes.com/sites/kenrapoza/2020/02/22/coronavirus-impact-china-has-fallen-into-bizarro-world/#3faa213e2edd

ตัวเลขกลับมาทำงาน (Return to work)  เค้าพบว่าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วคนส่วนใหญ่จะกลับมาทำงานกันเกือบ 100% แล้ว  แต่ปีนี้เมืองทั้ง Tier 1, 2, 3 คนกลับมาทำงานไม่ถึง 30%

ตัวเลขการใช้การขนส่งสาธารณะ (Public transport)  ตัวจำนวนผู้โดยสารทางรถไฟเพื่อเดินทางระหว่างเมืองต่อวันลดลงเกือบ -90%  และการใช้รถไฟฟ้าในเมืองทั้ง Shanghai และ Beijing ก็ลดลงฮวบประมาณ -90% เหมือนกัน

ตัวเลขการขายบ้านใหม่วัดตามตารางเมตรลดลงเกือบ -90%  และการใช้ถ่านหินของโรงไฟฟ้าลดลงประมาณ -40% เข้าใจว่าเป็นเพราะภาคการผลิตยังไม่กลับมาดำเนินงานเต็มที่

โดยรวมก็น่าจะมีผลกระทบกับตัวเศรษฐกิจพอสมควร  แต่เท่าที่ดูตลาดหุ้นจีนไม่ค่อยแตกตื่นเท่าไหร่  มีตกจริงจังช่วงหลัง Lunar New Year ตอนตลาดเปิดวันแรกเท่านั้นเอง  หลังจากนั้นโดยภาพรวมก็ดูฟื้นกลับขึ้นมาตลอด ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะรัฐบาลประกาศนโยบายที่อุ้มภาคธุรกิจหรือเปล่าหรือเป็นเพราะช่วงนี้จำนวนผู้ป่วยใหม่ในจีนที่ประกาศออกมาดูลดลง

ดังนั้นในเวลานี้ถ้าจะบอกว่าตลาดหุ้นจีนดูน่าสนใจมากก็คงไม่ใช่  แต่ก็ยังน่าติดตามครับ อาจจะมีเหตุหุ้นตกรุนแรงเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นไปได้


 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg