เลือก REIT ยังไง ให้ปลอดภัย + ปันผลสม่ำเสมอ

How to Choose REIT, Safe + Reliable Dividend

เลือก REIT ยังไง ให้ปลอดภัย + ปันผลสม่ำเสมอ

เลือก REIT ยังไงดี ?

จากวีดิโอหัวข้อก่อนหน้านี้ที่ผมเพิ่งทราบว่า REIT ในอเมริกาผลตอบแทนดีกว่าหุ้น  วีดิโอนี้ผมมาเล่าให้ฟังว่าจากที่เริ่มศึกษามา สิ่งที่ผมมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือก REIT มันมีอะไรบ้าง

ก่อนอื่นเลยโดยภาพรวมผมมีความรู้สึกว่าพวก REIT, Property Fund กับ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) มันจะคล้ายๆกันเลยนะ  ในรายละเอียดมีความแตกต่างกันแหละ แต่จากมุมมองผมมันก็เป็นหน่วยลงทุนที่ไปซื้อทรัพย์สินหรือสิทธิ์การเช่าระยะยาวของทรัพย์สินแล้วเอามาปล่อยเช่าหารายได้  กำไรส่วนใหญ่ต้องจ่ายเป็นปันผลออกมาให้นักลงทุนเหมือนกัน และเท่าที่อ่านดูวิธีเลือกพวกนี้ผมก็รู้สึกว่ามันคล้ายๆกันนะครับ ดังนั้นผมพูดถึงพวกนี้รวมๆกัน และพูดถึงเรียงตามความสำคัญละกันนะครับ

 

ดูว่าอัตราเงินปันผลตอบแทนว่าน่าสนใจสำหรับเรามั้ย

อันนี้ก็ตรงไปตรงมา  ถ้า Yield ต่ำมากไม่น่าสนใจเราก็ข้ามไปดูอันอื่น

ดูตัวทรัพย์สินที่เค้าไปลงทุน

เรื่องนี้สำคัญสุด  เพราะเราจะได้ปันผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าทรัพย์สินนั้นมันมีคนมาเช่าหรือเปล่า  เราต้องเข้าใจลักษณะของทรัพย์สิน มันเป็นห้างหรือออฟฟิศสำนักงานหรือโรงแรมหรือโกดังหรืออะไร  และต้องคิดว่ามันจะมีคนเช่าหรือเปล่า

ไปดูว่าคร่าวๆว่าเป็นทรัพย์สินอะไรได้บนเวป SET

ดูผลการดำเนินงานอย่างคร่าว

ถ้าให้ดีมันก็ควรจะทำได้ดีขึ้นหรืออย่างน้อยเท่าเดิมน่ะนะครับ  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของทรัพย์สินด้วยแต่โดยปกติผมก็จะดูว่าทำได้ใกล้เคียงเดิมมั้ย

 

ดูว่าเป็น Leasehold หรือ Freehold

ประเด็นตรงนี้ก็สำคัญ  ถ้าเป็น Freehold แปลว่าตัว REIT ซื้อตัวทรัพย์สินและเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นเลย  ดังนั้นสามารถหาประโยชน์กับทรัพย์สินนั้นไปได้ตลอดไป แต่ถ้าเป็น Leasehold แปลว่าตัว REIT ซื้อสิทธิ์การเช่าทรัพย์สินและเป็นมีสิทธิหาประโยชน์จากค่าเช่าภายในระยะเวลาที่จำกัดในสัญญา  ดังนั้นแปลว่าถึงวันหนึ่งที่สิ้นสุดสัญญา REIT ก็จะปิดไปหรืออย่างน้อยก็ไม่ได้รายได้จากทรัพย์สินนั้นแล้ว

ก็ส่วนตัวผมอาจจะชอบ Freehold มากกว่าแหละ  แต่ไม่ได้แปลว่า Leasehold มันด้อยกว่านะครับ  สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับว่าอัตราผลตอบแทนที่ Leasehold จ่ายอยู่เทียบกับราคาและดูว่าเหลืออยู่กี่ปี  Leasehold มันอาจจะดีกว่า Freehold ก็ได้ถ้าอัตราผลตอบแทนที่จ่ายอยู่สูงกว่ามากและเหลืออยู่อีกหลายปี  ต้องดูรายตัวอยู่ดี

 

ดูตัววัดสำคัญอย่าง Occupancy rate, ค่าเช่าต่อตารางเมตร, ฯลฯ

เรื่องนี้ก็สมควรดู  ปกติก็จะอยู่ในรายงานประจำปีเช่นกัน  สุดท้ายมันก็ส่งผลต่อการเก็บค่าเช่าน่ะแหละ

 

ดูลักษณ ะของสัญญาที่ทำกับผู้เช่า

ดูว่าทำสัญญาเอาไว้แบบไหน  ระยะเวลาของสัญญาเท่าไหร่ โดยเฉพาะพวกกองทุนที่มีผู้เช่าหลักแค่คนเดียวเรื่องนี้จะมีผลเยอะ  ถ้าเป็นพวกศูนย์การค้าหรืออาคารสำนักงานที่มีผู้เช่าหลากหลายเรื่องนี้ไม่ค่อยซีเรียส

ผมเอะใจว่าเรื่องนี้สำคัญตอนเจอสองกองทุนที่ให้เช่าตัวอาคารสำหรับทำธุรกิจโรงแรมคล้ายๆกัน  แต่สองกองทุนนี้รายได้ต่างกันเพราะตัวสัญญาที่กองทุนทำกับผู้เช่า อันนึงคือ TLHPF ที่ให้เช่าตัวโรงแรมพีพี ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท  กับ LUXF ที่ให้เช่าตัวโรงแรม Six Sense ยาวน้อย

รายได้ของ TLHPF คงที่มาก  เพราะตัวสัญญากำหนดค่าเช่าตายตัวไว้เลย  ดังนั้นเราก็สบายใจได้ว่าไม่ว่าโรงแรมจะทำได้ดีหรือไม่ดี  อย่างน้อยผู้เช่าซึ่งคือฮอลิเดย์ อินน์ก็ต้องจ่ายค่าเช่าเท่าที่ตกลงกันไว้  แต่ก็แปลว่าโอกาสจะได้ดีขึ้นก็ไม่มีเช่นกัน

ส่วนรายได้ของ LUXF โตขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา  เพราะลักษณะสัญญาเป็นแบบมีส่วนที่คงที่ไม่เยอะ แล้วก็มีส่วนที่เป็นผันแปรตามผลประกอบการของโรงแรม  ก็เลยทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นได้ แต่ก็เสี่ยงว่าถ้าโรงแรมทำได้ไม่ดีเงินปันผลที่ได้ก็จะหดลงไปได้เหมือนกัน

 

ปัจจุบันผมก็จะดูประมาณนี้เลยครับ

 
ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg