PPI คืออะไร เพิ่มหรือลดส่งผลอย่างไรกับทองคำ ?

PPI คืออะไร เพิ่มหรือลดส่งผลอย่างไรกับทองคำ ?

PPI ย่อจาก Producer Price Index ซึ่งคือดัชนีที่เป็นตัวบอกระดับราคาขายของผู้ผลิตสินค้าทุกประเภทรวมกันทั้งประเทศ โดยปกติการเอาไปใช้คือไว้เปรียบเทียบกับ PPI ในช่วงเวลาอื่นเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง

ราคาขายของผู้ผลิตก็นึกภาพแบบโรงงานผลิตออกมาขายให้คนอื่นต่อจะใครก็แล้วแต่ ราคานั้นคือราคาผู้ผลิต ตัวเลข PPI ก็คือไปรวมราคาเหล่านั้นผ่านการคำนวณและถ่วงน้ำหนักออกมาเป็นเลขหนึ่งเลขเช่น 105

ตัวเลข 105 ที่ว่าก็ไม่ได้เอาไปทำไรได้นอกจากเปรียบเทียบเช่น เมื่อต้นปีเลขนี้อยู่ 100 มาตอนนี้ 105 ก็แปลว่าในภาพรวมราคาขายของผู้ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5%

ในรายละเอียดปลีกย่อยก็จะมีแยกไปเช่น PPI ของกลุ่มสินค้า Final Demand หรือ Intermediate อะไรก็ว่าไป แต่ไม่ต้องสนใจ เข้าใจภาพรวมก็ใช้ได้ PPI ก็คือแค่นั้น

ทีนี้เพิ่มหรือลด ส่งผลอย่างไรกับทองคำ ?

ในเชิงเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ควรจะเกี่ยวอะไรกับทองคำ

แต่ในทางปฏิบัติอาจจะเกี่ยวได้ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่คนจำนวนมากเชื่อว่าปลอดภัยแล้วก็ปรับตามเงินเฟ้อ

ดังนั้นสมมติ PPI สูง ก็คือจะบอกว่าผู้ผลิตขายของแพงขึ้นมาก นักลงทุนก็อาจจะกลัวว่าเงินเฟ้อจะสูงตาม ดังนั้นก็เลยอยากซื้อทองมากขึ้นเพราะเชื่อว่ายังไงมันปรับตามเงินเฟ้อ และด้วยคนอยากซื้อทองกันมากขึ้นก็เลยทำให้ราคาทองสูงขึ้นตาม

แต่เท่าที่ลองทำตัวเลขดู ไม่เห็น correlation อะไร

 
ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์ด้วย
สามารถเข้าไปลงทะเบียนทดลองเรียนฟรีได้ที่
https://www.adisonc.com/

หุ้นไทยถือยาวได้มั้ย ?

หุ้นไทยถือยาวได้มั้ย ?

หุ้นไทยส่วนตัวผมว่าดีในแง่ใกล้ตัวเรา เราเห็นภาพได้ง่ายกว่า ปัจจุบันผมยังคงลงทุนในหุ้นรายตัวไทยอยู่ แต่ไม่เห็นด้วยเลยกับการลงทุนผ่านกองทุน เพราะภาพรวมแล้วหุ้นไทย EPS growth ต่ำมาก ประมาณ 0-1% ต่อปี คือเลวร้าย ประเทศไทยเองก็เศรษฐกิจเติบโตต่ำ

ในแง่ลงทุนยาวๆ ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับดร.นิเวศน์ที่เค้าลงทุนแบบหุ้นปันผลเป็นหลัก ต้องยอมรับว่าประเทศเราความสามารถในการแข่งขันไม่สูง หาหุ้นที่มีโอกาสเติบโตเยอะจริงจังได้ลำบาก แต่เนื่องจากราคาหุ้นตกต่ำลงมาในช่วงที่ผ่านมา ผมมองว่าเราหาธุรกิจที่สม่ำเสมอระดับหนึ่งและมีอัตราการจ่ายปันผลที่สูงได้อยู่ ดังนั้นก็คือลงทุนยาวๆได้ครับ

ส่วนเรื่องทำไมต่างชาติขายต่อเนื่องผมไม่รู้ชัดเจน แต่ก็พอจะเดาได้อยู่ ในเมื่อเศรษฐกิจประเทศเราเติบโตต่ำ การลงทุนในหุ้นไทยก็ไม่ได้ดูน่าสนใจเท่าไหร่เป็นธรรมดา

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์ด้วย
สามารถเข้าไปลงทะเบียนทดลองเรียนฟรีได้ที่
https://www.adisonc.com/

2 ปีผ่านมา มุมมองหุ้นจีนเหมือนเดิมมั้ย ?

2 ปีผ่านมา มุมมองหุ้นจีนเหมือนเดิมมั้ย ?

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์ด้วย
สามารถเข้าไปลงทะเบียนทดลองเรียนฟรีได้ที่

WORKSHOP เรียนหุ้นจากพื้นฐานสู่มือโปร

ผม recap นะครับ ก่อนหน้านู้นเลยผมเป็นคนนึงเชียร์การลงทุนในหุ้นจีน แล้วส่วนตัวในเวลานั้นก็ซื้อหุ้นจีนด้วยนะ หลักๆเพราะเราเห็นประเทศก็เติบโตได้ดี เริ่มมีเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมที่เค้าเป็นผู้ชนะระดับโลก แล้วราคาหุ้นก็ค่อนข้างถูกถ้าดูจาก P/E ภาพรวม ติดอย่างเดียวคืออ่านไม่ค่อยออก หาข้อมูลยาก ดังนั้นในเวลานู้นเลยบอกว่าซื้อเป็น ETF ไปเลยดีกว่า

ทีนี้ในภายหลังประมาณ 2023 ผมเปลี่ยนใจเรื่องหุ้นจีน และส่วนตัวก็หยุดดูหุ้นจีนนับแต่นั้น ทั้งที่ตอนนั้นหุ้นจีนมันตกไปเยอะมาก และปัจจุบันผมก็ยังมีมุมมองเหมือนเดิมคือผมไม่สนใจหุ้นจีนครับ ถ้าจำเป็นต้องซื้อหุ้นจีนจริงๆก็ยังยืนยันว่าต้อง China tech เท่านั้นครับ

สาเหตุที่ไม่สนใจหุ้นจีนจากวันนั้นมาวันนี้ยังเหมือนเดิมคือ

1. การเติบโตของกำไรไม่ดี และประเด็นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในอดีตผมไม่ได้มีข้อมูลนี้ แต่ตอนที่ทำงานที่ Lief Capital มันมี Bloomberg ครับ แล้วก็มีโอกาสเห็นว่าภาพรวมหุ้นจีนจะดัชนีไหนการเติบโตของกำไรก็ค่อนข้างแย่ CSI 300, Shanghai Composite, Hang Seng, etc. แย่ในที่นี้คือประมาณ 4% ต่อปี ดีกว่าไทยแน่ๆเพราะไทยประมาณ 0-1% แต่ก็ถือว่าต่ำมากจนผิดสังเกตเมื่อมองว่าเศรษฐกิจจีนเติบโตดีกว่านั้น และปกติหุ้นที่อยู่ในตลาดมันควรจะเป็นบริษัทที่เข้มแข็งและโตดีกว่าภาพรวมไม่ใช่หรือ

นอกเหนือจากการเติบโตกำไรภาพรวม เรามีการแยกรายอุตสาหกรรมดู เช่น ของใช้จำเป็น, สินค้าฟุ่มเฟือย, การเงิน, อุตสาหกรรม, เทคโนโลยี, ฯลฯ และสิ่งที่เราพบคือมันแย่หมดทุกกลุ่มยกเว้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีโดดเด่นมาก ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่าทำไมผมถึงบอกว่าถ้าต้องถือหุ้นจีน ถือกลุ่ม China Tech เท่านั้นครับ

แต่แล้วทำไมหุ้นจีนภาพรวม EPS ถึงไม่โตเลยล่ะ ตอนนั้นผมก็งงเหมือนกัน มาตอนนี้ผมมีโอกาสอ่านหนังสือ The New China Playbook ของ Keyu Jin มา

ในหนังสือเค้าก็อธิบายว่าทำไมตลาดหุ้นจีนถึงผลตอบแทนแย่ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศที่เติบโต สาเหตุคือ
• ตลาดหุ้นเริ่มต้นมาจากที่รัฐบาลจีนต้องการให้เป็นแหล่งระดมทุนของ SOE ที่มีปัญหา แล้วรัฐบาลไม่อยากใช้เงินตัวเองอุ้ม
• การ list ในตลาดหุ้นจีนทำได้ยาก มีกระบวนการที่นาน และต้องมีประวัติมีกำไรอยู่แล้ว ทำให้บริษัทที่ list ได้ส่วนใหญ่โตเต็มที่แล้ว ไม่ใช่บริษัทที่มีการอัตราการเติบโตสูง
• บริษัทจีนเองก็มีแนวโน้มจะลงทุนไม่มีประสิทธิภาพ คือเห็นอะไรมีแนวโน้มเติบโตกระโดดเข้าไปหมดไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับธุรกิจตัวเอง

2. มีการแทรกแซงจากภาครัฐเป็นระยะ ความเสี่ยงเรื่องนี้มาไม่บ่อย แต่มาทีก็ถึงกับหายนะบางธุรกิจได้

3. ถ้าเรามองประเทศจีนเป็น Growth Market และมองว่าเป็นการลงทุนกระจายความเสี่ยงจาก U.S. มันก็มีทางเลือกอื่นที่ประเทศวุ่นวายน้อยกว่านี้และมีการเติบโต เช่น อินเดีย

ดังนั้นโดยสรุปคือในเมื่อภาพรวมการเติบโตของกำไรไม่ได้สูง และมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากประเทศอื่นตรงที่รัฐบาลแทรกแซงได้ แล้วก็มีตัวเลือกที่อื่น ทั้งหมดนี้ก็เลยทำให้ไม่รู้จะไปลงทุนหุ้นจีนทำไม ช่วงที่ผ่านมายิ่งหุ้นฟื้นขึ้นมาก็ยิ่งไม่น่าสนใจมากขึ้นไปใหญ่สำหรับผมครับ

มั่นใจหุ้นแต่กังวลทรัมป์ ขายเก็บกำไรหรือถือต่อดี ?

มั่นใจหุ้นแต่กังวลทรัมป์ ขายเก็บกำไรหรือถือต่อดี ?

ถ้ามั่นใจในหุ้นแต่กังวลเรื่องการเมืองทรัมป์ละครับ ขายเก็บกำไรหรือถือต่อดี

คำถามนี้โฟกัสที่เงินลงทุนที่เราลงทุนไปอยู่ในหุ้นอยู่แล้ว ที่มีกำไรอยู่ด้วยนะ แต่รู้สึกไม่ไว้ใจเรื่องนโยบายการเมืองว่าทรัมป์อาจจะออกมาทำประกาศหรือทำอะไรบ้าบอ แบบนี้ทำไงดี

อันนี้ก็เป็นคำถามที่ดี ถ้ากรณีเรายังไม่ได้ลงทุนอันนี้ชัดเจนคือยิ่งทรัมป์บ้าแล้วตลาดยิ่งตกมาเยอะก็ยิ่งดีกับเรา เราควรเข้าไปซื้อแน่ๆละ แต่ถ้าเป็นเงินลงทุนที่เราซื้ออยู่แล้วล่ะ

เรื่องนี้ผมว่าคงไม่มีคำตอบว่าเลือกแบบไหนดีกว่าอย่างชัดเจน ผมตอบสิ่งที่ผมจะทำละกัน คือถ้าเป็นผม ผมถือต่อครับ

  1. สมมติตอนนี้เราเชื่อในหุ้นธุรกิจที่เราถือ และเราก็รู้สึกว่าราคาก็ไม่แพงไปด้วยนะ ผมก็จะถือต่อเพราะเหตุผลดังต่อไปนี้
    เรื่องทรัมป์เราไม่มีทางรู้เลย เค้าอาจจะไม่บ้ามากพอ หรือต่อให้บ้าตลาดก็อาจจะไม่ได้ตกใจรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ ดังน้ันเรื่องนี้เราอาจจะต้องยอมว่าเราไม่มีทางรู้แน่ เอาเป็นว่า 50-50
  2. ไม่ว่าเราจะตัดสินใจไปทางไหน มันก็พลาดได้ ซึ่งออกได้อยู่สองแบบหลักๆคือ
    • เราถือ แล้วทรัมป์ก็บ้า แล้วตลาดก็ตกใจหุ้นตก แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องชั่วคราว อย่างมากทรัมป์ก็อยู่ไปสมัยนึงแล้วก็ไป สุดท้ายหุ้นที่ดีนั่นก็จะฟื้นแล้วก็สูงขึ้นต่อไป เราก็จะเสียดายว่าถ้าได้ขายไปตอนนั้นก็จะได้ซื้อถูกลงอีกนะ

    • เราขาย แล้วปรากฎว่าทรัมป์ไม่บ้าหรือตลาดก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก หุ้นที่ดีนั่นก็ทำผลประกอบการดีขึ้นแล้วราคาก็สูงไปเรื่อย เราก็จะเซ็งว่าไม่น่าขายเลย จะกลับเข้าไปซื้อก็ทำใจยากนิดนึงละเพราะราคาแพงกว่าที่ขายไป ตามตรรกะมันควรจะซื้อนะ แต่เดี๋ยวจะพบว่าทำใจยาก
  3. สำหรับผมแล้ว ผมว่าผมทำใจกับแบบแรกได้ ดังนั้นผมก็เลยถือครับ

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์ด้วย
สามารถเข้าไปลงทะเบียนทดลองเรียนฟรีได้ที่
https://www.adisonc.com/

หุ้นรายตัว เลือกยังไง ?

How to pick individual stocks?

หุ้นรายตัว เลือกยังไง ?

เรื่อง Top down หรือ Bottom up นี่โอเคทั้งสองแบบครับ บางคนก็มองภาพใหญ่ก่อนเช่น อนาคตถ้า AI มาจริง ธุรกิจที่จะได้ประโยชน์น่าจะเป็นกลุ่มไหน แล้วก็ไปหาหุ้นเอา หรือบางคนเริ่มจาก Bottom up เน้นบริษัทที่ตัวเองสนใจอยู่ก่อนแล้วหรือบังเอิญอ่านเจอแล้วสนใจก็แล้วแต่ ส่วนตัวผมว่าเริ่มจาก Top down หรือ Bottom up ก็ได้ ทั้งคู่นำไปสู่ไอเดียหุ้นอะไรซักอย่าง แล้วค่อยดูหุ้นนั้นอีกที

เกณฑ์ในการเลือกหุ้นเข้าพอร์ต บางทีก็แล้วแต่นโยบายของกองทุนนั้นๆนะ คือสมมติมันเป็นกองที่ไม่ Aggressive จะไปเลือกหุ้นที่แบบ startup มากๆก็ไม่ไหว หรือนโยบายกองทุนบอกเน้นนวัตกรรม ก็จะไปเลือกหุ้นปลอดภัยมาเลยก็ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องหลัก สมมติว่าสอดคล้องกับนโยบายกองทุนแล้วที่เหลือก็เป็นเรื่องคุณภาพธุรกิจ, แนวโน้ม แล้วก็ผลตอบแทนคาดหวังแหละ


ไม่แน่ใจว่าหุ้น Growth ในที่นี้คือต้อง Growth ขนาดไหน แต่เอาเป็นว่าส่วนตัวเกณฑ์ผมคือ
1. เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแล้วดูได้เปรียบบางอย่าง อารมณ์แบบถ้าเลือกได้เราจะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรแบบนี้
2. ผลประกอบการที่ผ่านมาทำได้ดี
3. ปัจจุบันจะมีปัญหาหรือผลประกอบการแย่ลงก็ได้ แต่ต้องเข้าใจว่าเรื่องมันคืออะไร
4. อนาคตยังมองว่าควรจะทำได้ดีขึ้น
5. ราคาถูก ถ้าให้ดีคือกำลังร่วงเละเทะ
6. สมมติใช้สมมติฐานการเติบโตในอนาคตแบบค่อนไปทาง conservative แล้ว ผลตอบแทนคาดหวังยังดูใช้ได้


ใช้ DCF ใช่ครับ มองครับ ปกติจะใช้ ROE, ROA แทนเลยครับเพื่อความง่าย ROA จะน่าเกลียดกว่า ROIC เสมออยู่ละ แต่ไม่ได้ใช้ WACC ครับ เพราะผมนิยมใช้ Discounted Dividend ครับและใช้ Terminal Value แบบ Price multiple ครับ

Growth ปกติผมใช้ Historical average + ปรับลดครับ

ส่วนใหญ่แล้วผมพบว่า ข้อ 3. และ 4. นี่คือเรื่องใหญ่สุด ต่อให้คุณไม่คำนวณอะไรเลยนะ ขอให้ถูกข้อ 3. และ 4. นี่ก็ใช้ได้ละ

ตัวอย่างประกอบ

เคสไม่ผ่าน – Estee Lauder

ประมาณปี 2024 ผมเห็น Estee Lauder ราคาตกต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง
1. เป็นธุรกิจที่ดูได้เปรียบเพราะแบรนด์ของกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแพง ความต้องการเรื่องความสวยงามไม่น่าหายไปไหน ในขณะที่เมื่อสำรวจความเห็นแล้วแบรนด์ของ Estee Lauder ก็ดูไปในทางที่ดีได้รับความเชื่อถือ

2. ผลประกอบการที่ผ่านมาทำได้ดีใช้ได้ มีแกว่งๆบ้าง
3. ปัจจุบันผลประกอบการแย่ลง บริษัทบอกว่าเพราะเค้ามี exposure ในจีนกับพวก travel retail เยอะก็เลยได้รับผลกระทบเยอะเป็นพิเศษ แต่ดูยังไงก็ผิดสังเกตเพราะคู่แข่งโดยตรงที่ก็ Global เหมือนกันอย่าง L’Oreal ไม่เห็นจะเลวร้ายเท่า แตกต่างกันเยอะไป

เคสผ่าน – Trex

สดๆร้อนๆ ราคาเพิ่งตกลงมารุนแรงมากหลังประกาศงบ Q3 ปีนี้เลย

1. เป็นธุรกิจขายพื้นระเบียง Market share สูงมากอยู่ ความต้องการบ้านไม่น่าหายไปไหน และแนวโน้มคือกินส่วนแบ่งการตลาดไม้จริงอย่างต่อเนื่อง
2. ผลประกอบการที่ผ่านมาดี ดีเว่อร์ช่วงโควิดและชะลอลงหลังดอกเบี้ยสูง

3. ปัจจุบันผลประกอบการแย่ลง หลักๆคือดอกเบี้ยสูง คอนเฟิร์มจากผู้เล่นหลายรายในธุรกิจใกล้เคียง
4. เมื่อปัญหาเรื่องดอกเบี้ยสูงหายไป หรืออย่างเลวร้ายคือตลาดบ้าน normalize ก็ควรจะเติบโตได้ ส่วนเรื่องการแข่งขันก็ไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาเนื่องจากก็แข่งกันมาตลอดอยู่แล้ว
5. ร่วงเละเทะ
6. ลองคิดกะแบบหยาบๆ การเติบโตในอดีตเฉลี่ยรายได้โต 9%, สมมติ Margin คงที่, P/E เฉลี่ย 10 ปีอยู่ 33 เท่า แต่เราใช้อนาคตโตแค่ 7% ต่อปี, P/E ในอนาคต 25 เท่า และเริ่มต้นที่ EPS $1.7 พอ ถือไป 5 ปีผลอตบแทนก็ไม่แย่นะ

 
ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์ด้วย
สามารถเข้าไปลงทะเบียนทดลองเรียนฟรีได้ที่
https://www.adisonc.com/

ทำงานเป็นผู้จัดการกองทุน เป็นไงบ้าง ?

How's Fund Manager like?

ทำงานเป็นผู้จัดการกองทุน เป็นไงบ้าง ?

สนุกครับ เรื่องที่ผมประทับใจมีดังนี้
1. ข้อสอบใบอนุญาตผู้จัดการกองทุนยากสุดๆ
2. ลงทุนเงินคนอื่น เครียดกว่าลงทุนเงินตัวเองมาก
3. ต้องบริหารความคาดหวังระยะสั้น ลงทุนมองไกลมากลำบาก
4. งานหลังบ้านของพวกกองทุนวุ่นวายมาก
5. ETF เป็นเครื่องมือที่ดีกว่าที่คิดมาก
6. AI สำหรับตัดสินใจลงทุนมาแน่นอน

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ภาษีใหม่ ลงทุนต่างประเทศยังคุ้มอยู่มั้ย ?

With the new tax, is it still worth investing abroad?

ภาษีใหม่ ลงทุนต่างประเทศยังคุ้มอยู่มั้ย ?

ภาษีใหม่ ลงทุนต่างประเทศยังคุ้มอยู่มั้ย ?

มีนักเรียนถามเกี่ยวกับเรื่องภาษีเงินลงทุนต่างประเทศ ต้องการให้แนะนำเรื่องนี้ เอาตามตรงผมก็ไม่ได้มีข้อมูลมากไปกว่าคนอื่นหรืออะไร จะพยายามอธิบายเท่าที่รู้ครับ

ภาษีเงินลงทุนต่างประเทศนี่คืออะไร และคิดยังไง ?

มันก็ตรงไปตรงมาคือเป็นภาษีที่เก็บจากกำไรหรือรายได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศครับ กติกาคือถ้ามีเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นจากต่างประเทศ แล้วในปีนั้นเราอยู่ในไทยมากกว่า 180 วันขึ้นไป รายได้พึงประเมินนั่นเราต้องเสียภาษีละเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเอากลับเข้ามาในไทย

อย่างพวกเราที่ลงทุนในหุ้น unrealized gain ต้องเสียภาษีมั้ย ?

ไม่ครับ นับเป็นเงินได้พึงประเมินเมื่อมีการขายเท่านั้น

แล้วขาดทุนที่เกิดขึ้นล่ะ ?

ไม่ชัดเจน ไม่มีเอกสารหรือมีใครพูดถึงประเด็นนี้ แต่เข้าใจว่าน่าจะหักลบกันเป็นสุทธิกำไรหรือขาดทุนที่ realized ในปีนั้นๆได้ ไม่งั้นก็น่าจะมึนมาก

สมมติปีนี้กำไรมีการขายรับรู้กำไรแล้ว และปีหน้าขาดทุนกำไรหายหมดมีการขายรับรู้ขาดทุนแล้วเช่นกัน แบบนี้ยังต้องเสียภาษีหรือเปล่า ?

อยากรู้เหมือนกัน ถ้าใครรู้บอกที แต่ยังไม่เห็นมีเอกสารพูดถึง ตามความเข้าใจตอนนี้คือใช่เพราะในปีที่กำไรนั่นเรามีเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้น ส่วนปีที่ขาดทุนนั้นก็ไม่มีเงินได้พึงประเมินแต่ก็ไม่ได้ว่ามี tax credit ซึ่งก็เป็นอะไรที่ดูเสียเปรียบมาก

ปันผลหรือดอกเบี้ยที่มีการหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วล่ะ ?

ไม่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน แต่เข้าใจว่าเราต้องเสียภาษีในส่วนต่าง เช่นสมมติเราเอาเงินปันผลกลับเข้ามา แล้วเราต้องโดนภาษี 35% แต่เราโดนภาษีหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วก่อนที่ปันผลจะถึงมือเรา 15% เราก็ยังต้องเสียตัว 20% ที่เหลือ ความเข้าใจนี้มาจากข้อความในรูปนี้

ผมแนะนำให้ทำอย่างไร ?

ผมก็ไม่ได้มีวิธีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนตัวตอนนี้สิ่งที่จะทำแน่ๆคือขายให้หมดและรับรู้กำไรเป็นรายได้พึงประเมินให้หมดในปีนี้ เข้าใจว่าไม่ได้ต้องโอนกลับมาก็ได้ แต่ต้องมีหลักฐานว่ามีการรับรู้กำไรไปแล้วในปีนี้ ในปีต่อๆไปสมมติเราเอาเงินกลับมาก็จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้พึงประเมินที่เกิดในปีนี้ละ

แล้วปีหน้าต่อๆไปล่ะ ยังควรจะเอาเงินกลับไปลงทุนในต่างประเทศต่อมั้ย ?

เรื่องนี้ก็เป็นคำถามที่ดี ถ้าถามผมเป็นการส่วนตัวคือใช่ เนื่องจากลงทุนในหุ้นไทยโอกาสการเติบโตน้อยกว่าผมเคยเห็นตัวเลข EPS ของ SET Index แล้วพบว่าต่ำมากไม่ถึง 1% ต่อปีเทียบกับอเมริกา, ยุโรปซึ่งเป็นเลขสองหลัก หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่นหรือจีนก็ยังประมาณ 5% ต่อปี แน่นอนไม่ได้แปลว่าหุ้นไทยไม่มีบริษัทไหนดีเลย แต่แปลว่าโดยเฉลี่ยหาโอกาสการเติบโตได้น้อยกว่ามากเท่านั้นเอง

ทีนี้ถ้ากลับไปลงทุนในต่างประเทศลงทุนยังไงดี ผ่านกองทุนรวมในไทยมั้ย หรือลงทุนตรงเหมือนเดิมดี ?

อันนี้ผมก็มานั่งคิดเหมือนกัน หลักๆแล้วมันขึ้นอยู่กับสองอย่างหลักๆคือ หนึ่งเราตั้งใจจะลงทุนนานหรือเปล่า ถ้าเราตั้งใจลงทุนยาวหลายปีมากลงทุนตรงก็ยังคุ้มกว่าอยู่ กับสองคือเราคาดว่าจะลงทุนได้ดีกว่าดัชนีหรือเปล่า ถ้าเรามั่นใจว่าดีกว่าการลงทุนตรงก็มีโอกาสจะคุ้มมากกว่า เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างผมทำบน Excel ให้ดู

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

เรื่องจีน ผมเปลี่ยนใจละ

I changed my mind on China.

เรื่องจีน ผมเปลี่ยนใจละ

ผมเปลี่ยนใจเรื่องจีน

ในวีดิโอก่อนๆที่ผ่านมาที่ผมพูดถึงหุ้นจีน โดยรวมผมจะมีมุมมองที่ดี แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจละ ก็เลยมาทำวีดิโอพูดถึงเอาไว้ครับ

ก่อนหน้านี้ ผมจะมีมุมมองที่ดีเพราะเศรษฐกิจจีนเติบโต, หุ้นจีน P/E ถูก ติดปัญหาแค่หาข้อมูลยากกับเสี่ยงจากการแทรกแซง ก็ซื้อกองทุนรวมเอา



แต่ล่าสุดผมเปลี่ยนใจเพราะ
ผมเพิ่งมีโอกาสไปเจอข้อมูลบน Bloomberg พบว่าตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงโดยรวมการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเลวร้ายมาก ในช่วงตั้งแต่ 2016 ถึง 2022 เติบโตเพียง 1% กว่าๆต่อปีเท่านั้น สาเหตุที่มันดูแตกต่างจากการเติบโตของเศรษฐกิจมากเป็นเพราะอะไรอันนี้ผมไม่รู้ แต่ด้วยข้อมูลนี้หมายความว่าถ้าเราจะคาดหวังว่าหุ้นจีนกับฮ่องกงโดยรวมจะราคาสูงขึ้น ก็ต้องอาศัย multiples อย่างเดียวเลย
หนังสือเรื่อง Why Nations Fail นำเสนอเหตุผลพยายามอธิบายสาเหตว่าทำไมบางประเทศเจริญและบางประเทศล้มเหลว คือเค้ากำลังบอกว่าระบอบการปกครอบแบบอำนาจกระจายในวงกว้างหรืออยู่ในหมู่คนกลุ่มแคบๆ จะเป็นตัวกำหนดว่าประเทศนั้นจะล้มเหลวหรือเปล่า ประเทศที่อำนาจอยู่ในหมู่คนกลุ่มแคบๆ ก็มักจะมาพร้อมกับเศรษฐกิจที่เอาเปรียบและเอื้อประโยชน์กับคนกลุ่มแคบๆนั้น และก็จะกลัวความเปลี่ยนแปลงกลัวนวัตกรรมเพราะอาจจะทำให้ตัวเองเสียอำนาจ ผมรู้สึกว่ามันมีเหตุผลอยู่ แล้วพอมองประเทศจีน เราก็เห็นวี่แววสถานการณ์ที่แย่ลง เราเห็น Xi Jinping เริ่มออกกฎให้ตัวเองอยู่ในอำนาจเอาพวกตัวเองเข้ามาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ เป็นการทำให้อำนาจอยู่กับคนกลุ่มเล็กลงเรื่อยๆ ผมได้ยินมานานแล้วจากเพื่อนที่ทำงานอยู่บริษัทที่จะเอาสินค้าไปขายในจีน ก็จะถูกสั่งว่าต้องทำงานกับบริษัทนั้นนี้เท่านั้น เราเห็นนโยบายเศรษฐกิจที่เริ่มพยายามควบคุมกำกับบริษัทเทคโนโลยี หรืออยู่ดีๆก็จัดการโรงเรียนกวดวิชา, ห้ามโรงเรียนสอนหลักสูตรนานาชาติ, หยุด Ant Financial ซึ่งอาจจะมาแข่งกับธนาคารที่ภาครัฐเป็นเจ้าของ, ฯลฯ นานๆไปในที่สุดก็จะไม่มีใครอยากจะพัฒนาหรือทำอะไรเพราะวันดีคืนดีก็อาจจะโดนจัดการได้ ทำให้เชื่อว่าโครงสร้างรูปแบบการปกครองของจีนจะทำให้การเติบโตหยุดในที่สุด ทั้งที่จริงๆแล้วคนจีนเป็นคนที่ขยัน, สร้างสรรค์และกล้าที่จะทำนู่นทำนี่มากๆ

ดังนั้นสรุปคือ ในเมื่อ Fact มันบอกว่าบริษัทในตลาดหุ้นจีนโดยรวมไม่โตเลย บวกกับตอนนี้ผมไม่เชื่อว่าจีนด้วยการปกครองแบบนี้ต่อไปจะสามารถเติบโตไปได้เรื่อยๆ ก็เลยเป็นเหตุผลที่เปลี่ยนมุมมองครับ และก็เลยอยากจะทำวีดิโอสื่อสารให้ชัดๆเพราะแตกต่างไปจากวีดิโอที่พูดมาในอดีตมาก

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

Negative P/E หมายความว่ายังไง แล้วดูยังไง ?

What does negative P/E mean and how to interpret it?

Negative P/E หมายความว่ายังไง แล้วดูยังไง ?

Negative P/E หมายความว่ายังไง แล้วดูยังไง ?

คำถามนี้ง่าย เอาหมายความว่ายังไงก่อน

P/E มันคือ ราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้นใช่มะ ราคาหุ้นนี่มันไม่มีทางติดลบอยู่ละอย่างต่ำสุดก็คือ 0 ดังนั้นการที่ P/E มันจะเป็นเลขติดลบ ก็คือกำไรต่อหุ้นเป็นเลขติดลบน่ะครับ หรือก็คือบริษัทผลประกอบการขาดทุน ความหมายมันก็คือแค่นี้แหละ

ทีนี้ดูยังไง

เอาจริงๆคือไม่มีความหมายอะไร ตัวเลขนี้ไม่ได้ว่าติดลบเยอะแล้วดีหรือติดลบน้อยแล้วดีหรืออะไร ในทางปฏิบัติคือมันห่วยหมดน่ะ สมมติเรามีความสนใจในตัวบริษัทจะด้วยชอบธุรกิจหรืออะไรก็แล้วแต่แล้วมาเห็นเลข P/E ติดลบ สาระสำคัญที่เราควรใส่ใจก็คือไปทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สาเหตุที่บริษัทขาดทุนมันคืออะไรนะ แล้วมันจะดีขึ้นมั้ย P/E จะหายเป็นลบมั้ย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

Bond Yield คืออะไรนะ ?

What's bond yield?

Bond Yield คืออะไรนะ ?

Bond Yield คืออะไร ?

มีคนถามเรื่องตราสารหนี้ อยากให้อธิบายว่า bond yield คืออะไร

เพื่อความเข้าใจง่าย เราอธิบายคอนเซปต์กับคำหลักๆของตราสารหนี้ก่อน

เวลาเราลงทุนในตราสารหนี้คือเราเป็นเจ้าหนี้ บริษัทหรือใครที่ออกตราสารหนี้นี่คือเค้ายืมเงินเราไป ต้องคืน

มันก็จะมีองค์ประกอบหลักๆดังนี้
Face value (มูลค่าหน้าตั๋ว) คือจำนวนเงินที่เค้าจะให้เราตอนท้ายสุดเมื่อครบอายุตราสารหนี้ ซึ่งทั่วไปเค้าใช้ 1,000 เป็นมาตรฐาน
Coupon คือดอกเบี้ยที่จ่ายระหว่างทางก่อนที่จะคืน ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ บางตราสารหนี้ก็ไปคืนเงินก้อนเดียวเลยตอนท้าย
Years to maturity คืออายุของตราสารหนี้ว่าเหลือกี่ปี
Bond price คือราคาของตราสารหนี้ที่ขายอยู่ในตลาดตอนนี้ ปกติจะคุยกับเป็นอัตราส่วนเทียบจาก 100% ของมูลค่าหน้าตั๋ว เช่น 92, 105, ฯลฯ อย่าง 92 ก็คือราคาคิดเป็น 92 จาก 100 ของราคาหน้าตั๋ว ถ้าราคาหน้าตั๋วคือ 1,000 ราคาตอนนี้ก็คือ 920

สังเกตว่ามันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้การดู bond price อย่างเดียวบางทีมันก็ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ อย่างเช่นสมมติเปรียบเทียบตราสารหนี้สองอัน
Bond price 90 เท่ากัน ทุกอย่างเหมือนกันหมดยกเว้น coupon คืออายุที่เหลืออยู่เท่ากัน Face value เท่ากัน แต่อันนึง coupon สูงกว่า อันที่ coupon สูงกว่าก็จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าทันที
หรือสมมติไม่มี coupon เลย Bond price 90 เท่ากัน Face value ก็เท่ากัน แต่อายุที่เหลืออยู่ไม่เท่ากัน ผลตอบแทนที่ได้ของสองอันนี้ก็ต่างกันละ

มันเปรียบเทียบกันยากเห็นภาพนะ ก็เลยเป็นที่มาของ bond yield

Bond yield คือผลตอบแทนต่อปีที่คาดว่าจะได้จากการถือตราสารหนี้สมมติว่าไม่มีการเบี้ยว ตัวเลขก็จะเป็น % ผลตอบแทนต่อปีเลย และมันก็จะกลับกันกับ bond price ในเมื่อ coupon กับ face value มันคงที่ตั้งแต่แรกยิ่งราคาตราสารหนี้ต่ำผลตอบแทนคาดหวังก็ยิ่งสูง กลับกันยิ่งราคาตราสารหนี้สูงผลตอบแทนคาดหวังก็ยิ่งต่ำลง

ประโยชน์ของการใช้ ฺbond yield คือมันก็จะง่ายขึ้นในการเปรียบเทียบครับ เราเห็นตัวเลขนี้เราก็จะเปรียบเทียบได้ทันทีว่าอันไหนให้ผลตอบแทนมากกว่ากัน มากกว่ากันอยู่เท่าไหร่ ประหยัดเวลา แล้วเราก็จะได้ไปมองรายละเอียดอื่นต่อไปว่าทำไมมันถึงให้ผลตอบแทนไม่เท่ากันล่ะ เป็นเพราะอายุสัญญาที่ยาวกว่าหรือเปล่า หรือเพราะคนที่ยืมเงินเราคนนึงเป็นรัฐบาลอีกคนเป็นบริษัทเอกชนเสี่ยงเจ๊งมั้ย
 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี