PPI ย่อจาก Producer Price Index ซึ่งคือดัชนีที่เป็นตัวบอกระดับราคาขายของผู้ผลิตสินค้าทุกประเภทรวมกันทั้งประเทศ โดยปกติการเอาไปใช้คือไว้เปรียบเทียบกับ PPI ในช่วงเวลาอื่นเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง
ราคาขายของผู้ผลิตก็นึกภาพแบบโรงงานผลิตออกมาขายให้คนอื่นต่อจะใครก็แล้วแต่ ราคานั้นคือราคาผู้ผลิต ตัวเลข PPI ก็คือไปรวมราคาเหล่านั้นผ่านการคำนวณและถ่วงน้ำหนักออกมาเป็นเลขหนึ่งเลขเช่น 105
แต่แล้วทำไมหุ้นจีนภาพรวม EPS ถึงไม่โตเลยล่ะ ตอนนั้นผมก็งงเหมือนกัน มาตอนนี้ผมมีโอกาสอ่านหนังสือ The New China Playbook ของ Keyu Jin มา
ในหนังสือเค้าก็อธิบายว่าทำไมตลาดหุ้นจีนถึงผลตอบแทนแย่ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศที่เติบโต สาเหตุคือ
• ตลาดหุ้นเริ่มต้นมาจากที่รัฐบาลจีนต้องการให้เป็นแหล่งระดมทุนของ SOE ที่มีปัญหา แล้วรัฐบาลไม่อยากใช้เงินตัวเองอุ้ม
• การ list ในตลาดหุ้นจีนทำได้ยาก มีกระบวนการที่นาน และต้องมีประวัติมีกำไรอยู่แล้ว ทำให้บริษัทที่ list ได้ส่วนใหญ่โตเต็มที่แล้ว ไม่ใช่บริษัทที่มีการอัตราการเติบโตสูง
• บริษัทจีนเองก็มีแนวโน้มจะลงทุนไม่มีประสิทธิภาพ คือเห็นอะไรมีแนวโน้มเติบโตกระโดดเข้าไปหมดไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับธุรกิจตัวเอง
เรื่อง Top down หรือ Bottom up นี่โอเคทั้งสองแบบครับ บางคนก็มองภาพใหญ่ก่อนเช่น อนาคตถ้า AI มาจริง ธุรกิจที่จะได้ประโยชน์น่าจะเป็นกลุ่มไหน แล้วก็ไปหาหุ้นเอา หรือบางคนเริ่มจาก Bottom up เน้นบริษัทที่ตัวเองสนใจอยู่ก่อนแล้วหรือบังเอิญอ่านเจอแล้วสนใจก็แล้วแต่ ส่วนตัวผมว่าเริ่มจาก Top down หรือ Bottom up ก็ได้ ทั้งคู่นำไปสู่ไอเดียหุ้นอะไรซักอย่าง แล้วค่อยดูหุ้นนั้นอีกที
มันก็จะมีองค์ประกอบหลักๆดังนี้
Face value (มูลค่าหน้าตั๋ว) คือจำนวนเงินที่เค้าจะให้เราตอนท้ายสุดเมื่อครบอายุตราสารหนี้ ซึ่งทั่วไปเค้าใช้ 1,000 เป็นมาตรฐาน
Coupon คือดอกเบี้ยที่จ่ายระหว่างทางก่อนที่จะคืน ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ บางตราสารหนี้ก็ไปคืนเงินก้อนเดียวเลยตอนท้าย
Years to maturity คืออายุของตราสารหนี้ว่าเหลือกี่ปี
Bond price คือราคาของตราสารหนี้ที่ขายอยู่ในตลาดตอนนี้ ปกติจะคุยกับเป็นอัตราส่วนเทียบจาก 100% ของมูลค่าหน้าตั๋ว เช่น 92, 105, ฯลฯ อย่าง 92 ก็คือราคาคิดเป็น 92 จาก 100 ของราคาหน้าตั๋ว ถ้าราคาหน้าตั๋วคือ 1,000 ราคาตอนนี้ก็คือ 920
สังเกตว่ามันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้การดู bond price อย่างเดียวบางทีมันก็ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ อย่างเช่นสมมติเปรียบเทียบตราสารหนี้สองอัน
Bond price 90 เท่ากัน ทุกอย่างเหมือนกันหมดยกเว้น coupon คืออายุที่เหลืออยู่เท่ากัน Face value เท่ากัน แต่อันนึง coupon สูงกว่า อันที่ coupon สูงกว่าก็จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าทันที
หรือสมมติไม่มี coupon เลย Bond price 90 เท่ากัน Face value ก็เท่ากัน แต่อายุที่เหลืออยู่ไม่เท่ากัน ผลตอบแทนที่ได้ของสองอันนี้ก็ต่างกันละ
มันเปรียบเทียบกันยากเห็นภาพนะ ก็เลยเป็นที่มาของ bond yield
Bond yield คือผลตอบแทนต่อปีที่คาดว่าจะได้จากการถือตราสารหนี้สมมติว่าไม่มีการเบี้ยว ตัวเลขก็จะเป็น % ผลตอบแทนต่อปีเลย และมันก็จะกลับกันกับ bond price ในเมื่อ coupon กับ face value มันคงที่ตั้งแต่แรกยิ่งราคาตราสารหนี้ต่ำผลตอบแทนคาดหวังก็ยิ่งสูง กลับกันยิ่งราคาตราสารหนี้สูงผลตอบแทนคาดหวังก็ยิ่งต่ำลง