สัญญานบ่งชี้ว่าเราต้องหาคนช่วยแล้วแหละ

Do You Need Help With Your Investment?

สมัยนี้มันเป็นยุคข้อมูลข่าวสารจริงๆครับ สำหรับนักลงทุนที่นิยมเลือกหุ้นและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเองสมัยนี้ก็ดีกว่าสมัยก่อนเยอะ เพราะข้อมูลอะไรที่เราอยากรู้เราสามารถหาได้ เราอยากรู้ข่าวสารอยากรู้ผลประกอบการของหุ้นตัวไหนเราก็หาได้ แล้วเวลาเราอยากซื้อหรือขายหุ้นตัวไหนเราก็เข้าอินเตอร์เน็ตสั่งได้เองหมด ค่าธรรมเนียมถูกกว่าโทรสั่งกับโบรกเกอร์อีกต่างหาก ดังนั้นหลังๆมานี้ผมก็จะเจอคนที่เค้าลงทุนเองตัดสินใจเองเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ ซึ่งโดยส่วนตัวผมเห็นด้วยเลยนะ เพราะผมก็เป็นคนชอบเลือกลงทุนชอบคิดเองตัดสินใจเองเหมือนกัน

แต่ทีนี้ตัดสินใจลงทุนเองมันก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน  คือมันไม่มีตัววัดไงครับ มันไม่มีอะไรบอกได้ว่าที่เราลงทุนเองตัดสินใจเองนี่มันเข้าท่าหรือเปล่า แล้วมันทำให้เราร่ำรวยขึ้นจริงมั้ย บางทีคิดเองเออเองนี่มันก็น่ากลัวเหมือนกัน มั่นใจในตัวเองเกินเหตุ มีทิฐิเกินเหตุนี่มันอาจจะทำให้เราจนลงก็ได้ครับ ถึงแม้ว่ามันจะรู้สึกเท่มากก็ตาม ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่ายอมรับว่าไม่รู้เรื่องยอมดูโง่บ้าง ดีกว่าเสียเงิน ดีกว่าจนครับ ดังนั้นวันนี้ผมเลยอยากจะพูดถึงสัญญานเตือนใหญ่ๆ ว่าเราควรจะต้องศึกษาเพิ่มหรือหาความช่วยเหลือแล้วกันครับ

  1. ขาดทุนหนักๆ ถ้าโดยภาพรวมแล้ว ผลการลงทุนของคุณติดลบหนักๆ การเติบโตของพอร์ทแย่กว่าดัชนี SET และมีลักษณะแบบนั้นมาเป็นเวลาเกินสี่ปี อันนี้คุณต้องฉุกคิดแล้ว คือถ้าจะมีการติดลบชั่วคราวอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นเวลาซักปีสองปีอันนี้เข้าใจได้ เพราะหุ้นที่คุณซื้ออาจต้องใช้เวลาฟื้น ต้องให้ระยะเวลารอตลาดเปลี่ยนทัศนคติหรือรออุตสาหกรรมนั้นฟื้นตัวหรืออะไร แต่ถ้าคุณทำได้แย่กว่าตลาดมาเกินสี่ห้าปี อันนี้เริ่มผิดปกติละครับ ผมเคยเจอแบบคนลงทุนมาสิบปีละ กำไรบ้างขาดทุนบ้าง ไปๆมาๆเท่าตัวสิบปีผ่านมามีเงินเท่าสิบปีที่แล้ว อันนี้ไม่ไหวนะ คือมันจะพลาดเพราะคุณขี้เกียจ ประมาท หรือโชคร้ายหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมแนะนำให้คุณพักจากการลงทุนซักครู่ ไปหาความรู้เพิ่มได้แล้วครับ
  2. ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ไม่มีวิธีการ หรือยังขาดแนวการลงทุนที่ชัดเจน โดยเฉพาะกรณีที่ถ้าถือหุ้นอยู่หลายตัว เช่นถ้าถือหุ้นอยู่ 20 กว่าตัวนี่ผมก็ว่าเยอะเกินไปแล้วนะ คือถ้าไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ แต่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นเลยซักตัวหรือเพิ่งเริ่มต้นยังงงอยู่ แบบนี้ก็ไม่เป็นไรเพราะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นใช่มั้ยครับ แต่หนักเลยคือกรณีที่เริ่มลงทุนไปเยอะแล้ว แล้วไม่รู้ว่าจะขายเมื่อไหร่ดี ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร หรือเริ่มสับสนไม่มีแนวทางว่าจะซื้ออะไรเมื่อไหร่เพราะอะไรที่ชัดเจน อันนี้ก็แนะนำให้พักจากการลงทุนซักครู่ แล้วไปหาความรู้เพิ่มเติมครับ ไปหาแนวทางที่เรารู้สึกว่าเราเห็นด้วยกับมัน แล้วเริ่มยึดปฏิบัติ ลองทำดูวัดผลค่อยๆปรับไปครับ ถ้าไม่มีไอเดียเลยเดาสุ่มล้วนๆนี่มันอันตรายนิดนึง เพราะต่อให้วันนี้กำไร พรุ่งนี้ก็ไม่แน่ สุดท้ายคือเราไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่ากำไรเพราะอะไร ไม่รู้ว่าพลาดตรงไหน ทุกอย่างขึ้นกับอารมณ์หมดมันทำให้พัฒนายากครับ
  3. ใจร้อน คุมสติไม่อยู่ เริ่มขี้เกียจ หรือไม่มีความสนใจ กรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะเพิ่งเปลี่ยนงาน กำลังยุ่งกับธุรกิจส่วนตัว ต้องดูแลลูก หรือจะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการลงทุนตัดสินใจด้วยตัวเองเนี่ย จะวิเคราะห์แนวไหน เทคนิคหรือพื้นฐาน สุดท้ายคุณก็ต้องใส่ใจมันต้องใช้ความตั้งใจในระดับหนึ่งเหมือนกัน วิธีลงทุนที่คุณวางไว้ แนวทางการลงทุนที่ทำอยู่จะยอดเยี่ยมประเสริฐแค่ไหนไม่ได้ปฏิบัติตามก็จบครับ ถ้าคุณพบว่าคุณเริ่มไม่มีความสนใจ หรือไม่สามารถคุมสติในการลงทุนเนี่ย ผมแนะนำว่าให้พักจากการลงทุนด้วยตัวเองก่อน ถ้ารู้สึกว่าใจร้อนเกินไปคุณอาจลองไปหาเพื่อนนักลงทุนที่ไว้วางใจได้ โดยเฉพาะที่มีแนวคิดการลงทุนแบบเดียวกับเราให้เค้าคอยเตือนสติให้เราดีกว่าครับ เราเตือนเค้า เค้าเตือนเรา จะได้ไม่พลาดด้วยกันทั้งคู่ครับ ส่วนกรณีที่เริ่มขี้เกียจ รู้ตัวว่าเริ่มขาดความสนใจจะทำ ผมแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมหรือกองทุนที่ลงทุนเฉลี่ยไปเลยน่าจะได้ผลดีกว่าเราทำอะไรครึ่งๆกลางๆครับ

สุดท้ายผมอยากจะฝากว่า มันมีเส้นบางๆระหว่างคำว่า “ไม่ย่อท้อ” กับคำว่า “ดันทุรัง” อยู่ครับ แล้วสองคำนี้มันมีความคล้ายกันอยู่นะ ใช้ความตั้งใจด้วยกันทั้งคู่เลยด้วย แน่นอนว่าผมสนับสนุนให้คนลงทุนด้วยตัวเองครับ แต่เราต้องยอมรับความจริงและตระหนักอยู่เสมอว่าเราก็ไม่ได้ลงทุนเอาเท่นะ เราลงทุนเอารวยครับ ดังนั้นถ้าที่เราทำอยู่ไม่ได้ผล จะยอมรับว่าไม่รู้เรื่องบ้าง ต้องลงทุนไปฟังสัมมนาหาความรู้ใหม่ๆบ้าง ยอมไม่เท่บ้าง แล้วมันจะรวยขึ้น ผมก็ว่ายอมไม่เท่เถอะครับ

Please note: I reserve the right to delete comments that are offensive or off-topic.

Leave a Reply