ตัวอย่างการคำนวณ Free Cash Flow to Equity (FCFE)

Demonstrate how to calculate FCFE

ตัวอย่างการคำนวณ Free Cash Flow to Equity (FCFE)

อันนี้ก็ต่อเนื่องจากวีดิโอที่เราเคยอธิบายวิธีการ Discounted Cash Flow ไป  ปรากฎว่ามีคนมีปัญหาในการลงมือทำจริงแล้วถามเข้ามาเยอะมาก  เท่าที่ดูคือคนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการคำนวณ Free cash flow ตั้งแต่แรก  ก็คือสูตรคำนวณน่ะรู้ละ  อ่านหนังสือเอาหรือไม่ก็ดูวีดิโอเราก็บอกสูตรอยู่  แต่ไม่รู้ว่าเอารายการไหนจากงบการเงินมาทำกันแน่  วีดิโอนี้ก็เดี๋ยวจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างเอาเป็น Free cash flow to equity (FCFE) ละกัน

ทวนอย่างเร็ว  สูตร FCFE คือ

Net income + Net non-cash charges – Change in NWC – Capital expenditure + Net borrowing

ตัวอย่างที่ใช้คืองบการเงินบริษัท President Bakery ปี 2563

Net income  =  1,678,665,276

Net non-cash charges  =  492,803,775 – 1,990,697  =  490,813,078

Change in NWC  =   – 180,761,020 – 5,939,523 – 408,413 – 467,788 + 55,393,397 + 29,052,172 – 760 + 11,561,264  =  – 91,570,671

Capital expenditure  =  113,346,674 – 3,515,980 – 571,350 + 2,457,323  =  111,716,667

Net borrowing  =  0

สรุปคือ FCFE ปี 2563 ของ PB เท่ากับ 2,149,332,358

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

Cash Flow (กระแสเงินสด) กับ Free Cash Flow (กระแสเงินสดอิสระ) คืออะไร ? ต่างกันยังไง ?

What's cash flow and free cash flow ?

Cash Flow (กระแสเงินสด) กับ Free Cash Flow (กระแสเงินสดอิสระ) คืออะไร ? ต่างกันยังไง ?

มีคนถามเกี่ยวกับ cash flow (กระแสเงินสด) และ free cash flow (กระแสเงินสดอิสระ) ว่ามันคืออะไร  ต่างกันยังไงชื่อฟังคล้ายๆกัน

เริ่มจาก cash flow ก่อน  ความหมายมันก็ตามชื่อเลยคือเงินสดเข้าหรือออกจากบริษัท  ซึ่งมันเป็นอะไรที่สมควรให้ความสำคัญมากเพราะว่าสุดท้ายแล้วบริษัทจะรอดแล้วทำธุรกิจต่อไปได้ก็ต้องมีเงินสดเข้ามามากกว่าออกไปถูกมะ

ขอให้เข้าใจว่าในการบันทึกกำไรขาดทุนเค้าบันทึกแบบเกณฑ์คงค้าง (accrual basis)  ซึ่งก็คืออิงตามกิจกรรมทางธุรกรรมทางธุรกิจเป็นหลักไม่ได้อิงตามเงินสด  เวลาบริษัทขายของได้บริษัทจะบันทึกว่ามีรายได้เกิดขึ้นมีกำไรเกิดขึ้นทันทีไม่ว่าจะได้รับเงินจากลูกค้าหรือยังไม่ได้รับ  และดังนั้นสมมติเราดูงบกำไรขาดทุนอย่างเดียวแล้วไม่ได้ดูตัว cash flow เลยมันก็จะมีจุดบอดเพราะว่าต่อให้บริษัทบันทึกว่ามีกำไรเยอะแค่ไหนแต่ถ้าบริษัทไม่เคยเก็บได้เลยซักบาทมันก็เจ๊งอยู่ดีป้ะ

ทีนี้ตัว cash flow นี่มันแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามเหตุคือ

  1. กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (cash flow from operating activities)
  2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน (cash flow from investing activities) 
  3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (cash flow from financing activities)

อันที่เค้าให้ความสำคัญมากสุดก็จะเป็นกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแหละ  หลักๆที่ควรจะต้องสังเกตก็คือที่บอกขายของได้มีกำไรนี่เก็บเงินได้หรือเปล่า  เงินสดไม่ได้ไปจมอยู่กับสินค้าคงเหลือที่เพิ่มขึ้นพรวดใช่มั้ย  ส่วนกระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุนก็ไว้สังเกตว่าบริษัทมีการใช้เงินไปซื้อที่ดิน, อาคารอุปกรณ์, เครื่องจักร, ฯลฯ อะไรพวกนี้เยอะมั้ย  ถ้าเยอะโดดขึ้นมาก็ต้องถามว่านั่นคือทำอะไร  ส่วนกิจกรรมจัดหาเงินก็ดูว่ามีการกู้เงินหรืออะไรพรวดขึ้นมาหรือเปล่า  เช่นกันถ้าเยอะขึ้นมาก็ต้องถามว่านั่นมันเอาไปทำอะไรเหรอ

ทีนี้มาตัว free cash flow ละ  free cash flow นี่เค้าหมายถึงเงินสดที่สามารถเอาออกมาจากบริษัทได้โดยที่บริษัทไม่กระทบและยังเติบโตต่อได้ตามปกติ  หรือพูดอีกแบบนึงก็คือเป็นเงินสดที่เหลือจากการที่บริษัทดำเนินธุรกิจได้มาแล้วหักส่วนที่ต้องใช้ในการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจไปแล้ว  มันเป็นเงินสดส่วนที่บริษัทมีอิสระที่จะเอาไปทำอะไรก็ได้  จะเก็บไว้สำรองก็ได้, จ่ายชำระคืนเงินกู้ที่ยืมมาก็ได้, จ่ายเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้นก็ได้หรือจะเอาไปซื้อหุ้นคืนก็ได้  

Free cash flow มันก็เลยสำคัญมากเพราะการที่ตั้งบริษัทมาก็เพื่อสร้างให้เกิด free cash flow เยอะๆไง  และดังนั้นเวลาที่เราได้ยินคนพูดถึงวิธีประเมินมูลค่าบริษัท  เราก็จะเคยได้ยินคนพูดถึงการคิดลดตัว free cash flow ก็เพราะเหตุผลนี้ครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

เราจะมีวิธีเดา Free Cash Flow ในอนาคตยังไงได้บ้าง?

Forecasting Free Cash Flow

เราจะมีวิธีเดา Free Cash Flow ในอนาคตยังไงได้บ้าง?

มีคนถามว่าเราจะทำการประมาณตัวเลข Free cash flow ไปในอนาคตได้ยังไง

เอาจริงๆเลยคือมันก็ต้องเดาแหละ  และคนที่จะเดาได้ดีสุดก็คือคนที่เข้าใจตัวบริษัทและมีความใกล้ชิดกับธุรกิจที่บริษัททำ

หลักๆมันก็มี 2 วิธี

  1. เดา growth rate ตรงๆ
  2. วิธีนี้ก็คือเดา growth rate แล้วก็ใช้กับ Free cash flow ปีล่าสุดที่ทำการปรับแล้วตรงๆเลย  ตัว growth rate ก็อาจจะเดามาจากการเติบโตในอดีตหรือไม่ก็คาดการณ์คร่าวๆของอนาคต

    วิธีการนี้มันก็จะเหมาะในกรณีที่เราคาดว่าความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยพื้นฐานต่างๆของบริษัทกับ Free cash flow จะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงรุนแรง

    Growth rate ที่เดานี่ก็จะเป็นแบบโตอัตราเท่าเดิมไปเรื่อยๆหรือเป็น 2-stage, 3-stage ก็แล้วแต่เราพิจารณาความเหมาะสมเลย

  3. เดาองค์ประกอบย่อยแต่ละอย่างแยกกัน
  4. จะใช้วิธีการนี้ก็ต่อเมื่อเราเชื่อว่าอัตราส่วนความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยพื้นฐานของบริษัทกับ Free cash flow มันจะมีการเปลี่ยนแปลง  วิธีการนี้เราก็กำหนดสมมติฐานเอาเองเลย

    ปกติเค้าก็จะประมาณตัวเลขโดยอ้างอิงกับตัวยอดขายเป็นหลัก  สิ่งที่ต้องกะก็จะมี

    • การเติบโตของยอดขาย
    • operating profit margin ไว้ประมาณตัว EBIT  
    • ความสัมพันธ์ระหว่างยอดขายที่เพิ่มขึ้นกับ Capital expenditure ที่ต้องลงทุนเพิ่ม (capital expenditure – depreciation)
    • ความสัมพันธ์ระหว่างยอดขายที่เพิ่มขึ้นกับ Net working capital ที่เพิ่มขึ้น
    • กรณีที่จะหา FCFE ก็ต้องมีสัดส่วนการใช้เงินกู้

    ส่วนใหญ่แล้วการเดาพวกนี้ก็เอามาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั่นแหละ  แล้วก็เพิ่มเติมมุมมองของเราเกี่ยวกับอนาคตเข้าไป

เพื่อให้เห็นภาพ  ผมลองทำตารางยกตัวอย่างการประมาณ FCFF ให้ดูกับบริษัทสมมติโดยมีสมมติฐานดังต่อไปนี้

  1. ยอดขายโตปีละ 10%
  2. Operating profit margin ค่อยๆลดลงจากปัจจุบันปีละ 15% ลงไปเรื่อยจนถึง 13%
  3. ภาษี 20%
  4. ไม่มี non-cash charge อื่นนอกจากค่าเสื่อม
  5. Capital expenditure ที่เพิ่มขึ้นเป็น 40% ของยอดขายที่เพิ่มขึ้น
  6. Net working capital ที่เพิ่มขึ้นเป็น 10% ของยอดขายที่เพิ่มขึ้น

 

Year 0 1 2 3 4
Sales 100 110 121 133.1 146.41
EBIT margin 15% 14.50% 14% 13.50% 13%
EBIT 15.95 16.94 17.9685 19.0333
EBIT(1-tax) 12.76 13.552 14.3748 15.22664
Increase in sales 10 11 12.1 13.31
Incremental CAPEX 4 4.4 4.84 5.324
Incremental NWC 1 1.1 1.21 1.331
FCFF 7.76 8.052 8.3248 8.57164

 

ถ้าเป็น FCFE ก็จะคล้ายๆกันแต่เปลี่ยนตรงที่เริ่มจาก Net income ดังนั้นก็เอา net profit margin มาใช้แทน  และตอนสุดท้ายมีสมมติฐานเรื่องการกู้ยืมเงินซึ่งปกติก็คืออ้างอิงเป็นสัดส่วนของเงินลงทุนที่ต้องใช้ (Incremental CAPEX + Incremental NWC)

จะสังเกตว่าไม่ว่าวิธีไหนก็ต้องอาศ้ยการเดาเยอะมาก  แบบแรกก็คือเดาแบบเหมาภาพรวมส่วนแบบที่สองคือเดาตัวแปรต่างๆของบริษัท  ส่วนตัวผมมีคำแนะนำเพิ่มเติมคือ

  1. เลือกที่จะเดากับเฉพาะบริษัทที่มีอำนาจในการบังคับผู้บริโภค
  2. ทำความเข้าใจภาพรวมอุตสาหกรรม  และจุดเด่นของบริษัท
  3. เดาไว้ทั้งแบบกรณีกลางๆกับแย่

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses