เล่าประสบการณ์ลงทุนพลาด ขาดทุนเป็นแสน เป็นล้าน (ภาค 1)

Mistakes I made

เล่าประสบการณ์ลงทุนพลาด ขาดทุนเป็นแสน เป็นล้าน (ภาค 1)

บทความนี้ผมเล่าเคสที่เคยตัดสินใจลงทุนพลาดแบบเยอะๆและสิ่งที่ผมเรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านั้นให้ฟังครับ

1. NBC

อันแรกที่นึกออกเลยคือ Nation Broadcasting (NBC) หุ้นช่องข่าวเนชั่น  จำได้ว่าซื้อตอนช่วงที่เค้ากำลังจะมีการประมูลทีวีดิจิตัลเลยครับ  ในตอนนั้นจำได้ว่าซื้อด้วยเงินเยอะอยู่เทียบกับที่มีตอนนั้นประมาณ 3-4 แสนบาทได้  แต่จำราคาที่ซื้อไม่ได้มันนานมาละ

สาเหตุที่ซื้อคือ  หนึ่งเลยเช็คดูผลประกอบการก็ดูโอเคอยู่  แล้วในเวลานั้นก็มีลองฟังข่าวช่องเนชั่นดูก็มีความรู้สึกว่าเค้าก็ทำดีนะ  แต่ช่องทีวีเนี่ยยังไงมันก็เสียเปรียบฟรีทีวีอย่างช่อง 3, 5, 7, 9 พวกนี้  ทีนี้พอได้ข่าวว่าจะมีการประมูลทีวีดิจิตัลผมก็คิดว่ามันก็จะแข่งเท่าเทียมกันแล้วไง  ถ้าก่อนหน้านี้ตอนเสียเปรียบฟรีทีวียังทำได้ดีใช้ได้แล้วถ้าอยู่ในสภาพที่แข่งเท่าเทียมกันแล้วก็ยิ่งน่าจะทำได้ดีขึ้นนะ  ด้วยความเชื่อประมาณนี้ก็เลยซื้อ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหลังจากประมูลช่องมาแล้ว  บริษัทขาดทุน  และแน่นอนเงินลงทุนก็ขาดทุนไปด้วย  จำไม่ได้ว่าถือไว้นานแค่ไหนแต่น่าจะซัก 2 ปีได้กว่าจะตัดสินใจขายไป  ตอนขายนี่ก็ขาดทุนไป -30% กว่าๆได้  นับเป็นจำนวนเงินก็เป็นแสน  ค่อนข้างเซ็ง

สิ่งที่ผมพลาดคือลืมคิดไปว่าการประมูลทีวีดิจิตัลมันเปลี่ยนแปลงสภาพการแข่งขัน  มีช่องใหม่โผล่มาเต็ม  ต่อให้ไม่นับเรื่องที่เม็ดเงินโฆษณาจะเริ่มเบนความสนใจไปพวกสื่อ online อื่น  ยังไงมันก็มีคู่แข่งโผล่มาเยอะมาก  คิดโดยภาพรวมแบบนี้ก็น่าจะรู้ว่ามันจะดีได้ยังไง  ยอมรับว่าพลาดแบบงี่เง่ามากครับเคสนี้  หลังจากนั้นมาผมก็จำเป็นบทเรียนตลอดว่าจะไม่ซื้อหุ้นประเภทที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในอุตสาหกรรมอีก  โดยเฉพาะพวกการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้มีคู่แข่งโผล่มามากขึ้นนี่ต้องเลี่ยงเลย

2. PTTEP

อีกอันนึงที่จำได้สมัยนู้นเลยคือ PTTEP ทำธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม  สินค้าหลักเค้าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ  จำได้ว่าซื้อประมาณปี 2013-2014 ช่วงที่ราคาน้ำมันดิบอยู่แถว $100/barrel  ราคาหุ้นตอนนั้นคุ้นๆว่าซื้อมาน่าจะซักแถว 140-150 บาทมั้งนะ  จำนวนเงินที่ซื้อจำไม่ได้อีกเช่นกันแต่หลายแสนแน่นอน

สาเหตุที่ซื้อคือ  หนึ่งเลยมาจากความเชื่อว่าน้ำมันและพวกปิโตรเลียมมันเป็นทรัพยากรที่จะหมดโลกนะ  ไม่ได้มีความรู้อะไรด้านนี้แค่ว่าตอนเด็กๆได้ยินคนพูดกันแบบนี้จริงๆ  น้ำมันจะหมดโลกต้องประหยัดอะไรประมาณนี้  ดังนั้นราคาน้ำมันก็น่าจะแพงขึ้นเรื่อยๆสิถ้ามันมีน้อยลงเรื่อยๆ  แล้วช่วงนั้นราคาน้ำมันดิบก็แพงขึ้นต่อเนื่องจริงๆนะก็เลยยิ่งสบายใจเข้าไปใหญ่  และอย่างที่สองคือรู้สึกว่า PTTEP กับ PTT เป็นพวกเดียวกันก็เลยรู้สึกสบายใจ

ปรากฎว่าซื้อไปซักพักโลกก็มีเทคโนโลยีการขุด Shale oil ทำให้สหรัฐอเมริกาผลิตปิโตรเลียมได้เยอะขึ้น  พอมี supply เยอะขึ้นพวกน้ำมันดิบและปิโตรเลียมก็ราคาตก  และ PTTEP ซึ่งสุดท้ายก็ขายของได้ตามราคาตลาดก็กำไรหดลง  เอาจริงๆมาถึงตอนนี้ 2020 บริษัท PTTEP รายได้และกำไรก็ยังไม่เคยกลับไปดีเท่าตอนปี 2013 อีกเลย  แล้วคุณคิดว่าเงินลงทุนจะเหลือรึ  หุ้นที่ซื้อมาก็ตกแน่นอน  จำได้ว่าขาดทุนไป -50% ได้  ขาดทุนไปเท่าไหร่จำไม่ได้แต่เป็นหลายแสนชัวร์

หลังจากนั้นมาก็ได้บทเรียนเลยว่าจะไม่ซื้อบริษัทประเภทที่ไม่มีอำนาจแบบนี้อีก  ราคาขายก็คุมอะไรไม่ได้ต้องตามราคาตลาดโลก  ต้นทุนก็คุมอะไรไม่ได้เพราะสัมปทาน, เครื่องจักร, แท่นนู่นนี่ก็ลงทุนไปแล้ว  คือเรียกว่าคุมอะไรแทบไม่ได้  ถ้ากำไรดีก็คือโชคดีขาดทุนก็คือโชคร้าย  และที่สำคัญคือพวกความเชื่อว่าอะไรซักอย่างนึงจะราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆนี่ไม่ใช่ละ  ไม่ว่าจะเป็นทอง, เพชร, ที่ดิน, ฯลฯ  ผมมีไปเช็คผลประกอบการหุ้นเหมืองที่ทำทองชื่อ Barrick Gold กับเพชรชื่อ Dominion Diamond ด้วยนะว่าผลประกอบการเป็นไง  ผลคือห่วยครับเอาจริงๆ

3. Hugo Boss กับ Salvatore Ferragamo

อันนี้เป็นหุ้นที่ซื้อช่วงที่เริ่มลองว่าวิธีการลงทุนแบบ Opportunistic VI มันจะใช้ได้มั้ยในต่างประเทศก็เลยมีการบันทึกชัดเจน  ตอนนั้นสิ่งที่อยากลองซื้อดูก็คือบริษัทพวกที่เป็น fashion เพราะรู้สึกว่าพวกนี้มันขายของได้แพงผิดปกติก็ยังมีคนยินดีซื้อ  ช่วงนั้นปี 2015 จำได้ว่าดู Hermes International กับ LVMH ราคาหุ้นมันไม่ตก  แต่มีหุ้น Hugo Boss, Salvatore Ferragamo กับ Prada ที่ราคาตก  ตัดสินใจซื้อ Hugo Boss มา 77.7 Euro กับ Salvatore Ferragamo ที่ 22.22 Euro  ด้วยเงิน 700,000 บาทเท่าๆกัน

ผมส่วนตัวไม่รู้เรื่องอะไรกับแฟชั่นเลยและไม่เคยสนใจอะไรแฟชั่นทั้งสิ้น  เคยเดินไปสำรวจร้านที่ Siam Paragon ก็ไม่ค่อยเห็นคนหรืออะไรนะ  สาเหตุที่ซื้อก็อย่างที่บอกว่าเห็นคนมันบ้าสินค้าพวกนี้  และที่เลือก Hugo Boss นี่ก็มาจากการที่อ่านมาแล้วคนพูดถึงว่าเป็นสูทผู้ชายที่ดัง, ราคาสินค้าก็แพงด้วยนะ  บวกกับงบการเงินย้อนหลังเค้าก็ทำได้ดี (ช่วงหลังผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาก็ดูดีหมดนะ)  ส่วน Salvatore Ferragamo เช่นกันคือสินค้าแพง, ถามรุ่นน้องผู้หญิงแล้วเค้ารู้จัก  มีคนนึงที่บอกป้าเค้ามีรองเท้ายี่ห้อนี้ 50 คู่  และงบการเงินย้อนหลังก็ทำได้ดีเช่นกัน  ในใจตอนนั้นก็คิดว่า “เอาวะ  ถึงเราไม่ชอบและไม่รู้เรื่องแยกอะไรไม่ออกเลย  ขอให้คนอื่นมันบ้าซื้อต่อไปก็ใช้ได้”

ปัญหาคือหลังจากซื้อไปทั้งสองบริษัทผลประกอบการดูไม่ได้ดีอย่างที่คาด  Hugo Boss นี่แย่ลงเลย  ส่วน Salvatore Ferragamo ก็ดูยอดขายไม่ได้เติบโต  และผมไม่รู้ที่มาที่ไปเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น  อย่าง NBC หรือ PTTEP ผมยังพอเข้าใจที่มาที่ไปได้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้ผลประกอบการแย่ลง  แต่กับหุ้นสองบริษัทนี้คือตั้งแต่ตอนที่ซื้อมาก็ไม่รู้ว่าทำไมมันขายได้หรือทำไมคนถึงยินดีจ่ายแพงกับสองยี่ห้อนี้แต่แรก  พอผลประกอบการแย่ลงผมก็รู้แค่ว่ามันขายได้แย่ลงแค่นั้น  ไม่รู้ว่าทำไมคนถึงไม่ซื้อแล้วล่ะ  คนไม่นิยมสองยี่ห้อนี้แล้วเหรอ  หรือมันเป็นเรื่องปกติมั้ย  เราควรคาดหวังอะไรต่อกับอนาคต  ผม no idea มาก  สุดท้ายด้วยความโชคดีผมตัดสินใจขาย Salvatore Ferragamo ตอนต้นปี 2017 ได้กำไรประมาณ 23%  ส่วน Hugo Boss ขายไปกลางปี 2018 เท่าทุน

กรณีนี้ถึงจะไม่ได้ขาดทุนอะไร  แต่จริงๆแล้วคือแค่โชคดีเฉยๆเพราะสุดท้ายแล้วผลประกอบการหลายปีผ่านไปของทั้ง Hugo Boss และ Salvatore Ferragamo แย่ลงเยอะทั้งคู่  ถ้าไม่ได้ว่าโชคดีขายไปช่วงก่อนโควิดราคาก็สอดคล้องกับผลประกอบการ  ของ Hugo Boss อยู่แถว 43 Euro ส่วน Salvatore Ferragamo อยู่ 16 Euro  หลังจากนั้นมาเลยเป็นบทเรียนว่าอย่าไปซี้ซั้วซื้อบริษัทที่เราไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับมันมากเกินไป  โดยเฉพาะถึงขั้นอธิบายที่มาของกำไรมันไม่ได้และไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นปัจจัยให้มันขายดีไม่ดีนี่ไม่เอาละ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses