ทำไมเราอยากให้คุณเริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศ

Why We Want You to Invest Abroad

ทำไมเราอยากให้คุณเริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศ

ตอนแรกๆที่เริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะเวิร์คหรือเปล่า  แต่มาตอนนี้อยากแนะนำให้ทุกคนที่อ่านภาษาอังกฤษออกและมีเงินลงทุนพอสมควรพิจารณาลงทุนในหุ้นต่างประเทศ  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  1. เป็นการขยายโอกาสทำกำไร
  2. การขยายขอบเขตการลงทุนไปดูหุ้นต่างประเทศด้วย  ทำให้มีโอกาสซื้อหุ้นดีได้ในราคาถูกบ่อยขึ้น แทนที่จะรอแต่หุ้นไทยตกอย่างเดียว

  3. ลดความเสี่ยงที่บางครั้งเกิดกับเฉพาะประเทศไทย
  4. การลงทุนในหุ้นต่างประเทศก็เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี  เพราะบางครั้งมันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้หุ้นตกเฉพาะตลาดหุ้นไทย  นึกถึงพวกเหตุการณ์หุ้นไทยตกอย่างตอนปี 2540 ถ้าเรามีเงินบางส่วนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศเราก็จะไม่โดนเต็มๆ

  5. สามารถซื้อธุรกิจบางประเภทที่หาไม่ได้ในไทย
  6. ธุรกิจบางประเภทไม่มีให้ซื้อในตลาดหุ้นไทย  อย่างสมมติถ้าเราอยากถือหุ้นบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Alphabet (Google), Tesla เราก็ต้องไปตลาดหุ้นอเมริกา

 

ส่วนเหตุผลที่ทำให้บางคนไม่ได้เริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศก็ไม่เป็นจริงเสมอไปเช่น

  1. หุ้นต่างประเทศความเสี่ยงสูง
  2. หุ้นในต่างประเทศก็เป็นบริษัทที่มีอยู่จริงเหมือนหุ้นในไทยนี่แหละครับ  ตราบใดที่เรารู้จักบริษัทรู้จักสินค้ามันก็ไม่ได้เสี่ยงกว่าการซื้อหุ้นไทยตรงไหน  นึกถึงอย่าง Starbucks, McDonald’s หรือ Coca-Cola ที่เราคุ้นเคยกับสินค้า การลงทุนในบริษัทพวกนี้ซึ่งอยู่ในต่างประเทศเผลอๆจะปลอดภัยกว่าซื้อหุ้นไทยหลายๆบริษัทที่เราจริงๆก็ไม่ได้เข้าใจ

  3. ลงทุนหุ้นต่างประเทศมันยาก
  4. มันไม่มีอะไรยากเลยครับ  เปิดบัญชีเหมือนหุ้นไทยและเวลาซื้อก็เหมือนหุ้นไทย

  5. เสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
  6. อัตราแลกเปลี่ยนทำให้ผลตอบแทนไม่แน่นอนก็จริงและที่ผ่านมาเนื่องจากเงินบาทแข็งมันก็ทำให้ไปลงทุนต่างประเทศผลตอบแทนลดลง  แต่จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้จำเป็นต้องแย่เสมอไป อัตราแลกเปลี่ยนมันก็มีทั้งทำให้ดีขึ้นหรือแย่ลง ไม่ใช่ว่ามันจะต้องไม่ดีเสมอไป

 

ข้อเสียอย่างเดียวของการลงทุนในหุ้นต่างประเทศคือเรื่องค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นเท่านั้นเอง  แต่โดยรวมแล้วผมว่าข้อดีมีมากกว่าข้อเสียและอยากจะแนะนำให้พิจารณาลงทุนในหุ้นต่างประเทศเพิ่มเติมจากหุ้นไทยครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

หุ้นใหญ่หรือหุ้นเล็กดีกว่ากัน ? Large Cap vs. Small Cap

Large Cap vs. Small Cap

หุ้นใหญ่หรือหุ้นเล็กดีกว่ากัน ? Large Cap vs. Small Cap

มีคนถามว่าลงทุนในหุ้นใหญ่หรือหุ้นเล็กดีกว่ากัน

ผมเคยอ่านบทความที่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน  เพื่อให้เข้าใจตรงกันคำว่าหุ้นใหญ่หรือเล็กนี่คือวัดจากมูลค่าตลาดของทั้งบริษัทไม่ได้วัดจากรายได้หรือผลประกอบการ  ไอเดียที่ผมเข้าใจคือบริษัทใหญ่โดยภาพรวมก็จะได้เปรียบเรื่องความปลอดภัยราคาหุ้นผันผวนน้อยกว่าบริษัทเล็ก แต่ผลตอบแทนก็จะน้อยกว่าเพราะด้วยความใหญ่การที่มันจะเติบโตเป็นหลายเท่าตัวก็จะยากเมื่อเทียบกับบริษัทเล็ก  ส่วนบริษัทเล็กอาจจะมีความเสี่ยงมากกว่าในแง่ที่มีความเสี่ยงเจ๊งเยอะกว่าแต่ถ้าบริษัททำได้ดีผลตอบแทนจะสูงกว่า แต่ผมก็ไม่เคยไปดูว่าตลาดหุ้นไทยเป็นแบบเดียวกันมั้ยนะ ในเมื่อมีคนถามก็ได้โอกาสไปเปิดดูครับ

อย่างแรกที่ไปพยายามหาคือดัชนีของ SET ว่ามีแบ่งตามขนาดบริษัทมั้ย  ปรากฎว่าเจอของ FTSE ที่มีแบ่งครับ แบ่งเป็น Large, Mid, Small กับ Fledgling  แต่ผมจะตัด Fledgling ออกไปเพราะเมื่อไปเช็คดูแล้วมันเป็นพวก Property Fund กับ REIT ซะเยอะ

ผลปรากฎว่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี Mid Cap ดีสุดและดีต่างกันเยอะด้วยนะ  ผิดคาดมากเพราะผมนึกว่าจะเป็นพวก Small Cap ที่ผลตอบแทนดีสุดแต่เอาเข้าจริง Small Cap ห่วยกว่า Large Cap อีก  แค่นั้นไม่พอตัว Volatility ของ Mid Cap ก็ดูไม่สูงกว่ามากซะด้วย ถ้าเห็นแบบนี้คือ Mid Cap นี่คือดีสุดละ แต่เพื่อความชัวร์เราเอาดูผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีด้วย

ผลตอบแทนเฉลี่ย (geometric mean) ย้อนหลัง 10 ปีของแต่ละอันจะเป็น

  • Large Cap  16.75%
  • Mid Cap  21.53%
  • Small Cap  18.82%

อันนี้ก็ดูปกติขึ้นมาหน่อย  จะเห็นว่าหุ้นเล็กโดยรวมทำได้ดีกว่า Large Cap ทุกอัน  แต่อันที่ดีสุดก็ยังเป็น Mid Cap อยู่ดี

กลับมาตอบคำถามว่าหุ้น Large Cap หรือ Small Cap ดีกว่ากัน  ถ้าเห็นตามหลักฐานแบบนี้แล้วเราก็คงต้องตอบว่า Mid Cap ครับ เพราะทั้งผลตอบแทนดีสุดและความผันผวนก็ต่างจาก Large Cap ไม่เยอะด้วย  แต่ถ้าเราให้ความสำคัญกับความมั่นคงไม่ชอบความผันผวนก็ควรจะลงทุนในหุ้น Large Cap ครับ หรือไม่งั้นก็ All-Share ไปเลย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุนตอนหุ้นตก ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป

Averaging Down is NOT Always the Optimum Strategy

ซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุนตอนหุ้นตก ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป

ปกติผมจะบอกเสมอว่าถ้าหุ้นที่ผมซื้อมาราคาตกลงไปอีกผมจะซื้อเพิ่มตราบที่ยังเชื่อว่าบริษัทจะยังทำได้ดีใช่มั้ยครับ  แต่ต้องบอกให้เข้าใจว่าทำแบบนี้มันไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป

เผื่อคนไม่คุ้น  ไอเดียมันคือแบบนี้  สมมติตอนแรกหุ้นบริษัท A ราคาหุ้นละ 1 บาท  เราซื้อด้วยเงิน 100 บาทได้หุ้นมา 100 หุ้น เวลาผ่านไปปรากฎว่าหุ้นมันราคาตกเหลือ 0.5 บาท  เราตัดสินใจซื้อเพิ่มอีกด้วยเงิน 100 บาทได้หุ้นมา 200 หุ้น รวมในเวลานี้เรามี 300 หุ้นใช้เงินซื้อไป 200 บาทคิดเป็นเฉลี่ยซื้อมาราคาหุ้นละ 0.67 บาท  สมมติเกิดหุ้นมันฟื้นกลับขึ้นมาอยู่ราคาหุ้นละ 0.8 บาท เรามี 300 หุ้นก็แปลว่ามูลค่าพอร์ตเราเป็น 240 บาท ขึ้นมาจาก 200 บาทถึง 20%

สิ่งที่อยากให้สังเกตคือ  การซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุนจริงๆมันไม่ได้ทำให้การซื้อครั้งแรกดีขึ้นหรืออะไรนะ  ที่พอร์ตเรากำไร 20% มันมาจากเงินก้อนแรกซื้อมา 1 บาทขาดทุน -20% ส่วนเงินก้อนที่สองซื้อมา 0.5 บาทได้กำไร 60%  จะเห็นว่าการซื้อครั้งที่สองมันไม่ได้ทำให้การซื้อครั้งแรกดีขึ้นนะ สองก้อนนี้มันทำงานแยกกัน

ดังนั้นการซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุนมันจะได้ผลก็ต่อเมื่อบริษัทนั้นจะทำได้ดีในอนาคตและราคามันฟื้นกลับขึ้นมาเท่านั้นซึ่งตรงนี้มันไม่ได้เป็นจริงเสมอไป  ไม่ว่าเราจะมั่นใจแค่ไหนก็พลาดได้ สถานการณ์ของบริษัทที่เราซื้อมาตอนแรกอาจจะเปลี่ยน อาจจะมีคู่แข่งใหม่เข้ามาหรือมีเทคโนโลยีใหม่มาทดแทน หรืออุตสาหกรรมนั้นอาจจะแย่ลงทั้งกลุ่มเลยก็ได้  แล้วถ้าผลประกอบการบริษัทมันแย่ลงแล้วราคาตกลงไปอีก การซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุนก็เหมือนเอาเงินลงมาเผาเพิ่ม

ปัญหาสำคัญอีกอย่างของการซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุนตอนหุ้นตกคือมันมักจะทำให้เงินลงทุนเราไปกองอยู่กับหุ้นที่ตกนั้นมากกว่าหุ้นอื่นในพอร์ตเพราะเรามีการซื้อเพิ่ม  และดังนั้นมันเลยจะทำให้เวลาเราพลาดทีนึง ความเสียหายเกิดใหญ่กว่ากำไรจากหุ้นที่เราไม่พลาด

และดังนั้นเวลาเราจะซื้อถัว  อย่าเผลอไปทำโดยอัตโนมัติและอย่าไปยึดติดว่าเราได้ลงทุนไปจำนวนหนึ่งก็เลยต้องซื้อเพื่อถัวหรืออะไรเพราะมันไม่เกี่ยวกัน  ผมเข้าใจแหละว่าในทางจิตวิทยาเราจะรู้สึกไม่อยากยอมรับว่าเราพลาดเพราะผมก็เป็น แต่เพื่อประโยชน์สูงสุดเราต้องตั้งสติครับ  มองการซื้อแต่ละครั้งแยกกัน ตัดสินใจแต่ละครั้งแยกกัน ถ้าเราจะซื้อเพิ่มเวลาหุ้นตกลงไปอีกก็เป็นเพราะเราเชื่อว่าที่ราคานั้นมันเป็นราคาที่ถูกเทียบกับคุณภาพของบริษัทและบริษัทจะยังทำได้ดีขึ้น  ไม่เกี่ยวกับที่เราซื้อไปก่อนหน้านี้แล้ว 

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

สรุปเหตุการณ์สำคัญที่มีผลกับหุ้น 2019

Summary of Stock-Related Events in 2019

สรุปเหตุการณ์สำคัญที่มีผลกับหุ้น 2019

นี่ก็สิ้นปี 2019 แล้ว  สำหรับผมตลาดหุ้นปีนี้ก็เป็นปีที่มีอะไรตื่นเต้นเยอะอยู่  เรามามองย้อนกลับไปดูคร่าวๆว่าปีนี้มีอะไรเกิดขึ้นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนอย่างเราบ้าง  เรื่องที่ไม่มีผลกับหุ้นผมละมันไว้นะครับ

ประเทศไทยปีนี้หลักๆเป็นเรื่องค่าเงินบาทแข็ง  การท่องเที่ยวเติบโตช้าลง ส่งออกหดตัวลง แต่มันก็เข้าใจได้เพราะทั่วโลกก็มีเศรษฐกิจชะลอตัวเหมือนกันเข้าใจว่าหลักๆมาจากเรื่องสงครามการค้า  โดยรวม SET Index วิ่งขึ้นช่วงต้นปีแล้วก็ตกช่วงหลังของปี รวมแล้วเหมือนอยู่ที่เดิม

เรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา  สุดท้ายดูเหมือนจะคุยกันได้บ้าง ตัวสัญญาเห็นว่าจะไปเซ็นจริงตอนมกราคม  ตอนนี้อย่างน้อยที่เคยมีการขู่ว่าจะเพิ่มกำแพงภาษีขึ้นไปอีกก็ถูกยกเลิกไปและมีแผนที่ทยอยจะยกเลิกกำแพงภาษีที่มีผลไปแล้วด้วย  ส่วนจีนมีสัญญาว่าจะซื้อสินค้าเกษตรของอเมริกาไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่แต่ Trump บอก 50 billion ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ้ามาก ปีที่แล้ว 2018 จีนนำเข้าสินค้าเกษตรจากอเมริกาแค่ 8.6 billion เท่านั้นเอง

ประท้วงในฮ่องกงที่รุนแรงกว่าที่คาด  ดูจะวุ่นวายกว่าไทยอีกนะ ยืดเยื้อจนเศรษฐกิจของฮ่องกงหดตัวลงชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง

Brexit ก็วุ่นวายทีเดียว  เลื่อนมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปีแล้วก็ยังไม่จบ  แต่ล่าสุดมีการเลือกตั้งใหม่และกลุ่มของ Boris Johnson ที่มีนโยบายออกจาก EU ได้รับคะแนนเสียงชนะชัดเจน  ดูแล้วก็น่าจะออกจาก EU ตอนสิ้นเดือนมกราคมปี 2020

ช่วงมีนาคมเครื่องบิน Ethiopian Airline ตก  ทำให้เครื่องบิน Boeing 737 Max ถูกสนามบินทั่วโลกสั่งห้ามบิน  หุ้น Boeing ก็ตก จนปัจจุบันก็ยังห้ามบินอยู่และ CEO ก็เพิ่งโดนให้ออกไป

ช่วงเมษายนมีเรื่องธนาคารใหญ่ในสวีเดน Swedbank ยอมรับว่าพบการกระทำผิดของสาขาใน Estonia ที่ทำธุรกรรมฟอกเงินให้ลูกค้ารัสเซีย

เดือนตุลาคมมีเรื่องเมืองเบอร์ลินออกกฎห้ามขึ้นค่าเช่าที่อยู่อาศัย  ทำหุ้นกลุ่มที่ทำอพาร์ทเม้นตกกันรุนแรง

ผู้สมัครฝั่ง Democrat หลายคนประกาศว่าถ้าได้รับเลือกจะยกเลิกคุกที่ทำโดยเอกชน  ทำให้หุ้นบริษัทกลุ่มที่ทำคุกตกรุนแรงทีเดียว

โดยรวมแล้วก็เป็นปีที่ดีนะ  มีอะไรให้ตื่นเต้นอยู่ทุกไตรมาสเลย  แล้วเจอกันใหม่ปีหน้าครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

สรุปที่ลงทุนไป ฝีมือเราทำได้กี่ % คิดยังไง ?

How to Calculate Your Portfolio's % Return

สรุปที่ลงทุนไป ฝีมือเราทำได้กี่ % คิดยังไง ?

วิธีคิดผลตอบแทนของพอร์ต

มีคนถามเข้ามาอยากให้อธิบายวิธีคิดผลตอบแทนของพอร์ต  วีดิโอนี้ผมมาทำให้ดูบน Excel ครับ

หลักการก็ทำเหมือนการคำนวณ IRR น่ะแหละ  สิ่งที่เราต้องเก็บข้อมูลคือ

  1. จำนวนเงินที่โอนเข้าหรือออกจากบัญชีซื้อขายหุ้น
  2. วันที่ของการโอนเหล่านั้น
  3. เงินทั้งหมดที่จะได้ถ้าขายทุกอย่างทิ้งในวันที่เราต้องการวัดผล

ทำบน Excel แบบนี้
 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ทำไมดัชนีตลาด หลังวิกฤติต้องฟื้นกลับมาสูงกว่าเดิม ?

Why After a Crisis, Would Stock Index Always Make New High?

ทำไมดัชนีตลาด หลังวิกฤติต้องฟื้นกลับมาสูงกว่าเดิม ?

ส่วนใหญ่เราจะเห็นแบบนั้นใช่  แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ต้องฟื้นกลับมาสูงกว่าเดิมครับ

อยากให้เข้าใจว่าดัชนีตลาดหุ้นมันคือสะท้อนราคารวมหุ้นทุกหุ้นของทุกบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด  ซึ่งมันก็มาจากปัจจัยหลักสองอย่างก็คือ ผลกำไรของบริษัททั้งหมดที่ทำได้และระดับความนิยมโดยรวมของคนที่มีต่อการลงทุนในหุ้น (P/E ของทั้งตลาด)

ที่เราเห็นว่าตอนมีวิกฤติดัชนีตลาดหุ้นตก  ก็เพราะตอนวิกฤติบริษัทผลประกอบการแย่ลงและผลกำไรของบริษัททั้งหมดในตลาดที่ทำได้น้อยลง  บวกกับตอนวิกฤติคนเกิดความกลัวก็เลยทำให้ระดับความนิยมโดยรวมของคนที่มีต่อการลงทุนในหุ้นน้อยลง

แล้วหลังวิกฤติเศรษฐกิจหุ้นมันจะฟื้นกลับมา  เหตุผลก็เป็นเพราะผลกำไรของบริษัททั้งหมดที่ทำได้มันฟื้นกลับขึ้นมาหลังจากวิกฤติ  ระดับความนิยมโดยรวมที่คนมีต่อการลงทุนในหุ้นก็จะสูงขึ้นเพราะคนเริ่มหายกลัว

แล้วที่ดัชนีตลาดไปสูงกว่าเดิมทำ New High  เหตุผลก็เพราะผลกำไรของบริษัททั้งหมดที่ทำได้มันโตสูงกว่าตอนก่อนเกิดวิกฤติก็เท่านั้นเองครับ  ตัวระดับความนิยมโดยรวมของคนที่มีต่อการลงทุนในหุ้นอาจจะมีผลบ้างแต่ปกติแล้วมันจะสูงขึ้นไปได้ถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น  ดังนั้นเหตุผลหลักของการกลับมาสูงกว่าเดิมก็คือแค่เพราะผลกำไรที่บริษัททำได้มันสูงขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น

ตัวผลกำไรของบริษัททั้งหมดที่อยู่ในตลาดเนื่องจากว่ามันกระจายอยู่ในทุกอุตสาหกรรมและมักเป็นบริษัทใหญ่ๆ  มันก็จะสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจของประเทศน่ะแหละครับ

ดัชนีตลาดหุ้นที่เจอวิกฤติแล้วจนตอนนี้ยังไม่ฟื้นสูงกว่าจุดเดิมก็มี  อย่างเช่นญี่ปุ่นที่ตัวเลข GDP หลังๆมานี้แทบไม่โต

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

หุ้น … น่าลงทุนมั้ย ??

Should I Invest in Stock (...) ??

หุ้น … น่าลงทุนมั้ย ??

ช่วงนี้มีคำถามแนวนี้บ่อยมาก  ผมเลยอยากจะทำวีดิโอตอบคำถามในลักษณะนี้ซักนิดนึง

ผมอยากจะบอกความจริงแบบตรงไปตรงมาให้เห็นภาพจากมุมมองคนตอบที่เป็นสายพื้นฐานนะ

อย่างแรกคือมันไม่มีใครรู้หุ้นทุกตัวหรือถนัดทุกตัวหรอกครับ  อย่างผมก็จะถนัดแค่เฉพาะกลุ่มบริษัทที่เป็นสายการเงินหรือไม่งั้นก็บริษัทที่ทำสินค้าที่เราเห็นจับต้องได้หรือใช้อยู่ในชีวิต  ถ้าเป็นอย่างอื่นผมก็ไม่รู้เรื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันแคบมากเมื่อเทียบกับหุ้นทั้งหมดที่มี และดังนั้นเวลาเราถามใครไปว่าหุ้น … น่าลงทุนมั้ยนี่คือส่วนใหญ่เค้าก็ไม่รู้จักหรือไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับไอหุ้น … ที่คุณถามหรอกครับ  ดังนั้นเค้าก็มีสามทางเลือกหลักๆคือ ตอบว่าไม่รู้, ตอบเท่าที่รู้ หรือไม่ก็ไปหาข้อมูลอย่างละเอียดแล้วมาตอบ ซึ่งเอาจริงๆนะมันไม่มีใครจะไปหาข้อมูลอย่างละเอียดในหุ้นที่ตัวเองไม่ได้สนใจเพื่อมาตอบคนแปลกหน้าที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ร่วมอะไรกันหรอกครับ  ถ้าเค้าจริงใจก็จะตอบว่าไม่รู้แล้วแนะนำให้เราไปศึกษา หรือถ้ากลัวดูไม่ดีเค้าก็จะตอบสั้นๆว่า “ดี/ไม่ดี” ซึ่งมาจากการเดาเท่านั้นแล้วก็อาจจะทิ้งท้ายว่าอย่างไรก็ตามเราควรไปศึกษาด้วยตัวเอง

ต่อมา  สมมติว่าคนที่โดนถามเค้ารู้เรื่องเกี่ยวกับบริษัทที่เราถามถึงเป็นอย่างดีแล้วเค้าเทพมากเลยนะ  แต่เนื่องจากคำถามเรามันคือน่าลงทุนมั้ย เป็นคำถาม yes/no สรุปความคิดเห็นบวกกับเราก็ไม่แสดงออกว่าได้ทำการศึกษาข้อมูลอะไรมาเลย  และมันก็ไม่มีใครที่อยากจะเสียเวลามานั่งตอบคนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกันอย่างยืดยาวถึงเหตุผลอะไรอย่างไรเกี่ยวกับบริษัทนั้น ดังนั้นคนตอบมันก็จะตอบง่ายๆสั้นๆที่สุดที่เป็นไปได้ซึ่งเป็นไปได้สองแบบคือ  เค้าบอกเราว่าไม่รู้แล้วให้เราไปศึกษาเองดีกว่า หรือไม่ก็ตอบสรุปสั้นๆว่า “ดี/ไม่ดี” และอาจทิ้งท้ายว่ายังไงเราควรศึกษาด้วยตัวเอง

จะเห็นว่าไม่ว่ากรณีไหนเราก็จะได้คำตอบเหมือนกัน  และมันไม่มีประโยชน์อะไรกับเราทั้งสิ้นเพราะคำตอบนึงก็คือให้เราไปศึกษาเอง  ส่วนคำตอบ “ดี/ไม่ดี” ก็ไม่มีประโยชน์เพราะเราไม่รู้ว่าไอคนที่ตอบเรานี่มันคือรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง

ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวคุณเอง  สิ่งที่ผมแนะนำว่าคุณควรจะทำคือ

  1. ศึกษาด้วยตัวเองถึงเรื่องต่อไปนี้
    • บริษัททำอะไร
    • ที่ผ่านมาทำได้เป็นไง
    • แล้วเค้ากำลังจะทำอะไรต่อ
    • ถ้าช่วงนี้ราคาตกอย่างมีนัยสำคัญ  ทำไมถึงตก ?
    • มีเหตุผลอะไรมั้ยที่ทำให้เราเชื่อได้ว่าบริษัทจะยังทำได้ดีต่อไปในอนาคต
    • แล้วก็ตัดสินใจจากสิ่งที่เราพบ
  2. แล้วถ้าคุณรู้สึกว่าจะต้องถามความเห็นคนแปลกหน้าจริงๆเนี่ย
    • ถามก่อนเลยว่าเค้ารู้เรื่องบริษัท … มั้ย
    • ถามอย่างมีรายละเอียดและถามถึงเหตุผลประกอบ  เพื่อให้เค้ารู้ว่าเค้ากำลังคุยอยู่กับคนที่ทำการบ้านมาและได้คำตอบกลับมาที่มันมีสาระตรงประเด็น

 

โอเคนะ  สรุปคือคำถามประเภทหุ้น … น่าลงทุนมั้ยนี่คืออย่าเสียเวลาถามเลยดีกว่าครับ  เอาเวลาไปศึกษาด้วยตัวเองแล้วตัดสินใจเลยจะเข้าท่ากว่ามาก
 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ทำไมเราถึงอยากให้คุณลงทุนระยะยาว

Why Should You Invest Long Term

ทำไมเราถึงอยากให้คุณลงทุนระยะยาว

วีดิโอหัวข้อสำหรับคนที่ลงทุนระยะยาวอยู่แล้วก็ดีแล้ว  แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ลงทุนระยะยาวผมจะมาพยายามโน้มน้าวให้คุณมาลงทุนระยะยาวครับ

เหตุผลที่ทำให้การลงทุนระยะยาวได้เปรียบการลงทุนระยะสั้นคือ

  1. ผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวไม่ได้แพ้การลงทุนระยะสั้น
  2. บางคนมีความเข้าใจผิดว่าลงทุนระยะยาวผลตอบแทนสู้การลงทุนระยะสั้นไม่ได้ซึ่งมันไม่จริง  บางทีเราเคยได้ยินว่ามีคนลงทุนระยะสั้นซื้อวันเดียวได้กำไร 20% ซึ่งมันก็อาจจะจริง แต่มันก็จะมีวันที่เค้าพลาดแล้วขาดทุนวันเดียว 20% เช่นกัน  สุดท้ายมันต้องวัดกันยาวๆว่าผ่านไป 10 ปีเงินต้นเราโตเป็นเท่าไหร่ กำไรบ้างขาดทุนบ้างไปมาก็อาจจะธรรมดาก็ได้ คนลงทุนระยะสั้นทำได้เทพมากก็มีห่วยแตกมากก็มี  คนลงทุนระยะยาวเทพมากก็มีและห่วยแตกมากก็มีเช่นกัน

  3. พลาดโอกาสเพราะโดยรวมแล้วตลาดหุ้นมันเป็นทิศทางขาขึ้น
  4. โดยภาพรวมอยากจะให้เข้าใจว่าภาพรวมของตลาดหุ้นก็คือหุ้นบริษัทจำนวนมากจากอุตสาหกรรมที่หลากหลายในประเทศไทยรวมกัน  และที่ผ่านมาภาพระยะยาวเศรษฐกิจของประเทศไทยก็เป็นทิศทางขาขึ้น ดังนั้นตลาดหุ้นโดยรวมก็เลยมีทิศทางเป็นขาขึ้นถึงแม้ว่ามันจะดูแกว่งรุนแรงเพราะมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนในตลาดซะเยอะก็ตาม  

    ดังนั้นหมายความว่าโดยเฉลี่ยถ้าเงินเราอยู่ในหุ้นเราจะกำไร  ลงทุนระยะยาวเลยได้เปรียบลงทุนระยะสั้นเพราะมีช่วงเวลาที่เงินอยู่ในหุ้นมากกว่า

  5. ลดผลกระทบของจิตวิทยาตลาด
  6. เวลาเราลงทุนระยะยาวเราจะให้ความสนใจกับผลประกอบการของบริษัทซึ่งอย่างมากก็ออกรายงานไตรมาสละครั้ง  เราจะไม่มาจับตามองหุ้นเราทุกวัน ซึ่งมีผลดีต่อสภาวะจิตเรา ราคาหุ้นในแต่ละวันมันก็ขึ้นๆลงๆน่ะแหละไม่เกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัท  นั่งดูไปก็ตื่นเต้นตระหนกตกใจเปล่าๆ หนักกว่านั้นคือเดี๋ยวเราเผลอไปซื้อหรือขายตามอารมณ์ตลาดอีกต่างหาก

  7. ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินกับค่าคอมมิชชั่นซื้อขาย
  8. แล้วเวลาซื้อขายบ่อยๆนี่มันก็มีต้นทุนนะ  อย่างเวลาซื้อขายของ SCBS ของผมมันจะมีค่าธรรม 0.15% ของมูลค่าการซื้อขาย  ซึ่งถ้าดูแบบนี้มันเหมือนจะน้อย แต่สมมติเราลงทุนซื้อขายปีละหลายครั้งรวมกันมันก็จะเยอะอยู่  คำนวณง่ายๆถ้าซื้อและขาย 1 ครั้งก็จะเท่ากับ 0.3% ถ้าซื้อและขายเดือนละครั้งก็เป็น 3.6% แล้ว เยอะนะครับนั่นน่ะ  นึกภาพว่าเราเสียค่าธรรมเนียมตรงนี้ไปฟรีๆ ดังนั้นการลงทุนระยะยาวที่ซื้อขายนานๆทีก็เลยได้เปรียบลงทุนระยะสั้นแล้วซื้อขายบ่อยๆ

  9. ไม่ต้องมานั่งเฝ้า
  10. อันนี้สำคัญที่สุดเลย  การลงทุนระยะยาวทำให้คุณไม่ต้องมาคอยดูราคาขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา  ถ้าคุณลงทุนเพราะชอบความตื่นเต้นและสนุกกับมันก็แล้วไป แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นการลงทุนระยะยาวทำให้คุณมีเวลาเอาไปทำเรื่องอย่างอื่นที่สำคัญกับชีวิตแทนที่จะมานั่งดูจอตัวเลขขึ้นลงทั้งวัน

 

และด้วยเหตุผลเหล่านี้  ลงทุนระยะยาวเถอะครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

มาเดากันดีกว่า SET จะโตปีละกี่ %

Let's Make a Guess on How Much will SET Grow Each Year

มาเดากันดีกว่า SET จะโตปีละกี่ %

มีคนถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ในอนาคต SET50 จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยไม่ถึง 10% ต่อปี

ถ้าตามความเห็นผมก็คิดว่าเป็นไปได้มากที่ SET50 และ SET TRI ผลตอบแทนเฉลี่ยจะไม่ถึง 10%

ดูอย่างผลตอบแทนกองทุนดัชนี SET50 (Source: AIMC) จะเห็นว่าถ้านับเฉลี่ยช่วง 10 ปีผลตอบแทนมันอยู่ประมาณ 11.42% ต่อปีก็จริง  แต่เฉลี่ยช่วง 5 ปีผลตอบแทนมันอยู่แค่ 2.88% ต่อปีเท่านั้นเอง ตัวเลขที่แตกต่างกันเยอะมากแสดงว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากำไรเยอะมันอยู่ที่ 5 ปีแรก  ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะเป็นช่วงปีหลังวิกฤติเศรษฐกิจที่ตลาดหุ้นฟื้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในอนาคตข้างหน้าเราก็ไม่ควรคาดหวังว่าผลตอบแทนของ SET50 มันจะสูงถึง 10-11%

ส่วน SET TRI สามารถไปดาวน์โหลดข้อมูลจากเวป SET มาจะได้ข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี  ซึ่งคำนวณผลตอบแทนเฉลี่ยได้อยู่ที่ 3.55% ต่อปี https://www.set.or.th/set/fetchfile.do?filename=roi/market.xls

ดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ที่อนาคตผลตอบแทนจะเป็นเฉลี่ยปีละ 10% เหมือนที่ผ่านมา

 

ทีนี้คำถามต่อมาคือถ้าอย่างนั้นเราควรจะคาดหวังผลตอบแทนจาก SET ซักประมาณกี่ % ต่อปีดี ?

เอาจริงๆคือไม่มีใครรู้อนาคตหรอกครับ  แต่ถ้าต้องเดา ผมก็นำเสนอวิธีการเดาครับ  เราลองจินตนาการง่ายๆว่า

ผลตอบแทนของหุ้นทั้งตลาด (Total return)

=~ Dividend Yield ของหุ้นทั้งตลาด + ราคาที่เพิ่มขึ้นของหุ้นทั้งตลาด

=~ Dividend Yield ของหุ้นทั้งตลาด + การเติบโตของกำไรของหุ้นทั้งตลาด + การเปลี่ยนแปลงของ P/E ตลาด

ตัวเลขปัจจุบันของพวกนี้เราสามารถหาได้บนเวปตลาดหลักทรัพย์  ส่วนตัวเลขการที่เป็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเราต้องเดาเอาเอง

กำไรของบริษัทในตลาด 5 ปีล่าสุดเท่าที่มีโตเฉลี่ย 6.2%  เอาตัวเลขกำไรสุทธิของทุกบริษัทใน SET ของปี 2017 เทียบกับ 2012  ดาวน์โหลดได้บนเวป SET เช่นกัน

GDP ของช่วงปีเดียวกันโตเฉลี่ย 2.84%  https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=TH

สมมติเราเดาว่ากลางๆระหว่างสองเลขนี้ละกันคือกำไรของหุ้นในตลาดจะโตปีละ 4% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

  • การเปลี่ยนแปลงของ P/E ตลาดก็ต้องเดาเช่นกัน

ตัวเลขปัจจุบันคือ 19.5 เท่า  เอามาจากไฟล์เดียวกันกับ Dividend Yield

สมมติเราเดาว่ามันน่าจะเป็น 20 เท่าใน 5 ปีนะ  นั่นก็คือเท่ากับการเปลี่ยนแปลงของ P/E ตลาดคือปีละ 0.51%

ดังนั้นรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันเราก็จะคาดว่า 5 ปีข้างหน้าผลตอบแทนโดยรวมของหุ้นทั้งตลาดน่าจะประมาณ  3.14%+4%+0.51% = 7.65% ต่อปี

จะเห็นว่าจริงๆคอนเซปต์มันก็ไม่ได้เข้าใจยาก  แต่มันยากตรงการเดาตัวแปรนี่แหละ และดังนั้นเอาจริงๆก็คือไม่มีใครรู้หรอกครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

List หุ้น P/E ต่ำ หาได้จากที่ไหน ??

Where to Find a List of Low P/E Stocks?

List หุ้น P/E ต่ำ หาได้จากที่ไหน ??

มีคนสนใจอยากเริ่มดูหุ้นจากกลุ่มที่ P/E ต่ำ  ก็เลยมีคำถามว่าเราจะหารายชื่อหุ้นที่เรียงจาก P/E ต่ำไปสูงได้จากที่ไหน  ซึ่งจริงๆตอนแรกผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอไปหาดูก็เจออยู่นะ

  1. ใช้ของ Investing.com
  2. ปกติผมใช้เวปนี้ตั้ง alert อยู่แล้ว  www.investing.com

    • เปิดเข้าไปตรง Tools > Stock Screener
    • เลือกเป็นประเทศไทย
    • กด add criteria ที่ชื่อ P/E Ratio
    • เลือก tab Fundamental
    • กดให้มันเรียงตาม P/E Ratio

     

  3. ใช้ของ Siamchart.com
  4. ที่ผ่านมาผมไม่เคยใช้  แต่เจอเวปนี้ตอนหาเรื่องนี้แหละ  www.siamchart.com

    • เปิดเข้าไปตรง Stock > Stock List
    • กดให้มันเรียงตาม P/E Ratio

 

ส่วนตัวผมจะนิยม investing.com มากกว่า  หลักๆเพราะ investing.com มันจะมีหุ้นทั่วโลก  ดังนั้นถ้าเราต้องการเรียง P/E แบบนี้กับตลาดหุ้นประเทศอื่นเราก็ทำได้บนเวปเดียวจบ  ในขณะที่ siamchart ก็มีแค่ของไทยเท่านั้น แต่โดยรวมถ้าจะดูหุ้นไทยผมก็ว่าใช้ของเวปไหนก็น่าจะเหมือนๆกันแหละ  ยังไงเราก็แค่ต้องการไอเดียไว้สำหรับศึกษาต่อแค่นั้นเองนี่ เอาตามที่เราสะดวกเลยครับ
 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg