3. The Five Rules for Successful Stock Investing เป็นเล่มสุดท้ายมาแทน One Up on Wall Street ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เราต้องการต่อจากเล่มหนึ่งและสองคือเราต้องการตัวอย่างเรื่องธุรกิจเพิ่มขึ้น และเล่มนี้ทำได้ดี ประมาณครึ่งนึงของเล่มอธิบายสิ่งที่เราคุ้นเคยอยู่แล้วคือหลักการและวิธีคิด อีกครึ่งที่เหลือจะพูดถึงธุรกิจต่างๆว่ามันธรรมชาติเป็นยังไง ธนาคารเป็นยังไง ยาเป็นยังไง ซึ่งผมมองว่าช่วยได้มากในแง่ว่าเราเห็นตัวอย่างเวลามองภาพธุรกิจต่างๆเรามองเรื่องอะไรและธุรกิจที่เค้าพูดถึงเราก็จะได้เข้าใจไปด้วย
PPI ย่อจาก Producer Price Index ซึ่งคือดัชนีที่เป็นตัวบอกระดับราคาขายของผู้ผลิตสินค้าทุกประเภทรวมกันทั้งประเทศ โดยปกติการเอาไปใช้คือไว้เปรียบเทียบกับ PPI ในช่วงเวลาอื่นเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง
ราคาขายของผู้ผลิตก็นึกภาพแบบโรงงานผลิตออกมาขายให้คนอื่นต่อจะใครก็แล้วแต่ ราคานั้นคือราคาผู้ผลิต ตัวเลข PPI ก็คือไปรวมราคาเหล่านั้นผ่านการคำนวณและถ่วงน้ำหนักออกมาเป็นเลขหนึ่งเลขเช่น 105
แต่แล้วทำไมหุ้นจีนภาพรวม EPS ถึงไม่โตเลยล่ะ ตอนนั้นผมก็งงเหมือนกัน มาตอนนี้ผมมีโอกาสอ่านหนังสือ The New China Playbook ของ Keyu Jin มา
ในหนังสือเค้าก็อธิบายว่าทำไมตลาดหุ้นจีนถึงผลตอบแทนแย่ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศที่เติบโต สาเหตุคือ
• ตลาดหุ้นเริ่มต้นมาจากที่รัฐบาลจีนต้องการให้เป็นแหล่งระดมทุนของ SOE ที่มีปัญหา แล้วรัฐบาลไม่อยากใช้เงินตัวเองอุ้ม
• การ list ในตลาดหุ้นจีนทำได้ยาก มีกระบวนการที่นาน และต้องมีประวัติมีกำไรอยู่แล้ว ทำให้บริษัทที่ list ได้ส่วนใหญ่โตเต็มที่แล้ว ไม่ใช่บริษัทที่มีการอัตราการเติบโตสูง
• บริษัทจีนเองก็มีแนวโน้มจะลงทุนไม่มีประสิทธิภาพ คือเห็นอะไรมีแนวโน้มเติบโตกระโดดเข้าไปหมดไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับธุรกิจตัวเอง
เรื่อง Top down หรือ Bottom up นี่โอเคทั้งสองแบบครับ บางคนก็มองภาพใหญ่ก่อนเช่น อนาคตถ้า AI มาจริง ธุรกิจที่จะได้ประโยชน์น่าจะเป็นกลุ่มไหน แล้วก็ไปหาหุ้นเอา หรือบางคนเริ่มจาก Bottom up เน้นบริษัทที่ตัวเองสนใจอยู่ก่อนแล้วหรือบังเอิญอ่านเจอแล้วสนใจก็แล้วแต่ ส่วนตัวผมว่าเริ่มจาก Top down หรือ Bottom up ก็ได้ ทั้งคู่นำไปสู่ไอเดียหุ้นอะไรซักอย่าง แล้วค่อยดูหุ้นนั้นอีกที