ถ้าตลาดหุ้นตกแรง ใช้เวลานานมั้ยกว่าหุ้นจะฟื้น ??

How Much Time Does It Take for Stocks to Recover from an Economic Downturn ??

ถ้าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ จะใช้เวลานานมั้ยกว่าหุ้นจะฟื้น ??

ช่วงนี้เริ่มเห็นข่าวทั้งไทยและต่างประเทศพูดถึงเศรษฐกิจชะลอตัวบ่อยขึ้น บวกกับว่าเราไม่ได้มีหุ้นตกรุนแรงมาซักพักแล้วเลยเริ่มมีคนพูดกันว่าอาจจะใกล้มีวิกฤติเศรษฐกิจอะไรซักอย่างแล้ว

ซึ่งเราก็บอกทุกคนอยู่เสมอว่าเหตุการณ์ที่หุ้นตกรุนแรงเป็นโอกาสดีที่จะได้ซื้อหุ้นราคาถูกเพราะเดี๋ยวมันก็ฟื้นกลับขึ้นมา แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังกลัว วันนี้เราเลยมานำเสนอข้อมูลว่าที่ผ่านมาเวลาตลาดหุ้นตกรุนแรง มันใช้เวลานานมั้ยกว่าหุ้นจะฟื้นกลับมา

ตลาดหุ้นไทย
เริ่มจากตลาดหุ้นไทยก่อน วิธีการทำก็ไม่ยากเพราะเราสามารถหาดาวน์โหลด Excel ตัวเลขดัชนี SET รายเดือนย้อนหลังได้ถึงเมษายน 1988 จากเวปของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็คือย้อนหลัง 31 ปี 4 เดือน
หลังจากนั้นสิ่งที่ทำก็คือเอาข้อมูลมาดูว่ามีช่วงไหนบ้างที่เรียกว่าตลาดตกรุนแรง เรานับเดือนที่ SET ต่ำกว่าจุดที่สูงสุดที่เคยมีอย่างน้อย 10% เป็นจุดเริ่มต้น แล้วดูว่าเดือนไหนที่ SET กลับมาอย่างน้อยเท่ากับจุดสูงสุดในอดีตเราก็นับเดือนนั้นเป็นจุดสิ้นสุดของตลาดตก ในแต่ละช่วงเราจะดูด้วยว่าตลาดหุ้นใช้เวลากี่เดือนเป็นขาลงถึงจุดต่ำสุดและใช้เวลากี่เดือนเป็นขาขึ้นฟื้นกลับขึ้นมาจนถึงระดับก่อนตลาดตก

สิ่งที่เราสังเกตได้จากที่เราได้จากผลลัพธ์นี้คือ
1. วิกฤติต้มยำกุ้งรุนแรงมากและกินเวลานานมากซะจนการทดลองนี้แทบไม่เห็นอะไรเพราะกินช่วงเวลาไปเกือบ 23 ปี 10 เดือน จากช่วงที่เราพิจารณาทั้งหมด 31 ปี 4 เดือน ดังนั้นตัวเลขเฉลี่ยอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่
2. จากประวัติศาสตร์ ช่วงที่เป็นขาลงที่นานที่สุดคือ 56 เดือน นี่คืออย่างมากที่เราต้องรอหลังจากนั้นตลาดจะเริ่มเข้าช่วงฟื้น
3. ดูเหมือนหุ้นจะตกถึงจุดต่ำสุดอย่างเร็ว แล้วใช้เวลานานกว่าตอนฟื้น
4. ถ้าไม่นับวิกฤติต้มยำกุ้ง หุ้นตกไม่ถึึงปีก็ถึงจุดต่ำสุดและจะเริ่มฟื้นละ
Link to ข้อมูลตลาดหุ้นไทย : https://www.set.or.th/th/market/market_statistics.html

ตลาดหุ้นอเมริกา
เรามาลองดูตลาดหุ้นต่างประเทศดูบ้าง ปกติผมจะใช้ตลาดหุ้นอเมริกาเป็นหลักเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่, มักจะหาข้อมูลง่ายและที่สำคัญมีประวัติศาสตร์นานกว่าเรา ผมเจอสองเวปที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลและตอบคำถามที่เราอยากรู้ พวกนี้ใช้ S&P 500 แทนตลาดทั้งคู่
อันแรกเป็นบทความของ CNBC เมื่อปี 2018 โดย Thomas Franck และ Kate Rooney ผมทิ้งลิ้งค์ไว้เผื่อใครไปดู https://www.cnbc.com/2018/10/26/the-stock-market-loses-13percent-in-a-correction-on-average.html
เค้าได้ข้อสรุปแบ่งเป็นการตก 2 ประเภทคือแบบที่เป็น Corrections คืือตกแบบเบาๆตั้งแต่ 10% ขึ้ไปแต่น้อยกว่า 20% จนถึงแบบ Bear Markets คือตกตั้งแต่ 20% ขึ้นไป

ส่วนอีกบทความนึงเป็นของ Towards Data Science โดย Tony Yiu https://towardsdatascience.com/the-anatomy-of-a-stock-market-downturn-6527e31406f0
คนนี้แบ่งความรุนแรงในการตกละเอียดขึ้น ผลที่ได้คือ

เท่าที่ดูถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของทั้งสองคนนี้จะไม่เหมือนกัน ซึ่งผมคาดว่ามาจากวิธีทำอะไรซักอย่างที่นับต่างกัน แต่สาระสำคัญที่สรุปได้จากการดูผลลัพธ์ของทั้งสองคนนี้คือ
1. ยิ่งหุ้นตกรุนแรงก็ยิ่งกินเวลาฟื้นนาน ซึ่งอันนี้ก็ปกติ เป็นเหมือนหุ้นไทย
2. กรณีรุนแรงสุดของตลาดเค้าดูเหมือนใช้เวลาน้อยกว่าเรามาก เพราะตกกับฟื้นตัวรวม 77 เดือนซึ่งคือ 6 ปี 5 เดือนเอง ในขณะที่ของเราซัดไป 23 ปี 10 เดือน
3. ช่วงตกตอนขาลงของเค้านานสุด 31 เดือน (อิงตาม CNBC)
4. โดยรวมแล้วถ้าไม่นับ Bear Markets คือตลาดตกมากกว่า 20% ขึ้นไป ก็ฟื้นตัวภายในระยะเวลาปีเดียวหรืออย่างมากก็ปีนิดๆ

สรุป
ดังนั้นเราควรจะฉวยโอกาสได้ไม่ยาก ก็ดูเอาง่ายๆว่าที่ตลาดหุ้นตกนั้นเป็นเรื่องมาจากปัจจัยโดยตรงของเศรษฐกิจในประเทศเราหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็สบายใจได้ว่ามีผลไม่นานซื้อได้อย่างสบายใจและกำไรอย่างเร็วด้วย ส่วนถ้าเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในไทยเราเลยก็ไม่น่าจะไม่รู้ได้เพราะมันต้องมีข่าวธนาคารล้มหรืออะไรที่รุนแรงชัดเจน กรณีแบบนั้นเราก็ใจเย็นหน่อยไปรอช้อนซื้อธุรกิจที่น่าจะไม่ล้มละลายตอนมันตกเกิน 50% ก็ยังได้ ไม่ได้ต้องถึงกับเล็งต่ำที่สุดเราก็น่าจะกำไรเยอะมากในระยะยาว เพราะสุดท้ายเราก็เห็นว่าเศรษฐกิจมันก็จะค่อยๆฟื้นกลับมาอยู่ดั

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

เราจะลงทุนอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจขาลง ??

How do We Invest in Downturn Economy ??

เราจะลงทุนอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจขาลง ??

คำถามนี้ก็เป็นคำถามที่ดี  อันนี้ไม่ใช่สถานการณ์แค่หุ้นตกเพราะคนตกใจเฉยๆละ  อันนี้คือเศรษฐกิจแย่ลงมากๆถึงขั้นที่ GDP หดตัว (ไม่ใช่แค่โตช้าลงนะ)  เวลาแบบนี้บริษัทส่วนใหญ่ก็จะผลประกอบการแย่ลง  แม้แต่กลุ่มพวกที่ผมเรียกว่าเป็นบริษัทกลุ่มดีที่ว่ามีอำนาจในการบังคับผู้บริโภคแล้วก็หนีไม่พ้น  และแน่นอนว่าปกติถ้าเป็นช่วงแบบนั้นหุ้นก็จะราคาตกรุนแรงกันทั้งหมด

 

ผมจะบอกว่าสถานการณ์แบบนั้นคือสถานการณ์ที่ผมเฝ้ารอคอยให้เกิดเลยแหละ  และถ้าคุณเข้าใจแบบเดียวกับผมคุณก็จะชอบแบบเดียวกันแน่นอน

 

วิธีการในอุดมคติ

ถ้ามันจะดีที่สุดเลย  คือเราหลบทันจากการคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างแม่นยำขายหุ้นทั้งหมดออกก่อนที่จะเริ่มมีข่าวเศรษฐกิจแย่ลงได้อย่างพอดี  แล้วค่อยกลับมาซื้อตอนที่ราคามันตกลงไปต่ำที่สุดได้อย่างแม่นยำ  ถ้าทำได้ตามนี้จะกำไรเละเทะแบบไม่ต้องสงสัย

แต่ในทางปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้เลยนอกจากฟลุค  เพราะเราไม่รู้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจถึงขั้นเศรษฐกิจหดตัวเมื่อไหร่  เรื่องแบบนี้ขนาดนายกหรือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่รู้เลยครับ  ดังนั้นอย่าไปเสียเวลาพยายามทำการเดาเรื่องแบบนี้  ลืมไอเดียนี้ไปซะ

 

วิธีการที่เป็นผมจะทำ

โดยไอเดียคือเราต้องเข้าใจว่าสถานการณ์เศรษฐกิจขาลงโดยปกติแล้วมันเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวประเภทหนึ่ง  แต่มันไม่เหมือนหุ้นตกปกติเพราะ

  1. จะกินเวลายาวนานกว่าคือประมาณ 2-5 ปีถึงจะฟื้น  ระยะเวลาขึ้นอยู่กับว่าจุดเริ่มต้นของปัญหาเศรษฐกิจขาลงอยู่ที่ประเทศเราหรือประเทศอื่น
  2. มีผลกระทบจริงต่อผลประกอบการของบริษัท  ไม่ใช่แค่หุ้นตกเพราะความตกใจธรรมดา

 

คำแนะนำสำหรับหุ้นที่ถืออยู่แล้ว  ขึ้นอยู่กับว่าเราซื้อมันมาเพราะอะไรตั้งแต่แรก

  • ถ้าเป็นบริษัทที่เข้มแข็งและเราซื้อมาตั้งใจถือยาว ก็ไม่ต้องทำอะไรกับมัน  น่าจะรอดผ่านช่วงเศรษฐกิจขาลงไปได้  และในอนาคตก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม
  • ถ้าเป็นบริษัทที่ไม่เข้มแข็ง (ไม่มีีอำนาจบังคับผู้บริโภค, กำไรไม่สม่ำเสมอ, มีขาดทุนเป็นระยะ) รีบขายจะดีกว่า  ยอมขาดทุนไปเถอะเพราะบริษัทอาจจะไม่รอดผ่านช่วงเศรษฐกิจขาลง  อาจปิดกิจการและเงินลงทุนเรากลายเป็น 0  ช่วงเวลาปกติบริษัทพวกนี้ก็ดีบ้างไม่ดีบ้างอยู่แล้ว  เศรษฐกิจไม่ดีนี่ไปกันใหญ่

 

ส่วนเงินลงทุนเราที่ยังอยู่ในรูปเงินสด  เราควรเห็นเหตุการณ์แบบนี้เป็นโอกาส  คิดซะว่าเรากำลังจะไปเลือกซื้อบริษัทเหมือนเลือกซื้อตัวนักกีฬาครับ  ช่วงนี้เศรษฐกิจขาลงก็เหมือนมีไข้หวัดระบาด  มันป่วยกันทุกคนแหละสภาพอาการแย่ทุกคน  เจ้าของปัจจุบันเค้าเลยขายกันราคาต่ำกว่าปกติมาก  แต่เราควรตั้งสติและซื้อเพราะเดี๋ยวไข้หวัดมันก็หายไปไงครับ  แล้วถึงเวลานั้นคนที่เป็นแชมป์ก็กลับมาเป็นแชมป์เหมือนเดิม

  • เลือกธุรกิจที่เข้มแข็งไว้ก่อน
  • หลังวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทที่อ่อนแอก็จะตายไป  ทำให้สำหรับธุรกิจที่เข้มแข็งแล้วรอดมาได้มีโอกาสเติบโตดีกว่าก่อนวิกฤติด้วยซ้ำ
  • โดยปกติเราอาจจะกำไร 100-300% หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว

 

ดังนั้นโดยสรุปคืออย่าไปเข้าใจผิดว่าเศรษฐกิจขาลงเป็นปัญหา  จริงๆแล้วสำหรับนักลงทุนที่ใช้วิธีการแบบเรามันเป็นโอกาสนานๆทีจะเกิดที่ดีที่สุดแล้วต่างหาก  ต้องฉลองเลยครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

เป็นไปได้มั้ยที่ราคาหุ้นจะอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปตลอด ??

Can Stock Price Stay Below Intrinsic Value Forever ??

เป็นไปได้มั้ยที่ราคาหุ้นจะอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปตลอด ??

เป็นหนึ่งในคำถามแปลกที่มีคนถามเราขึ้นมา  ซึ่งจริงๆก็เป็นคำถามที่สำคัญเหมือนกัน  เพราะถ้าเกิดราคาหุ้นมันสามารถจะอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปตลอดได้  วิธีการที่สายพื้นฐานใช้ก็อาจจะไม่ได้ผลก็ได้ใช่มั้ยครับ  ปัญหาคือเรื่องนี้มันพิสูจน์ด้วยสถิติลำบากมากเพราะมันไม่มีใครรู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงคือเท่าไหร่อย่างชัดเจน  ผมเลยพยายามจะตอบด้วยเหตุและผลจากมุมมองผมละกัน

ต้องเข้าใจก่อนว่าคอนเซปต์คือมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทเป็นมูลค่าที่เหมาะสมที่สุดแล้วโดยคำนึงถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต  ถ้าบริษัทในอนาคตสามารถทำกำไรได้ตามที่คาดจริง  ตัวเลขมูลค่านี้คือมูลค่าที่เหมาะสมที่สุุดดังนั้นจึงเป็นราคาที่ควรจะเป็นของบริษัทด้วย

ถ้าสมมติตอนแรกราคาหุ้นอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงแสดงว่าคนในตลาดโดยรวมในตอนแรกมีความเชื่อว่าผลประกอบการจะออกมาแย่กว่าที่จริงๆบริษัทจะสามารถทำได้  ทีนี้เมื่อเวลาผ่านไปผลออกมาคือบริษัทผลประกอบการดีกว่าที่คนคาด  คนก็จะเริ่มเปลี่ยนความเชื่อและทำให้ราคาหุ้นมันสูงขึ้นมาได้  กระบวนการนี้อาจจะต้องใช้เวลาหลายปีก็ได้เพราะดีกว่าที่คาดแค่ปีเดียวคนก็อาจจะคิดว่าฟลุ๊ค  ดีกว่าที่คาดติดกันสองปีก็ยังอาจจะฟลุ๊คอยู่  แต่ถ้าดีกว่าที่คาดทุกปีหลายๆปีเข้าผมก็เชื่อว่าวันนึงคนก็จะคิดได้ครับ  แล้วเมื่อคนเปลี่ยนความเชื่อว่าจริงๆบริษัทมีศักยภาพสูงกว่าท่ี่คาดไว้ตอนแรก  กำไรดีกว่าที่คาดปันผลดีกว่าที่คาด  คนก็จะแห่กันอยากได้หุ้นของบริษัทและทำให้ราคาหุ้นของบริษัทสูงขึ้นมาที่มูลค่าที่แท้จริงของมัน

แต่ที่มีคนถามเรื่องนี้ขึ้นมาเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะใช้วิธีลงทุนโดยซื้อหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงละ  แต่ไม่เห็นราคาหุ้นมันจะขึ้นมาซะทีทั้งที่รออยู่นานละก็เลยสงสัย  ผมคิดว่าที่เป็นแบบนั้นอาจเป็นได้สองแบบหลักๆคือ

  1. ไม่นานพอ

ต้องเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ครับ  ผลประกอบการออกมาดีก็ไม่ใช่ว่าคนจะเห็นทันที

  1. ตัวเลขมูลค่าที่แท้จริงที่เราได้มันอาจจะผิด

อันนี้ก็เป็นไปได้มาก  เนื่องจากคอนเซปต์ของการหามูลค่าที่แท้จริงมันมีตัวแปรที่ต้องประมาณเยอะ  แถมยังเป็นการคาดเดาไปในอนาคตมันเลยจะยึดถือว่าต้องถูกต้องเนี่ยยาก  เป็นแค่การประมาณการเท่านั้น

ดังนั้นสรุปคือสมมติว่าเราหามูลค่าที่แท้จริงได้ถูกต้องก่อน  ผมเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่ราคาหุ้นจะอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปได้ตลอดไป  แค่มันอาจจะใช้เวลาหน่อยเท่านั้นเองครับ

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

เลือกหุ้นปันผลยังไงให้ปันผลโตทุกปี + ไม่ติดดอย ?

How to Pick Great Dividend Stocks?

เลือกหุ้นปันผลยังไงให้ปันผลโตทุกปี + ไม่ติดดอย ?

เหตุผลหลักที่คนลงทุนในหุ้นปันผลก็เพราะอยากได้กระแสเงินสดสม่ำเสมอที่ดีกว่าเงินฝากประจำเป็นหลัก ส่วนเป้าหมายรองถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีโอกาสได้ผลตอบแทนในรูปของราคาหุ้นที่สูงขึ้น ถ้าทำได้แบบนั้นก็คือสุดยอดเลยครับ แต่หลายครั้งที่พอซื้อหุ้นไปแล้วพบว่าได้ปันผลอยู่ทีเดียวบ้าง หรือปันผลลดลงเรื่อยๆทุกปีบ้าง และหนักกว่านั้นคืออาการแบบนี้มักจะถูกซ้ำด้วยราคาหุ้นตกลงไปกว่าตอนซื้ออีก ผิดวัตถุประสงค์ถึงขั้นรู้งี้ฝากธนาคารดอกเบี้ย 1% ยังดีกว่า

วันนี้ผมมาแนะนำวิธีการเลือกหุ้นปันผลยังไงให้ได้ปันผลเติบโต และยากจะขาดทุนจากราคาหุ้นตกกันครับ (จะบอกราคาหุ้นไม่มีทางตกก็เป็นไปไม่ได้)

1. เลือกบริษัทที่เข้มแข็งและกำไรสม่ำเสมอ
เลือกหุ้นปันผลก็เหมือนเลือกหุ้นธรรมดาตรงที่ยังไงก็ต้องเลือกบริษัทที่มีความเข้มแข็ง เพราะอย่าลืมว่าปันผลสุดท้ายมันจ่ายมาจากกำไร ถ้าบริษัทกำไรไม่ดีหรือขาดทุนต่อให้วันนี้จ่ายปันผลสูง สุดท้ายก็จะไม่มีเงินจ่ายปันผลในที่สุดอยู่ดี อย่าไปคิดว่าแค่เพราะวันนี้บริษัทจ่ายปันผลสูงจะแปลว่ามันจะจ่ายแบบนั้นตลอดไป
วิธีดูว่าบริษัทไหนเข้มแข็งและกำไรสม่ำเสมอแบบง่ายๆเริ่มจากพิจารณาว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทที่มีอำนาจบังคับผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าได้หรือเปล่า แล้วก็ไปเปิดดูผลประกอบการแบบสรุปบนเวป SET ดููว่าที่ผ่านมาถ้ากำไรไม่เพิ่มก็อย่างน้อยให้มันคงที่

2. เลือกที่ Dividend Yield สูงพอสมควร
Yield ต่ำเกินไปเช่น 0.5% ก็ไม่ใช่เรียกว่าหุ้นปันผล แต่ถ้าสูงเกินไปเช่นหุ้น Yield เกิน 5% ก็อาจจะมีผลประกอบการอะไรผิดปกติทำให้คนไม่อยากซื้อราคามันเลยต่ำเลยทำให้ Yield สูง ส่วนตัวผมมองว่า Dividend Yield ประมาณ 2.5-5% นี่กำลังดี

3. มองหาบริษัทที่มีช่องทางเติบโต
สองข้อก่อนหน้านี้คือเพื่อให้อย่างน้อยเราได้ปันผลสม่ำเสมอ แต่ถ้าเราจะให้อนาคตปันผลเยอะขึ้นและราคาหุ้นสูงขึ้นด้วยเราก็ต้องหาบริษัทที่มีการเติบโต
วิธีดูว่าบริษัทจะเติบโตหรือไม่ก็อาจจะต้องใช้การศึกษาเพิ่มเติมบ้าง หลักๆเลยคือดูว่าบริษัททำธุรกิจอะไร อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นหรือไม่ แล้วปัจจุบันบริษัทมีแผนทำอะไรใหม่ๆบ้าง

4. เลือกที่ Payout Ratio ต่ำ
Payout Ratio ว่าง่ายๆคือทุกกำไร 100 บาท บริษัทจ่ายออกมาเป็นปันผลเท่าไหร่
บริษัทที่ปัจจุบัน Payout Ratio ต่ำได้เปรียบเพราะว่า
● ในอนาคตถ้ากำไรไม่โต ก็อาจจะเพิ่มปันผลได้อยู่โดยการเพิ่ม Payout Ratio ในขณะที่บริษัทที่ Payout Ratio สูงมากแล้วก็จะทำได้แค่ปันผลคงที่
● Payout Ratio ที่น้อยแปลว่าบริษัทมีการกันเงินเก็บไว้ สามารถเอาไปลงทุนเพิ่มทำให้กำไรเติบโตได้ในอนาคต

และนี่คือหลักการเลือกหุ้นปันผล จะสังเกตว่ายังไงการเลือกหุ้นก็ต้องดูคุณภาพของกิจการเป็นหลัก ถ้าทำได้ตามวิธีการที่ให้ไว้นี้ผมมั่นใจว่าเราจะได้หุ้นปันผลที่เราจะถือกินปันผลไปได้ยาวๆแน่นอนครับ

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ให้ทาย หุ้นปันผลกับหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล สุดท้ายอันไหนผลตอบแทนดีกว่ากัน??

Stock with Dividend VS Stock with no Dividend, Which One is Better??

**บทพิสูจน์ว่าซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลดีกว่าซื้อหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล**

ในวีดิโอหัวข้ออื่นเราเคยพูดถึงว่าทำไมเราถึงควรสนใจลงทุนในหุ้นปันผล เราได้มีการให้เหตุและผลเป็นไอเดียไปแต่เรายังไม่ได้มีการให้ข้อมูลที่พิสูจน์จริงๆจังๆ
ในหัวข้อนี้เรามามองหางานวิจัยที่มีคนเคยทำมาในอดีตเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างการถือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลกับหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล จะได้เห็นชัดๆไปเลยว่าอันไหนดีกว่ากัน

**งานวิจัยของหุ้นไทย**
ผมเจองานเอกสารวิจัยอันนึงของสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน จัดทำโดยคุณพัดชา จุนอนันตธรรม และคุณสุมิตรา ตังสมวรพงษ์ ที่ทำเอาไว้ตั้งแต่ปี 2555 เก่าอยู่เหมือนกัน
งานวิจัยฉบับนี้เปรียบเทียบผลตอบแทนของหุ้นที่เป็นกลุ่มจ่ายปันผลเทียบกับค่าเฉลี่ยโดยรวมของตลาดหุ้นทั้งตลาดตั้งแต่ช่วงปี 2549 – 2553 ซึ่งเป็นช่วงที่ทับปีวิกฤติเศรษฐกิจซับไพร์มพอดีด้วยรวมระยะเวลา 5 ปี แล้วผลปรากฎว่าได้ข้อสรุปสำคัญดังต่อไปนี้
1. เฉลี่ยผลตอบแทนต่อปีของหุ้นที่จ่ายปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของตลาด 25.3% เทียบกับ 21.1%
2. ในปีที่ตลาดหุ้นตกรุนแรงจากวิกฤติซับไพร์ม หุ้นที่จ่ายปันผลตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของตลาด -24.24% เทียบกับ -30.07%
3. ที่น่าแปลกใจคือผลตอบแทนจากส่วนที่เป็น Capital Gain เฉลี่ยของหุ้นที่จ่ายปันผลก็สูงกว่าตลาดโดยรวม 19.65% เทียบกับ 17.06%

น่าเสียดายที่งานวิจัยทำไว้แค่ 5 ปีซึ่งอาจจะทำให้ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่มันน่าสนใจตรงที่มันทับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจพอดีและพิสูจน์ทฤษฎีที่เราคุยกันไปก่อนหน้านี้ว่าหุ้นที่จ่ายปันผลน่าจะตกน้อยกว่าในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
ใครสนใจรายละเอียดเชิญอ่านใน Link เค้ามีจัดกลุ่มหุ้นที่จ่ายปันผลย่อยลงไปด้วย https://www.set.or.th/setresearch/files/cmresearch/201201_CMRI_Research_Paper_dividend.pdf

**งานวิจัยของหุ้นอเมริกา**
ผมเจองานวิจัยน่าสนใจของ Heartland Advisors ที่เอาข้อมูลผลตอบแทนของอจ. Kenneth French ที่อิง US Stock Database ©2019 Center for Research in Security Prices (CRSP) และ the University of Chicago Booth School of Business
เค้าทำการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นอเมริกาตั้งแต่ปี มกราคม 1928 ถึง ธันวาคม 2018 รวมเป็นระยะเวลา 91 ปี และมีการแบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มที่ไม่จ่ายปันผลและกลุ่มที่จ่ายปันผล กลุ่มที่จ่ายปันผลมีการแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มย่อยตาม Dividend Yield น้อยไปถึงมาก ได้ผลสรุปที่สำคัญออกมาดังนี้
1. ผลตอบแทนของหุ้นที่จ่ายปันผลดีกว่าหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล
2. โดยภาพรวมแล้วในหมู่หุ้นที่จ่ายปันผลด้วยกัน หุ้นที่ Dividend Yield สูงกว่าดูจะทำได้ดีกว่า (ยกเว้น Quintile ที่ 4 กับ 5)
ซึ่งประเด็นนี้ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นเพราะหุ้นที่ Dividend Yield สูงเว่อร์มันมาจากการที่บริษัทนั้นผลประกอบการในอนาคตมีแนวโน้มจะมีปัญหา ทำให้ราคาหุ้นต่ำมากและดังนั้นเลยดูเหมือน Dividend Yield สูงมาก หุ้นประเภทนี้ลงทุุนไปนานๆไม่ดีอยู่แล้วเพราะปันผลที่ได้สูงมันจะได้อยู่แปปเดียว เลยทำให้ Quintile ที่ Dividend Yield สูงสุดสู้ Quintile รองสูงสุดไม่ได้
3. ความผันผวนของหุ้นที่จ่ายปันผลน้อยกว่าหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล
4. เค้าลองเปลี่ยนระยะเวลาการถือหุ้นจาก 91 ปีเป็น 20 ปี ก็ยังพบว่าโดยรวมแล้วหุ้นที่จ่ายปันผลก็จะยังผลตอบแทนดีกว่าหุ้นที่ไม่จ่ายปันผลและความผันผวนน้อยกว่าอยู่ดี
5. ในช่วงตลาดหุ้นตกทั้งตลาดไม่ว่าจะระดับความรุนแรงไหน หุ้นที่จ่ายปันผลราคาตกน้อยกว่าหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล

สำหรับคนที่สนใจอยากอ่านเพิ่มเติมผมทิ้ง Link เอาไว้ครับ อันนี้เค้าทำน่าสนใจทีเดียว
https://www.heartlandadvisors.com/Insights/White-Papers/The-Case-for-Dividend-Payers

จากที่เห็นงานวิจัยมาดูเหมือนจะสรุปได้ชัดเจนว่าหุ้นที่จ่ายปันผลน่าลงทุนมากกว่าหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล หวังว่าจะเห็นภาพครับ
แต่อย่าลืมว่าอันนี้เค้าพูดถึงโดยภาพรวมนะ ในความเป็นจริงบริษัทที่ทำได้เทพมากแต่ไม่จ่ายปันผลก็มี Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett เป็นต้น ส่วนหุ้นที่จ่ายปันผลแล้วสุดท้ายเจ๊งหยุดจ่ายปันผลก็มีเยอะแยะ

**นี่คือเหตุผลที่คุณควรสนใจหุ้นปันผล**

เมื่อเราซื้อหุ้นสิ่งที่เราได้มาคือความเป็นเจ้าของร่วมในบริษัทนั้นๆ และเมื่อเราได้เป็นเจ้าของบริษัทก็แปลว่าเราจะได้ส่วนแบ่งจากกำไรที่บริษัททำได้ตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของของเรา ซึ่งมาใน 2 รูปแบบก็คือ
1. เงินส่วนของเราที่บริษัทจ่ายออกมาให้ ซึ่งก็คือเรียกว่าปันผล
2. เงินส่วนของเราที่บริษัทยังเก็บไว้อยู่กับบริษัท (Retained Earnings) ก็จะเป็นทุนให้บริษัทไปขยายกิจการหรือลงทุนอื่นๆเพิ่มเติมทำให้บริษัทมีกำไรสูงขึ้น ซึ่งก็ส่งผลในอนาคตให้ปันผลและราคาหุ้นสูงขึ้น

ปกติมันไม่ได้มีกฎว่าบริษัทต้องปันผลมั้ย หรือถ้าปันผลต้องปันผลเท่าไหร่ยังไง ดังนั้นหุ้นบางบริษัทก็จะจ่ายปันผลและบางบริษัทก็ไม่จ่ายปันผล บริษัทที่มีการจ่ายปันผลระดับนึงและจ่ายอย่างสม่ำเสมอก็จะเรียกว่าเป็นหุ้นปันผล ไม่ได้มีเกณฑ์อะไรตายตัว
ในทางทฤษฎีจะปันผลหรือไม่ปันผลมันก็ควรจะไม่ต่างกัน เผลอๆหุ้นที่จ่ายปันผลจะแย่กว่าด้วยเพราะเงินปันผลเราต้องเสียภาษีในขณะที่กำไรจากการขายหุ้นไม่เสียภาษี แต่ในวีดิโอนี้ผมจะพูดถึงเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรจะยังให้ความสนใจหุ้นที่มีปันผล

1. หุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอมักจะเป็นหุ้นที่ผลประกอบการดีกว่า
2. ช่วงตลาดหุ้นตก หุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอราคาตกน้อยกว่า
3. การต้องจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ทำให้ผู้บริหารต้องระมัดระวัง

และด้วยเหตุผลเหล่านี้ ต่อให้เราไม่ได้อยากได้หรือจำเป็นต้องได้ปันผล เราก็ยังสมควรพิจารณาลงทุนในหุ้นที่มีปันผลอยู่ดีครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Discounted Cash Flow (DCF) : ตอน 3 Discounted FCFF

Discounted Cash Flow (DCF) : Part 3 Discounted FCFF

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Discounted Cash Flow (DCF) : ตอน 3 Discounted FCFF

มีคนถามผมว่า “Free Cash Flow to the Firm คืออะไร? แตกต่างจาก Free Cash Flow to Equity และ Discounted Dividend อย่างไร?”

วันนี้ผมเลยมาทำวีดิโอ อธิบายถึง Free Cash Flow to the Firm (FCFF) ว่ามีจุดเด่น จุดด้อย และวิธีการคำนวณอย่างไร เพื่อให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้กันครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

หุ้นพื้นฐานดี หาได้ในธุรกิจกลุ่มไหน?? (5/5)

Which Industries can Good Companies be Found? (5/5)

หุ้นพื้นฐานดี หาได้ในธุรกิจกลุ่มไหน?? (5/5)

มีคนถามผมว่า “จะหาหุ้นพื้นฐานดี ได้ในกลุ่มธุรกิจประเภทไหน”

วันนี้ผมเลยมาทำวีดิโอตอบคำถาม วิเคราะห์แต่ละกลุ่มธุรกิจ ว่าเหมาะกับการลงทุนแค่ไหน? รวมถึงยกตัวอย่างบริษัทที่ทำได้ดีในกลุ่มธุรกิจนั้นๆ เพื่อทุกท่านจะได้นำไปปรับใช้กันครับ

เนื้อหากลุ่มธุรกิจของวิดีโอนี้ : ปล่อยเช่า, บริการ, ร้านอาหาร, ท่องเที่ยว
 

Link หุ้นพื้นฐานดี 1 : https://www.youtube.com/watch?v=ibAenPz8q_Q
Link หุ้นพื้นฐานดี 2 : https://www.youtube.com/watch?v=4PTcZPB91Us
Link หุ้นพื้นฐานดี 3 : https://www.youtube.com/watch?v=O1tFu9nS2Cc
Link หุ้นพื้นฐานดี 4 : https://www.youtube.com/watch?v=Sb7ltaNLotk

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Discounted Cash Flow (DCF) : ตอน 2 Discounted FCFE

Discounted Cash Flow (DCF) : Part 2 Discounted FCFE

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Discounted Cash Flow (DCF) : ตอน 2 Discounted FCFE

มีคนถามผมว่า “หากบริษัทไม่จ่ายเงินปันผล หรือจ่ายน้อยมาก ทำให้เราใช้ Discounted Dividend Model ไม่ได้ ควรทำอย่างไรดีครับ?”

วันนี้ผมเลยมาทำวีดิโอ อธิบายถึงวิธีประเมินมูลค่าหุ้นโดยไม่ต้องใช้ Dividend ที่ชื่อ Discounted Free Cash Flow to Equity (FCFE) ว่าคืออะไร?? และคำนวณได้อย่างไร?? เพื่อให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้กันครับ

Link ไปยัง Video Discounted Dividend : https://www.youtube.com/watch?v=vNQ7KMoAZDY
 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

วัดกันไปเลย!! ลงทุนหุ้นสาย VI เทคนิค หรือ DCA ดีสุด??

Proof!! Which is the best way to invest between Value Investing, Technical or DCA??

วัดกันไปเลย!! ลงทุนหุ้นสาย VI เทคนิค หรือ DCA ดีสุด??

ทำไมผมเลือกลงทุนสาย Fundamental

จริงๆผมว่าเราใช้วิธีชื่ออะไรมันไม่สำคัญ ขอให้มันได้ตามเป้าหมายหลักในการลงทุนคือโดยรวมแล้วทำกำไรได้ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับลงทุนในกองทุนรวมและไม่ทำให้ 10 ปีต่อมาเสี่ยงเงินเก็บวอดวายไปก็คือใช้ได้ แต่ปัญหาที่ผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ตอนเริ่มศึกษาวิธีการลงทุนน่าจะเจอเหมือนผมคือมันมีวิธีลงทุนหลายวิธีหลายสายเหลือเกิน แล้วถ้าไปถามก็จะพบว่าทุกคนในสายนั้นๆก็จะบอกวิธีตัวเองเนี่ยดีสุดยอดละ ให้เหตุผลฟังน่าเชื่อถือทุกคนด้วยนะ มันเลยไม่รู้จะไปเชื่อใครดีเพราะเราก็ยังใหม่ใช่มั้ยครับ
วีดิโอนี้ผมเลยชวนคุณมาพิสูจน์ไปด้วยกันเลยว่าสายไหนดีกว่ากัน โดยเราจะพิสูจน์ด้วยวิธีที่ดีที่สุดนั่นคือดูที่ผลลัพธ์

Methodology
1. Google ค้นหาด้วยคำว่า world’s greatest stock investor of all time
2. Google ชื่อนักลงทุนที่ได้มาจากผลในข้อที่ 1 ทีละคน ดูว่าลงทุนสายไหน
3. นับดูว่าสรุปสายไหนเยอะกว่ากัน

ด้วยวิธีการนี้เราจะได้คำตอบที่เป็นชื่อนักลงทุนไม่จำกัดประเทศ ไม่จำกัดว่ามีชีวิตอยู่หรือเปล่า จำกัดแค่ว่าต้องเป็นการลงทุนในหุ้นเท่านั้น และเป็นการพิสูจน์ไปเลยว่าวิธีการลงทุนแบบสายไหนที่สร้างให้เกิดนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกมากที่สุด แบบนี้ก็จะยุติธรรมกับทุกสายไม่ต้องนั่งเถียงกัน

Show using OBS
Result from
– https://thecollegeinvestor.com/972/the-top-10-investors-of-all-time/
– https://www.investopedia.com/slide-show/worlds-greatest-investors/
– https://www.forbes.com/sites/maddieberg/2019/02/19/the-greatest-investor-youve-never-heard-of-an-optometrist-who-beat-the-odds-to-become-a-billionaire/
– https://www.google.com/search?ei=F4lOXa6ONIyMvQSk16O4DA&q=bill+miller+investor+method&oq=bill+miller+investor+method&gs_l=psy-ab.3..33i21j33i160.11750.16222..16336…0.0..0.150.1472.11j4……0….1..gws-wiz…….0j0i67j0i10i67j0i22i30j33i22i29i30j0i13.9TIXBHVOIg4&ved=0ahUKEwju9YDb-ffjAhUMRo8KHaTrCMcQ4dUDCAo&uact=5

1. John Bogle (Jack Bogle)
2. Warren Buffett
3. Philip Fisher
4. Benjamin Graham
5. John Templeton
6. Carl Icahn
7. Peter Lynch
8. Michael Steinhardt
9. Thomas Rowe Price, Jr.
10. John Neff
11. Jesse Livermore
12. David Swensen
13. Bill Miller
14. Herbert Wertheim

Result
1. John Bogle Diversify
2. Warren Buffett Fundamental
3. Philip Fisher Fundamental
4. Benjamin Graham Fundamental
5. John Templeton Fundamental
6. Carl Icahn Fundamental (but different because he’s activist)
7. Peter Lynch Fundamental
8. Michael Steinhardt Own method (Focus on LT, but invest ST)
9. Thomas Rowe Price, Jr. Fundamental
10. John Neff Fundamental
11. Jesse Livermore Technical
12. David Swensen Asset Allocation (unclear)
13. Bill Miller Fundamental
14. Herbert Wertheim Fundamental

Count (9+1)-(1+1)-(1+1)-3 Fundamental-Technical-Diversify-Others

ชัดเจนพอสมควรนะผมว่า และนั่นคือคำตอบว่าทำไมผมถึงเลือกการลงทุนสาย Fundamental ครับ

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Discounted Cash Flow (DCF) : ตอน 1 Discounted Dividend

Discounted Cash Flow (DCF) : Part 1 Discounted Dividend

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Discounted Cash Flow (DCF) : ตอน 1 Discounted Dividend

มีคนถามผมว่า “DCF คืออะไร?? และคำนวณหาได้อย่างไร??”

วันนี้ผมเลยมาทำวีดิโอ อธิบายถึง DCF ว่าคืออะไร และคำนวณได้อย่างไร เพื่อให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้กันครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg