Earnings ชื่อต่างๆที่อาจเจอในงบการเงินต่างประเทศ

What are these different earnings: reported, operating, core, pro forma?

Earnings ชื่อต่างๆที่อาจเจอในงบการเงินต่างประเทศ

มีคนอ่านงบการเงินภาษาอังกฤษแล้วไปเจอคำพวกนี้  เค้าถามว่ามันต่างกันอย่างไร

Reported earnings กับ Basic earnings เป็นอันเดียวกัน  เค้าหมายถึงกำไรสุทธิที่รายงานตามมาตรฐานบัญชี  มาจากรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว  ซึ่งมันก็เป็นตัวเลขที่ถือว่าแฟร์เพราะทุกบริษัทต้องบันทึกภายใต้กฎเดียวกันหมด

Total Revenue – Cost of Goods Sold – Selling, General and Admin expenses – Depreciation – Interest – Tax

แต่ Reported earnings มันก็จะมีผลของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเข้ามาเกี่ยว  ซึ่งตรงนี้มันมาจากโครงสร้างเงินทุนของบริษัทว่าใช้หนี้เยอะมั้ย  มันไม่ค่อยเกี่ยวกับการบริหารตัวธุรกิจเท่าไหร่  ดังนั้นมันก็เลยมีบางคนที่นิยมดูตัว Operating earnings แทน  ถ้าเป็นภาษาไทยอันนี้คือกำไรจากการดำเนินงานหรือคือกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้  ตัว EBIT น่ะครับ

Total Revenue – Cost of Goods Sold – Selling, General and Admin expenses – Depreciation

ส่วน Core earnings นี่เป็นตัวที่โดยหลักการคือต้องการจะดูกำไรที่เกิดจากธุรกิจหลักของบริษัท  ดังนั้นเค้าก็พิจารณารายได้และรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัท  แล้วก็ตัดพวกรายการพิเศษออกเช่น ค่าใช้จ่ายที่มาจากการฟ้องร้อง, กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าเงินลงทุนในสินทรัพย์เผื่อขาย, ฯลฯ

Pro Forma earnings หรือก็คือ Adjusted earnings  พวกนี้คือปรับยังไงก็ได้เลยแล้วแต่ผู้บริหาร  เค้าก็จะอ้างว่าเป็นการปรับตัวเลขตัดนู่นนี่ออกหรือไม่นับรายการบางอย่างเพื่อให้สะท้อนผลประกอบการของบริษัทได้ชัดเจนขึ้น  อารมณ์มันจะคล้ายๆกับ Core earnings นะแต่ยิ่งยืดหยุ่นมากขึ้นไปอีก

Reported earnings กับ Operating earnings ถือเป็นตัวเลขที่ยึดหลักตามมาตรฐานบัญชี

แต่ Core earnings กับ Pro Forma นี่ถือว่าไม่ใช่ตัวเลขที่ยึดหลักตามมาตรฐานบัญชีละ  เวลาดูต้องใช้ความระมัดระวังมาก  ไม่สามารถใช้ตัวเลขนี้ในการเปรียบเทียบข้ามบริษัทได้  และต่อให้เป็นการเปรียบเทียบแต่ละปีของบริษัทเดียวกันก็ยังต้องใช้ความระมัดระวัง  ปกติมันจะมีหน้า reconciliation ที่แจกแจงว่าเลขพวกนี้ปรับมาจากกำไรสุทธิปกติยังไงบ้าง  ถ้าจะดู earnings สองอันนี้ต้องดูรายละเอียดที่มาทุกครั้ง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

อัพเดทสถานการณ์เศรษฐกิจ สรุปว่าจะฟื้นแล้วหรือยัง ?

How are the economy recoveries doing ?

อัพเดทสถานการณ์เศรษฐกิจ สรุปว่าจะฟื้นแล้วหรือยัง ?

วันนี้เรามาติดตามข่าวเรื่องเศรษฐกิจกันบ้างครับ

เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวอัตราการว่างงานในอเมริกาลดลง  คนก็เลยเริ่มตื่นเต้นว่าเศรษฐกิจอาจจะฟื้นกลับมาเร็วกว่าที่คาด  เริ่มมีคนกลับมาพูดถึงการฟื้นตัวแบบ V-shape  และนักวิเคราะห์หลายคนก็เริ่มเปลี่ยนมุมมองละ  https://www.cnbc.com/2020/06/05/jobs-report-may-2020.html

ส่วนตัวผมมองว่าเศรษฐกิจมันจะฟื้นแบบ V-shape แหละ  แต่มันจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อโรคระบาดมันถูกจัดการได้มียารักษาหรือมีวัคซีนแล้วเท่านั้นถึงจะจบจริง  ตัวเลขการว่างงานที่ดีขึ้นมากของ US มันก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรก็ในเมื่อเค้าอนุญาตให้กลับมาเปิดร้านเปิดอะไรมันก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว  แต่ต่อจากนี้ไปจนกว่าจะแก้ปัญหาได้จริงๆ  ผมเชื่อว่ามันก็อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ยังไม่ชัดเจน  เรื่องนี้ประเด็นมันอยู่ที่ 2 อย่าง

  1. พอเปิดธุรกิจกลับมา  จะกลับมาระบาดรุนแรงอีกหรือเปล่า
  2. กลับมาระบาดบ้างก็คงไม่ใช่ปัญหา  ตราบใดที่มันไม่ขึ้นแบบ exponential และระบบสาธารณสุขรองรับได้ก็โอเค

  3. สมมติรักษาระดับการระบาดให้ทรงๆได้  คนจะกลับมาใช้ชีวิตใช้จ่ายปกติขนาดไหน
  4. ส่วนตัวผมมองว่าปัจจัยที่ 1 ตราบใดที่ทำตรงนี้ได้ดี  ปัจจัยที่ 2 น่าจะไม่เป็นปัญหา  ถ้าคนเห็นว่าไม่กลับมาระบาดและควบคุมได้ก็น่าจะสบายใจมากขึ้นเรื่อยๆและกลับมาใช้จ่ายใกล้เคียงเดิม (ที่มันไม่เหมือนเดิม 100% เป็นเพราะผมยังเชื่อว่าการท่องเที่ยวจะยังไม่ฟื้นเป็นปกติ)

ดังนั้นตอนนี้ผมว่า key ของมันคือเรื่องการกลับมาระบาดแล้วล่ะ  ซึ่งถ้าเราดู timeline หลายๆประเทศรวมถึงไทยเริ่มทยอยอนุญาตให้ธุรกิจกลับมาเปิดเป็นปกติมากขึ้นตั้งแต่ช่วงต้น-กลางเดือนพฤษภาคม  ระยะฟักตัวโรคมันคือ 14 วันถูกมะ  ตอนนี้ผ่านสัปดาห์แรกของมิถุนายนมาแล้วก็น่าจะแปลว่านานเกิน 14 วันละ  เราน่าจะมาดูซักหน่อยว่าการระบาดในประเทศที่ก่อนหน้านี้อาการหนักแล้วได้มีการเริ่มเปิดธุรกิจกลับมาเป็นยังไงกันบ้างแล้ว

เท่าที่ดูเราจะเห็นว่าประเทศที่เปิดกลับมาแล้วดูสถานการณ์ควบคุมได้ก็มี  ไทย, เยอรมณี, อิตาลี, เกาหลี  แต่พวกที่ดูจะกลับมาเยอะหรือดูยังเยอะอยู่ก็มีอย่างอิหร่านและสหรัฐอเมริกา

คำถามคือแล้วถ้าเกิดกลับมาระบาดรุนแรงซึ่งก็ดูเป็นไปได้  เค้าจะต้องสั่งปิดธุรกิจอีกหรือเปล่า  ถ้าสั่งปิดอีกรอบผลกระทบกับเศรษฐกิจก็รุนแรงอย่างน้อยพอๆกับรอบที่แล้วแน่นอน  ตลาดหุ้นก็มีโอกาสตกรุนแรงอีกก็ได้  ดังนั้นอย่าเพิ่งสบายใจกันเกินไป  ผมว่ามันต้องคอยดูถึงซักสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

ทำไมคนถึงไปลงทุนในบริษัทใหม่ที่ทั้งเสี่ยง, ไม่มีกำไร และโดยสถิติแล้วขาดทุน ?

Recent lessons on delusion: Why people jump in on money-losing companies ?

ทำไมคนถึงไปลงทุนในบริษัทใหม่ที่ทั้งเสี่ยง, ไม่มีกำไร และโดยสถิติแล้วขาดทุน ?

ก่อนหน้านี้มี Uber, Lyft  แล้วซักพักก็มี Peloton, WeWork  แล้วซักพักก็มีหุ้นกัญชา  แล้วก็ล่าสุดเลยก็มีเรื่อง Luckin Coffee แต่งงบการเงิน

หัวข้อวันนี้ผมชวนคุยเรื่องทำไมคนถึงชอบกระโดดเข้าไปลงทุนในบริษัทที่ยังไม่ถูกพิสูจน์  หลายครั้งเป็นบริษัทขาดทุนมหาศาลต่อเนื่องด้วยซ้ำ  และส่วนใหญ่ก็เจ๊งขาดทุน  แต่ก็มีแบบนี้อยู่ทุกยุคทุกสมัย  ทำไมมันเป็นแบบนั้นและเราจะเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง

แต่ก่อนอื่นเลยต้องพูดให้ชัดเจนก่อนว่าผมไม่ได้กำลังบอกว่านักลงทุนพวกนี้ไม่ดีหรือโง่หรืออะไรนะครับ  ถ้ามองจากมุมมองของโลก  เราต้องยอมรับว่านักลงทุนที่กล้าหาญไปลงทุนในบริษัทใหม่ๆมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสำคัญต่ออนาคตของเรามาก  ถ้าไม่มีพวกเขาก็จะไม่มีใครให้เงินลงทุนกับบริษัทเกิดใหม่ที่ลงทุนลองทำอะไรใหม่ๆและสุดท้ายก็จะไม่มีการพัฒนา  ในประวัติศาสตร์ก็ไม่ใช่ว่าทำแบบนี้แล้วจะเจ๊งเสมอไป  มันก็มีบริษัทที่สุดท้ายเติบโตมหาศาลทำให้คนที่ลงทุนตอนแรกๆร่ำรวย  และบริษัทพวกนั้นก็สร้างความแตกต่างให้กับโลก  ดังนั้นเราต้องขอบคุณพวกเขาที่ยินดีกระโดดเข้าไปเสี่ยงและส่วนใหญ่ขาดทุน

แต่วันนี้ผมพูดเรื่องนี้ในฐานะที่มองจากมุมมองระดับบุคคลที่เข้าไปลงทุนเพื่อผลตอบแทนโดยที่เงินต้นไม่เสีย  การแห่เข้าไปลงทุนในอะไรแบบนี้เป็นสิ่งที่เสี่ยงมาก  ผมคิดว่ามันมีปัจจัยหลัก 3 อย่างที่ทำให้คนตัดสินใจแบบนั้น

  1. ภาพของตลาดใหม่ขนาดใหญ่โต
  2. ภาพนี้มักทำให้เรารู้สึกว่าบริษัทจะยังโตได้อีกมหาศาล  คนที่เข้าไปลงทุนก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นไปได้มากที่จะโต  ทั้งที่จริงๆแล้วปัจจัยที่บริษัทมันจะโตแบบก้าวกระโดดได้มันมีอะไรอย่างอื่นอีกเยอะ  บริษัทจะต้องสามารถจับส่วนแบ่งการตลาดได้ใหญ่พอสมควร, บริษัทจะต้องสามารถทำกำไรได้ไม่ใช่แค่ยอดขายโตเฉยๆ  และเมื่อบริษัทมีกำไรแล้วก็ยังต้องสามารถกันคู่แข่งหรือรักษาความได้เปรียบไม่ให้สุดท้ายมีคนอื่นเข้ามาแย่งไป

  3. มั่นใจในบริษัทเกินไป
  4. เมื่อมีตลาดใหม่ขนาดใหญ่  ก็จะมีคนเห็นโอกาสเข้ามาบุกเบิกทำสินค้าหรือบริการมาขายหลายคน  และมี Venture Capitalist (VC) เห็นความเป็นไปได้เข้ามาสนับสนุนเงินทุนหลายเจ้า

    โดยธรรมชาติของคนที่เข้าไปบุกเบิกทำธุรกิจในตลาดใหม่กับ VC ก็เป็นคนมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว (ไม่งั้นมันก็ไม่ทำตั้งแต่แรก)  เคยมีการทำการสำรวจความเห็นผู้ประกอบการ 2,994 คนโดย Cooper, Woo, and Dunkelberg (1988) ว่ามั่นใจแค่ไหนว่าจะทำธุรกิจประสบความสำเร็จ  ผลคือ 81% เชื่อว่าตัวเองมีโอกาสสำเร็จอย่างน้อย 70%  และมี 1 ใน 3 ที่เชื่อว่าสำเร็จแน่นอน  ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว 75% ของธุรกิจใหม่เจ๊งใน 5 ปีแรก  ส่วน VC ก็เช่นกัน Graves and Ringuest (2018) เคยทำการสำรวจวัดความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนที่ VC คาดหวังเทียบกับผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง  ผลคือกลุ่ม VC นี่นอกจากจะมั่นใจมากกว่านักลงทุนทั่วไปยังกะผลตอบแทนคลาดเคลื่อนมากกว่าด้วย

    พอเป็นแบบนี้ปุ๊บ  ทุกบริษัทที่เข้าไปบุกเบิกตลาดใหม่ก็จะแพงเกือบหมดเพราะทุกบริษัทเชื่อว่าตัวเองจะเป็นผู้ชนะ  และก็จะมีคู่แข่งใหม่ๆทยอยเข้ามาแข่งเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อยๆเพราะคนอื่นก็เริ่มเห็นว่าเป็นตลาดใหม่ขนาดใหญ่  ดังนั้นโดยภาพรวมคือตลาดก็จะใหญ่ขึ้นจริงมียอดขายเกิดขึ้น  แต่ในระดับรายบริษัทยอดขายก็จะไม่โตอย่างที่คาดไว้ตอนแรกและอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก็จะต่ำลงกว่าที่คาด  แล้วสุดท้ายคนก็จะเริ่มเห็นความจริงว่าสิ่งที่คาดไว้ตอนแรกกับความจริงมันห่างกันเยอะ  พอคนเริ่มเห็นแบบนั้นราคาตลาดของบริษัททั้งหมดโดยรวมก็จะตก  ยกเว้นส่วนน้อยมากที่จะสำเร็จแล้วโตพรวดพราดขึ้นมาจนดังแล้วก็เป็นตัวอย่างความสำเร็จให้คนรู้สึกตื่นเต้นยินดีจะเสี่ยงในโอกาสใหม่ๆต่อไป

  5. ตอนบริษัทเพิ่งเริ่มจะประเมินมูลค่ายาก
  6. ในช่วงแรกๆที่บริษัทยังเพิ่งเริ่มไม่มีกำไร  มันก็ต้องอาศัยการสมมติว่าบริษัทจะโตแค่ไหนจะมีกำไรเมื่อไหร่ขนาดไหนไปในอนาคต  ซึ่งตรงนี้มันก็ไม่มีใครรู้ดังนั้นในตอนแรกการประเมินมูลค่าแบบ VI ก็จะแทบเป็นไปไม่ได้  ในช่วงแรกคนก็จะให้ความสำคัญกับยอดขายหรือไม่ก็ตัวเลขอื่นที่เกี่ยวกับธุรกิจนั้นเช่นตัวเลขผู้ใช้หรืออะไรซักอย่างแทน

 

ดูตัวอย่างในอดีตอย่างช่วง Dotcom bubble ที่คนบ้าคลั่งพวกหุ้นอินเตอร์เน็ต  หลักๆก็มาจากความเชื่อว่าเป็นตลาดใหม่ที่ใหญ่มาก  ทำให้คนมองข้ามทุกอย่างขอให้เป็นบริษัทที่ขายอะไรซักอย่างเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตก็ราคาขึ้นหมด

หุ้นอย่าง WeWork ก็เป็นแบบเดียวกัน  คนมองว่า Sharing economy เป็นอนาคตของที่ทำงานซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก

พวกหุ้นกัญชาก็แบบเดียวกัน  จากเดิมที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย  พอเปิดอนุญาตให้ถูกกฎหมายคนก็มองว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มากอีกเช่นกัน

Luckin Coffee ก็เหมือนกัน  คนมองว่าตลาดกาแฟออนไลน์อนาคตจะโต  พูดกันถึงขั้นว่าจะมาแข่งกับ Starbucks

Uber กับ Lyft ก็แบบเดียวกัน  คนมองว่า ride-sharing เป็น trend ของอนาคต  และพวกนี้อาจจะสามารถขยายไปในธุรกิจ logistics อื่นได้  ตลาดโตมหาศาล

ทั้งหมดพวกนี้คือถ้าไม่นับเรื่องความเชื่อว่ามันจะโตนะ  จริงๆไม่มีบริษัทมีกำไรซักบริษัทนึง

สำหรับพวกเราแล้ว  สิ่งที่เราควรจะได้จากเรื่องนี้คือ

  1. อย่าเผลอมองโลกในแง่ดีเกิน  ทำตัวระแวงนิดนึงก็ดี
  2. ระมัดระวังการใช้ metric ในการประเมินมูลค่าแปลกๆ  เช่นพวกที่ดูยอดขายอย่างเดียวอะไรพวกนี้
  3. สุดท้ายคือถ้าตลาดมันใหญ่โตมหาศาลจริงๆ  รอให้บริษัทมันพิสูจน์ business model ก่อนก็ยังไม่สาย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

งบการเงินรวม กับ งบการเงินเฉพาะกิจการ ต่างกันยังไง ?

งบการเงินรวม กับ งบการเงินเฉพาะกิจการ ต่างกันยังไง ?

เวลาเราเปิดงบการเงินขึ้นมา  เราจะเห็นว่ามันมี column ที่เป็นงบการเงินรวมกับงบการเงินเฉพาะกิจการ  และบางบริษัทก็จะต่างกันไม่เยอะส่วนบางบริษัทก็ดูต่างกันเยอะ  เลยมีคนถามว่างบการเงินรวมกับงบการเงินเฉพาะกิจการต่างกันยังไง

โดยสาระสำคัญความแตกต่างมันจะตามชื่อเลยครับ  

งบการเงินรวมคือแสดงงบการเงินที่รวมบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยเข้าด้วยกัน  รวมตัวรายได้, รายจ่าย, กระแสเงินสด, ทรัพย์สิน, หนี้สิน  ทุกอย่างรวมกันเหมือนเป็นบริษัทเดียวกัน  แล้วก็รายงานตัว minority interest หรือส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทแยกต่างหากอีกที

ส่วนงบการเงินเฉพาะกิจการคือตัวบริษัทใหญ่เป็นหลัก  แล้วบันทึกพวกบริษัทย่อยหรือร่วมแยกต่างหาก  ปัจจุบันรู้สึกว่าจะบันทึกแบบราคาทุน (cost method) หรือแบบส่วนได้เสีย (equity method) ก็ได้

ดังนั้นจุดหลักๆที่มันจะต่างก็มี

  1. เวลามีกำไรเกิดขึ้นกับบริษัทย่อยจะบันทึกไม่เหมือนกัน
  2. สมมติบริษัทย่อยมีกำไรโผล่มา 1 บาท  ถ้าเป็นงบการเงินรวมมันก็จะแสดงกำไรที่โผล่มา 1 บาทนี้  แต่ถ้าเป็นงบเฉพาะกิจการก็จะไม่เพราะ 1 บาทนี่เกิดขึ้นกับบริษัทย่อย

  3. รายการระหว่างกันจะบันทึกไม่เหมือนกัน
  4. พวกธุรกรรมระหว่างบริษัทใหญ่กับบริษัทย่อยเช่น  บริษัทใหญ่ซื้อของจากบริษัทย่อยหรือบริษัทใหญ่ให้บริษัทย่อยยืมเงิน  พวกนี้ถ้าเป็นงบการเงินรวมก็จะถูกตัดออกไปไม่แสดงเพราะมันมองเหมือนเป็นบริษัทเดียวกัน  แต่จะแสดงบนงบการเงินเฉพาะกิจการ

แล้วเราควรดูอันไหนดี ?

ถ้าเป็นผมก็จะดูงบการเงินรวมเป็นหลักนะ  เพราะเวลาเราซื้อหุ้นเราก็เป็นเจ้าของบริษัทย่อยของมันไปด้วย  ดังนั้นมันก็ควรจะดูงบการเงินรวมเป็นหลัก  แล้วอาจจะดูงบการเงินเฉพาะกิจการเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่ากำไรที่เกิดขึ้นมาจากบริษัทใหญ่หรือบริษัทย่อยมากกว่ากัน

ถ้าใครสนใจจะอ่านอย่างละเอียดสามารถไปอ่านเอกสารของสภาวิชาชีพบัญชีเลยครับ

http://www.tfac.or.th/Article/Detail/119612

และสมมติใครถนัดภาษาอังกฤษมากกว่าหรือต้องการอ่านของ IFRS เลยก็ไปที่นี่ครับ

https://www.ifrs.org/issued-standards/list-of-standards/

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

เทรนด์ธุรกิจจะเปลี่ยนไปมั้ย หลังโควิด ?

How the world could change after COVID-19 ?

เทรนด์ธุรกิจจะเปลี่ยนไปมั้ย หลังโควิด ?

อย่างที่หลายคนทราบอยู่แล้วว่าผมเชื่อว่า COVID-19 เป็นปัญหาชั่วคราว  หลังจากโรคระบาดจบเศรษฐกิจก็จะกลับสู่สภาวะปกติและตลาดหุ้นก็จะฟื้นกลับขึ้นมาตาม  แต่ทีนี้บางธุรกิจอาจจะไม่เหมือนเดิม  วันนี้ผมพูดถึงธุรกิจบางประเภทที่ผมกำลังสงสัยว่ามันจะเปลี่ยนไปแบบถาวะหรือเปล่าครับ

  1. เทรนด์ Work from home อาจจะอยู่ยาว
    1. Business travel อาจจะหายไป
    2. บริษัทที่ขายอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
    3. อสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ชานเมืองก็อาจจะได้รับความนิยมขึ้นมา
    4. Office REIT
  2. Online service ต่างๆอาจจะได้รับความนิยมมากขึ้น
    1. Online education
    2. Online shopping – retail apocalypse
    3. Mobile payment

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

ตลาดหุ้นจีนดูจะน่าสนใจนะ !

Chinese stocks look interesting now

ตลาดหุ้นจีนดูจะน่าสนใจนะ !

ผมโดยส่วนตัวที่ผ่านมาจะไม่ค่อยชอบหุ้นจีนเพราะรู้สึกว่าหาข้อมูลยากอ่านไมออก  แต่หลังๆเริ่มรู้สึกว่าอาจจะสมควรมาสนใจหุ้นจีนละครับ

  1. ประเทศจีนเศรษฐกิจเติบโตดีกว่า
  2. โดยรวมแล้วเศรษฐกิจเติบโตดีเป็น background ก็ทำให้บริษัทผลประกอบการดีไปด้วย  ถึงแม้ว่าช่วงหลังๆเราได้ยินว่าเศรษฐกิจจีนโตช้าลง  แต่ถ้าไปดูจริงๆก็ยังโตเยอะอยู่นะ  ปี 2019 ก็ยังเห็นว่าโต 6.1%

  3. ผลประกอบการบริษัทจีนทำได้ดีขึ้น
  4. ผมไปอ่านเจอในบทความของ Blackrock  เค้าทำการรวบรวมบริษัททั่วโลกแล้วจัดอันดับตามความสามารถในการทำกำไร (วัดด้วย ROIC – WACC) ผลปรากฎว่าในกลุ่ม 25% ที่คะแนนสูงที่สุดจากทั้งหมดมีที่เป็นบริษัทในจีนเยอะขึ้นกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วเยอะมาก

    ซึ่งก็สอดคล้องกับภาพที่เราเห็นว่าประเทศจีนมีการพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีขึ้นมาเยอะมาก  ไม่ได้เป็นประเทศที่เป็นแค่ฐานการผลิตค่าแรงถูกอีกต่อไป  ปัจจุบันบริษัทที่ทำโดรนอันดับหนึ่งของโลกก็อยู่ในจีน

  5. ตลาดหุ้นโดยรวมราคาถูก
  6. ถ้าดู P/E ของตลาดโดยรวม  

    • SET อยู่ 18.35 เท่า
    • S&P 500 อยู่ 20.53 เท่า
    • Shanghai Stock Exchange อยู่ 12.91 เท่า
    • Hang Seng Index อยู่ 9.54 เท่า
  7. เหตุการณ์โดยรวม
    • โดนโรคระบาดก่อนเพื่อน  น่าจะจบและฟื้นตัวเร็วกว่า
    • เพิ่งมีเรื่องกฎหมายในฮ่องกงอาจจะมีความวุ่นวายเพิ่มขึ้น

ดังนั้นด้วยเหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ผมว่าถ้าเราอ่านภาษาจีนได้ก็สมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องเริ่มศึกษาหุ้นจีน  และต่อให้อ่านจีนไม่ได้ผมว่าก็ยังสมควรที่จะพยายามครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

วิธีดูว่าบริษัท … จะรอดจากโควิด (หรือวิกฤติอื่นๆ) มั้ย ?

Will your investment ... survives COVID (or other catastrophic event) ?

วิธีดูว่าบริษัท … จะรอดจากโควิด (หรือวิกฤติอื่นๆ) มั้ย ?

เร็วๆนี้มีนักเรียนคนหนึ่งถามว่าบริษัทที่เค้าถืออยู่จะรอดจาก COVID-19 มั้ยเพราะเห็นผลประกอบการไตรมาส 1 ออกมาขาดทุนเยอะเหลือเกิน

ในความเป็นจริงก็คงไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจน  เพราะตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการ lockdown แล้วจะกลับมาระบาดรุนแรงมั้ย  หรือต่อให้คุมการระบาดได้ผู้บริโภคจะมีการจับจ่ายใช้สอยเป็นปกติแค่ไหน  จะมีผลกระทบต่อบริษัทที่เราสนใจอยู่ขนาดไหน

สิ่งที่ผมเสนอคือไปดูว่าบริษัทที่เราสนใจมันน่าจะรอดได้นานแค่ไหนโดย

  1. กะคร่าวๆว่าน่าจะค้าขายมีกำไรอยู่มั้ย  ถ้าไม่กำไรจะขาดทุนขนาดไหน  ต้องเสียเงินสดเพิ่มเยอะขนาดไหน
  2. ดูว่ามีหนี้สินอะไรต้องจ่ายใน 1 ปีนี้บ้าง  มี commitment อะไรมั้ย
  3. น่าจะสามารถมีเงินสดเท่าไหร่
  4. เทียบดูว่าทนได้กี่ปี

ขั้นตอนที่ 1

เปิดงบการเงินทั้งปีของปี 2019 ซึ่งเป็นปีปกติดูก่อนว่ามันเป็นยังไง  ถ้าเป็นไปได้เปิดดูหมายเหตุประกอบงบการเงินส่วนที่มีการแจกแจงค่าใช้จ่ายตามลักษณะ

พิจารณาว่าบริษัทน่าจะยอดขายลดลงไปขนาดไหน  ถ้าเป็นไปได้ดูหรือหาข้อมูลจากรายงานไตรมาส 1 ที่ของบางบริษัทจะออกมาแล้วว่ารายได้หดไปขนาดไหน  คำนึงด้วยว่าส่วนใหญ่ผลกระทบของไตรมาส 1 มันจะเริ่มตอนเดือนมีนาคมที่เริ่มมีการห้ามขายของกับห้ามเดินทาง  ถ้าไม่มีรายละเอียดก็คงต้องกะสุ่มเอา

เอารายได้ที่ลดลงเป็น % นั้นไปทาบกับผลประกอบการปีที่แล้ว  และพยายามเดาว่าค่าใช้จ่ายตรงส่วนไหนที่น่าจะเท่าเดิมและส่วนไหนที่น่าจะลดลงได้ตามรายได้  สุดท้ายดูว่าน่าจะอาการเป็นไง

บวกกลับพวกค่าเสื่อมหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสดกลับเข้าไป

เลขนี้ก็จะให้ไอเดียเราว่าบริษัทอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินสดเพิ่มอีกเท่าไหร่

ขั้นตอนที่ 2

เปิดงบการเงินล่าสุดที่มี  อย่างตอนนี้บางบริษัทจะเป็นไตรมาส 1 ออกแล้ว  เอาหนี้สินหมุนเวียนก่อนเราจะได้รู้ว่ามีหนี้สินที่ต้องจ่ายใน 1 ปีเท่าไหร่  แล้วถ้าเป็นไปได้ไปดูตัวหนี้สินระยะยาวพวกเงินกู้ดูว่ามีที่จะต้องชำระในปีถัดไปอีกมั้ย

นอกเหนือจากนั้นถ้าให้ดีก็ไปดูเรื่องแผนการลงทุนหรือ CAPEX อะไรมั้ย

ขั้นตอนที่ 3

เงินสด + ลูกหนี้การค้า + การระดมทุนอื่นๆ

ขั้นตอนที่ 4

เทียบดูว่าน่าจะรอดอยู่ได้นานขนาดไหน

 

ประมาณนี้แหละครับที่เราทำได้  แน่นอนว่ามันก็เป็นการกะคร่าวๆแหละครับ  แต่ดีกว่านั่งเดาเฉยๆแน่นอนครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

ตัวบ่งชี้เศรษฐกิจ (Economic Indicator) ที่เราควรรู้ หลักๆคืออะไร หาได้จากไหน ?

Which Economic Indicators should you know and where to find them.

ตัวบ่งชี้เศรษฐกิจ (Economic Indicator) ที่เราควรรู้ หลักๆคืออะไร หาได้จากไหน ?

มีนักเรียนอยากให้เราพูดถึง “การมองจังหวะเข้าซื้อ กรณี Top Down Approach ว่าควรมองยังไง สังเกตอะไรเป็นสัญญาณ/ตัวชี้วัด หรือดูค่ากราฟของเศรษฐกิจยังไง”

คุยกันให้ชัดเจนก่อนเลยคือเวลาที่ผมลงทุนเงินของตัวเอง  ผมไม่ได้ใช้ Top Down approach และก็ไม่ได้ใช้สัญญาณหรือตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอะไรในการตัดสินใจก็เลยไม่ได้มีสอนเรื่องนี้บน Online Course  แต่เนื่องจากเคยเรียนเศรษฐศาสตร์มาและในเมื่อนักเรียนอยากให้พูดถึงผมก็จะอธิบายเท่าที่รู้ให้ฟังในวีดิโอนี้  แต่ผมอธิบายได้แค่ว่า Economic indicator แต่ละอย่างคืออะไรและบอกอะไรกับเราได้เท่านั้น  จะเอามันไปใช้มองจังหวะเข้าซื้อยังไงคุณคงต้องไปคิดเองละผมช่วยไม่ได้เพราะตัวผมไม่ได้ใช้

  1. GDP Growth
  2. อันแรกที่คนพูดถึงบ่อยสุดก็คือเลขการเติบโตของ GDP (Gross domestic product) หรือผลผลิตมวลรวมของประเทศ

    อันนี้ก็ตรงไปตรงมา  ถ้าตัวเลขนี้เป็นตัวเลขติดลบก็คือเศรษฐกิจโดยรวมหดตัว  หรือถ้าเลขนี้เป็นบวกนะแต่น้อยลงเรื่อยๆในช่วงปีที่ผ่านๆมาก็มักเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจโตใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว

    จุดบอดอย่างหนึ่งของตัวเลขนี้คือมันต้องเก็บข้อมูลเยอะมันก็จะอัพเดท real-time ไม่ได้  ดังนั้นเลขส่วนใหญ่ที่รู้ชัดเจนก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว  ถ้าจะเอาไว้ดูอนาคตมันก็จะไม่มี  มีแต่เลขคาดการณ์  ซึ่งไปดูได้ของ Bank of Thailand กับของ IMF

    https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/MonetPolicyComittee/MPR/Pages/default.aspx

    https://www.imf.org/external/datamapper/NGDP_RPCH@WEO/OEMDC/ADVEC/WEOWORLD

     

  3. อัตราการว่างงาน
  4. โดยปกติเลขนี้สูงขึ้นก็คือคนว่างงานเยอะขึ้น  มันก็เป็นสัญญาณว่าไม่ดีแหละ

    แต่สำหรับประเทศไทยเลขนี้ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เพราะประเทศไทยเราอัตราการว่างงานต่ำมาก  เข้าใจว่าเป็นเพราะประเทศไทยเรามี informal sector ใหญ่  แต่สมมติใครอยากดูตัวเลขนี้ก็ไปดูได้ที่เวปธนาคารแห่งประเทศไทยอีกเช่นกัน

    https://www.bot.or.th/Thai/Segmentation/Business/Pages/UnemploymentRate.aspx

     

  5. เงินเฟ้อ
  6. สูงไปไม่ดี  ต่ำไปก็ไม่ดี  ต้องมีแบบอ่อนๆกำลังดี

    https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/BOTWEBSTAT.aspx?reportID=409&language=TH

     

  7. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
  8. อันนี้มันเป็นตัวเลขจากการสุ่มสอบถามความคิดเห็นคนว่าคิดว่าจะจับจ่ายซื้อของเพิ่มขึ้นหรือเท่าเดิมหรือว่าลดลง  เค้ารวมเอาคำตอบมาทำเป็น index  ถ้าตัวเลขเกิน 50 ก็คือคนตอบว่าเพิ่มขึ้นมีเยอะกว่า  ก็แปลว่าคนเชื่อมั่นและน่าจะมีการบริโภคมากขึ้น  เลข 50 พอดีคือเท่าเดิม  ส่วนเลขต่ำกว่า 50 คือคนตอบว่าน้อยลงมีเยอะกว่า

    ผมเห็นมีตัวเลขนี้อยู่ที่เวปของกระทรวงพาณิชย์

    http://www.indexpr.moc.go.th/PRICE_PRESENT/cbi/cbi_index.asp?list_year=2563&type_index=cci&lu=t

     

  9. ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ
  10. คล้ายๆกับของผู้บริโภคแต่เปลี่ยนเป็นถามผู้ประกอบการแทน

    หาได้บนเวปของธนาคารแห่งประเทศไทย  “ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ”

    https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/EconomicConditions/EconomicIndices/Pages/default.aspx

     

  11. ตัวเลขการซื้อสินค้าทุน, ยอดขายเครื่องจักรและตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน
  12. พวกนี้ก็เป็นตัววัดความต้องการของคนในตลาดแบบหนึ่ง  ถ้าผู้บริโภคซื้อของ  ผู้ผลิตก็จะซื้อของและมีผลิตซึ่งสะท้อนในตัวเลขเหล่านี้

    หาได้บนเวปของธนาคารแห่งประเทศไทยเช่นกัน  “ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนและองค์ประกอบที่ปรับฤดูกาล”

    https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/EconomicConditions/EconomicIndices/Pages/default.aspx

 

และจะเห็นว่ามีข้อมูลอื่นๆอีกมาก  ก็ขอให้ไปดูเองละกันครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

เวลาเฉลี่ย เราต้องตัดปีผิดปกติออกหรือเปล่า ?

When doing averages, what kind of incident should we exclude ?

เวลาเฉลี่ย เราต้องตัดปีผิดปกติออกหรือเปล่า ?

อันนี้เป็นคำถามต่อเนื่องจากหัวข้อ valuation  คือมีคนถามว่าเวลาทำการเฉลี่ยตัวเลขเช่นแบบ ROE เฉลี่ยของหลายปีหรือ Net Profit Margin เฉลี่ยหลายปีเนี่ย  สมมติว่ามันมีบางปีที่ตัวเลขต่างจากปีอื่นเยอะเราควรที่จะตัดมันออกไปจากการคำนวณมั้ย

ถ้าเป็นความเห็นผมโดยคอนเซปต์ก่อน  เนื่องจากวัตถุประสงค์ของเราคือคำนวณตัวเลขเฉลี่ยเพื่อคาดการณ์อนาคต  โจทย์ของเราคือต้องการจะรู้ว่าถ้าบริษัททำธุรกิจปกติไม่ได้มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นผลประกอบการน่าจะเป็นเท่าไหร่  ดังนั้นเราก็ควรที่จะต้องตัดปีที่ผิดปกติออก

ทีนี้ปัญหาคือแล้วยังไงมันถึงเรียกว่าผิดปกติ  โดยส่วนตัวก็คือผมจะเข้าไปดูในรายละเอียดของปีนั้นๆว่ามีรายการอะไรผิดปกติบนงบการเงินหรือเปล่า  หรือพยายามหารายละเอียดว่าในปีนั้นๆมีเหตุการณ์อะไรพิเศษที่สมควรถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกมั้ย  อย่างถ้าสมมติอ่านเจอว่าผลประกอบการเลวร้ายเพราะโรคระบาดแล้วรัฐบาลสั่งให้หยุดขายงี้  ปีนั้นก็ควรจะตัดไปเพราะเราไม่คิดว่ามันสะท้อนผลประกอบการปกติของบริษัทและไม่มีประโยชน์ในการประมาณอนาคต  แต่สมมติอ่านเจอว่าปีนั้นผลประกอบการไม่ดีเพราะราคาขายของสินค้าของบริษัทตกต่ำเพราะมีคู่แข่งขายตัดราคา  อย่างนี้ไม่เกี่ยวละเพราะมันก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีกเป็นปกติของธุรกิจ  ดังนั้นผลประกอบการปีนี้ก็ควรจะรวมอยู่ในการทำการเฉลี่ย

คือสุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนทำแหละ  และผมก็เข้าใจที่บางคนไม่ happy เพราะอยากได้กติกาที่มันตายตัว  แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆครับมันก็ต้องทำแบบนี้แหละ  การที่จะไปอยู่ๆตัดปีเยอะสุดน้อยสุดแล้วเฉลี่ยที่เหลือหรือวิธีอะไรแบบนั้นผมก็ว่าไม่เวิร์คนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

หุ้นในตลาดมีอุตสาหกรรมไหนบ้าง? มีหุ้นอะไรบ้าง? ดูยังไง?

How to Find Stocks by Industries?

หุ้นในตลาดมีอุตสาหกรรมไหนบ้าง? มีหุ้นอะไรบ้าง? ดูยังไง?

อยากกระจายตามรายกลุ่มสัก 8 กลุ่มๆละหุ้น มีกลุ่มใหนบ้างครับ ?

อันนี้มีคนถามเข้ามาครับ  เห็นบอกว่าเพิ่มเริ่มต้นลงทุน

มีหุ้นกลุ่มไหนบ้าง ?  เวปตลาดหลักทรัพย์มีแบ่งกลุ่มให้อยู่แล้วเลยครับ

ทีนี้จะลงทุน 8 กลุ่มเลือกจากในทั้งหมดนั้นเพื่อการกระจายความเสี่ยง  ถ้าเอาแบบตามหลักการเลยมันก็ต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวกันเลยมันถึงจะกระจายความเสี่ยงได้ดีสุด

แต่ผมก็ยังสงสัยว่ามันจะ practical ขนาดไหน  ถ้าจะเอาอุตสาหกรรมที่ต่างกันมากๆ 8 กลุ่มมันก็จะไปมีปัญหาตรงที่จริงๆแล้วเราอาจจะไม่ได้มีความคุ้นเคยหรือเข้าใจมันทุกกลุ่ม  ดังนั้นในความเห็นส่วนตัวผมก็คิดว่าเอาแบบหุ้น 8 ธุรกิจที่ต่างกันในระดับหนึ่งก็น่าจะโอเคละมั้งครับ  เน้นลงทุนในธุรกิจที่เราเข้าใจมันดีกว่า

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses