ทำไมต้องเป้าเงินเฟ้อ 2% ?

Why target 2% inflation?

ทำไมต้องเป้าเงินเฟ้อ 2% ?

ทำไมต้องเป้าเงินเฟ้อ 2% ?

มีคนมีคำถามเกี่ยวกับเป้าเงินเฟ้อของ Fed ทำไมต้อง 2% ด้วย แล้วมันเป็นเลขอื่นไม่ได้หรือไง 4% อะไรงี้ได้มั้ย

อันนี้ก็เป็นคำถามที่ดีมาก ผมก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าทำไมมันต้อง 2% ด้วย ก็เลยลองไปหาคำตอบครับ

ก่อนอื่นทำไมต้อง 2% ?

ในอดีตนู้นเลย ธนาคารกลางของประเทศต่างๆก็มีเป้าหมายเรื่องเสถียรภาพของราคาแหละ แต่ไม่ได้มีเป้าที่ระบุชัดเจน

ทีนี้เป้าที่ชัดเจนมันมาแบบบังเอิญ ปรากฎว่าที่มามันคือมาจากธนาคารกลางนิวซีแลนด์เป็นคนเริ่มในปี 1989 ในเวลานั้นเงินเฟ้อในนิวซีแลนด์สูง และธนาคารกลางก็เพิ่งเริ่มเป็นอิสระจากรัฐบาล คุณ Arthur Grimes Chairman ของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ในเวลานั้นก็เลยกำหนดเป้าหมายว่าเราจะคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในช่วง 0-2% ละกัน แล้วปรากฎว่าธนาคารกลางนิวซีแลนด์ทำให้เงินเฟ้อลดลงมาตามเป้าได้สำเร็จ

แค่นั้นเองครับ ธนาคารกลางในประเทศอื่นก็เริ่มทำตาม เริ่มจากยุโรปก่อน แล้วก็มาอเมริกาในปี 2012

ประโยชน์ของการมีเป้าที่ชัดเจน

ข้อดีของการมีเป้าที่ชัดเจนคือมันทำให้การควบคุมเงินเฟ้อทำได้ง่ายขึ้น

ไอเดียคือถ้าคนมีความเชื่อว่าเดี๋ยวธนาคารกลางจะคุมเงินเฟ้อได้ตามเป้า คนก็จะมีพฤติกรรมสอดคล้องกับเป้านั้น แล้วก็เลยทำให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นตามเป้าได้ง่ายขึ้น

แล้วทำไมไม่ตั้งเป้าให้มัน 0% หรือต่ำกว่านั้นไปเลย จะดีกว่ามั้ยของถูกลง ?

ไม่คิดว่าดี ในทางทฤษฎีมันดูเหมือนก็ไม่น่ามีอะไร ราคาของก็ลดลง เงินเดือนคนก็ลดลง คนก็ควรมีคุณภาพชีวิตเท่าเดิม แต่จริงๆเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น ปัญหาของเงินเฟ้อที่ 0% หรือติดลบไปเลยคือ
คนรู้สึกจนลง ใช้จ่ายน้อยลง
การที่ของราคาลดลงเรื่อยๆ ทำให้คนยิ่งอยากรอไม่อยากซื้อ
โดยรวมก็ทำให้เศรษฐกิจทรุด อาการแบบนี้ก็เหมือนในญี่ปุ่น

แล้วถ้างั้นตั้งเป้าให้สูงกว่า 2% ได้มั้ย 4% อะไรงี้ดีกว่าหรือเปล่า ?

อันนี้ก็ฟังดูเป็นไปได้ ตราบใดที่ไม่สูงมาก มีคนเสนออยู่เหมือนกัน โดยเค้าให้เหตุผลว่า
ไม่มีหลักฐานว่าเงินเฟ้อที่ประมาณ 4% มีผลเสียอะไรกับคุณภาพชีวิต
การอนุญาตให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอีกนิด ในแง่นึงก็คืออนุญาตให้ตลาดแรงงาน tight กว่านี้ ควรจะทำให้การว่างงานน้อยลงและเป็นเรื่องดีต่อคุณภาพชีวิตของคน

แต่ทั้งนี้โดยส่วนตัวผมคิดว่าเค้าไม่น่าจะเปลี่ยนเป้าในเวลานี้ เพราะกำลังอยู่ในช่วงควบคุมเงินเฟ้อสูงอยู่ การเปลี่ยนเป้าในเวลานี้มันอาจจะทำให้คนเสียความเชื่อมั่นในธนาคารกลาง อาจจะทำให้การควบคุมเงินเฟ้อทำได้ยากขึ้น ถ้าจะเปลี่ยนเป้าผมว่าไปเปลี่ยนตอนเหตุการณ์ปกติจะดีกว่า

สรุปตอบคำถามทำไมต้อง 2% คำตอบคือเค้าก็ตั้งเป้าอะไรซักอย่างที่ต่ำระดับหนึ่งเท่านั้นเอง ส่วนเลข 2% นี่ก็คือบังเอิญครับ ไม่ได้มีวิทยาศาสตร์อะไร มาจากธนาคารกลางนิวซีแลนด์เค้าเริ่มละคนอื่นตามแค่นั้นเอง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ทำไมหุ้นไม่มี rating เหมือนตราสารหนี้ ?

Why are bond ratings more prominent than stock ratings?

ทำไมหุ้นไม่มี rating เหมือนตราสารหนี้ ?

มีคนสงสัยว่าทำไมหุ้นถึงไม่มีคนทำ rating แบบตราสารหนี้บ้าง  อย่างตราสารหนี้นี่มันจะมีว่าเป็น Investment grade นะ  มี credit rating AAA, BBB+ อะไรแบบนี้  แต่หุ้นนี่มีแค่คำแนะนำว่า Buy, Sell, Hold

ผมเข้าใจว่าสาเหตุเป็นเพราะการจะประเมินการลงทุนในหุ้นมันยากกว่าครับ  อย่าง bond rating นี่ประเด็นสำคัญคือเค้ามองความเสี่ยงในการเบี้ยวไม่สามารถชำระหนี้ได้เฉยๆ  เค้าไม่ได้ต้องสนใจมากว่าบริษัทจะรายได้เติบโตกำไรเติบโตมั้ยดีขึ้นมั้ย  ในขณะที่หุ้นมันต้องสนใจประเด็นเหล่านั้นไม่พอยังต้องถามว่าดีขึ้นขนาดไหนอีก  มันก็เลยทำให้การประเมินหรือให้ rating เป็นอะไรที่แล้วแต่มุมมองของนักวิเคราะห์มากๆ  และที่ผ่านมาระดับความแม่นยำเชื่อถือได้ก็น้อยกว่า rating ของตราสารหนี้มาก  เลยเป็นเหตุให้ไม่มีการให้ rating เหมือนตราสารหนี้ครัล
 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ทำไมราคาหุ้นถึงวิ่ง ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอด ?

Why stock always fluctuates ?

ทำไมราคาหุ้นถึงวิ่ง ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอด ?

อยากให้นึกภาพว่าตลาดหุ้นมันเหมือนเป็นตลาดที่มีคนจำนวนมากมาประมูลซื้อขายหุ้นอยู่  ใครอยากขายอะไรเท่าไหร่ก็ส่งคำสั่งไป  ใครอยากซื้ออะไรที่ราคาเท่าไหร่ยังไงก็ส่งคำสั่งไป  ตลาดระบบมันก็จับที่ราคามันได้ทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าเกิดการซื้อขาย

ทีนี้เวลาที่มีคนอยากซื้อเยอะกว่าอยากขาย  ราคามันก็สูงขึ้นเพราะมีคนเสนอซื้อเยอะ  คนที่อยากได้ก็ต้องยอมซื้อที่ราคาสูงขึ้นมันจะได้มีคนอยากขายให้  กลับกันถ้าคนอยากขายมีเยอะกว่าอยากซื้อ  คนขายก็ต้องยอมขายที่มันถูกลงจะได้มีคนยอมซื้อไม่งั้นก็ขายไม่ได้ไม่มีคนซื้อ

ดังนั้นในแต่ละวันมันก็จะมีราคาขึ้นๆลงๆนิดหน่อย  เพราะคนที่อยู่ในตลาดหุ้นมันมีเยอะไปหมด  แล้วเค้าก็อยากซื้อหรือขายไม่พร้อมกัน  ก็เท่านั้นเองครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

หุ้น คืออะไร ?

What is Stock ?

หุ้น คืออะไร ?

มันแบบเดียวกับเวลาเราหุ้นกันกับเพื่อนทำธุรกิจหรือซื้อของมาขายเลยครับ  คือเราเข้าไปเป็นเจ้าของร่วมกันในธุรกิจแล้วก็กำไรแบ่งกัน  ถ้าหุ้นกันแล้วขายของได้ดีเราก็กำไร  ถ้าหุ้นกันแล้วเจ๊งขายของไม่ได้เราก็ขาดทุน  หุ้นมันก็คือเป็นหุ้นส่วนแบบนั้นแหละ

หุ้นในตลาดก็แบบนั้นเลย  ถ้าเราซื้อหุ้น CPALL ก็คือเราเข้าไปเป็นเจ้าของร่วมใน CPALL  ถ้าเราซื้อหุ้น Central Pattana ก็คือเราเข้าไปเป็นเจ้าของร่วมใน Central Pattana  ถ้าในอนาคตบริษัทพวกนี้ทำธุรกิจได้กำไรดี  กำไรบางส่วนก็จ่ายออกมาให้เราอันนี้ก็คือที่เค้าเรียกว่าเงินปันผล  บางส่วนก็เก็บไว้ลงทุนขยายกิจการต่อก็ยิ่งทำให้อนาคตบริษัทกำไรเยอะขึ้นไปอีกและมีเงินมาปันผลให้เราเยอะขึ้นไปอีก  และถ้าเกิดในอนาคตนั้นเราเกิดอยากขายหุ้นขึ้นมาก็มีแนวโน้มที่จะมีคนอื่นยินดีซื้อจากเราในราคาที่สูงขึ้นเพราะเค้าก็เห็นว่าบริษัททำได้ดีขึ้นมีค่ามากขึ้น  แต่ถ้ากลับกันบริษัทพวกนี้เจ๊ง  ก็ไม่มีกำไรจ่ายปันผลให้เรา  และถ้าในตอนนั้นเราเกิดอยากขายหุ้นขึ้นมา  ก็มีแนวโน้มที่จะขายได้ในราคาที่ต่ำลงเพราะคนอื่นก็เห็นว่าบริษัททำได้แย่ก็ไม่มีใครอยากได้

และดังนั้นผมก็เลยอยากจะฝากและย้ำกับคนใหม่ว่าเมื่อคุณเข้าใจแบบนี้แล้วว่าหุ้นคือการเป็นเจ้าของร่วมในธุรกิจ  สิ่งที่คุณควรทำเวลาซื้อหุ้นก็คือพิจารณาตัวธุรกิจเป็นหลัก  ถามดูว่ามันเป็นธุรกิจที่คุณอยากจะเป็นเจ้าของจริงๆหรือเปล่า  อย่าไปสับสนประเด็นมัวแต่มองกราฟราคาหรือพยายามเล่นเกมนั่งเดาทิศทางตลาด  พวกนั้นมันเรื่องปลีกย่อย  สาระสำคัญคือคุณกำลังจะเป็นเจ้าของร่วมในธุรกิจ  ถ้าธุรกิจทำได้ดีเงินลงทุนคุณก็จะดีด้วย  ถ้าธุรกิจทำได้แย่เงินลงทุนคุณก็จะแย่ไปด้วย  หลักๆมันเท่านั้นเองครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อัพเดทสถานการณ์ ลงทุนยังไงต่อดี ? – 28 ก.ย. 2563

Strategy update - Sep 28, 2020

อัพเดทสถานการณ์ ลงทุนยังไงต่อดี ? – 28 ก.ย. 2563

โดยรวมก็คล้ายๆเดิม  สิ่งที่ต่างไปแล้วดูมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้หุ้นตกลงมาก็เป็นเรื่องความเสี่ยงของ national lockdown ในยุโรป

ช่วงก่อนเราก็เห็นอยู่แล้วว่าการระบาดใน US ยังสูงขึ้น  และเราก็เห็นว่าในยุโรปเริ่มกลับมาระบาด  บางประเทศมีการปิดธุรกิจเช่นอินเดีย, Melbourne, ฯลฯ  แต่ตอนนั้นคนก็ไม่ได้ตกใจอะไร  อาจจะเห็นมีหุ้นกลุ่ม Tech ที่ตกลงมาอยู่  แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ขึ้นไปเยอะมาก  ที่ลงมาก็ไม่ได้เป็นสาระอะไรเท่าไหร่

มาตอนนี้ดูเหมือนการระบาดจะรุนแรงขึ้นเยอะ  ในสเปนกับฝรั่งเศสนี่คนติดเชื้อใหม่วันละเป็นหมื่นจนเค้าเริ่มมีสั่งจำกัดการทำธุรกิจหรือรวมตัวของคน  ซึ่งรอบนี้เป็นในเมืองใหญ่อย่าง Madrid, Paris, Marseille  ในอังกฤษเองรัฐบาลก็เริ่มส่งสัญญาณว่าอาจจะมี national lockdown นะ  แต่ตอนนี้แค่มีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นก่อน  ทำให้หุ้นกลุ่มอื่นเริ่มตก  ไม่ใช่แค่หลักๆหุ้น Tech อย่างเดียว  เข้าใจว่ามาจากการที่ตอนแรกตลาดไม่ได้คิดว่าจะมีการปิดธุรกิจในวงกว้าง  แต่ตอนนี้ดูมีความเสี่ยงว่าจะเกิดขึ้น  แล้วเราก็รู้อยู่แล้วว่าผลกระทบมันเยอะ

โดยภาพรวมแล้วผมมองเหมือนเดิมว่าโรคระบาดเป็นปัญหาชั่วคราว  อนาคตต่อจากนี้ในระยะสั้นก็เป็นไปได้ว่าราคาหุ้นจะตกลงไปอีกถ้ามีปิดเมืองมากขึ้นจนคนกลัวว่าจะกระทบเศรษฐกิจ  ก็เป็นโอกาสอันดีเผื่อใครจะหาซื้ออะไรเพิ่ม  เนื่องจากเวลาเราเลือกซื้อหุ้นเราก็ไม่ได้หวังว่าธุรกิจจะฟื้นตอนปลายปีนี้อยู่แต่แรกแล้ว  เราก็รู้ว่ามันต้องมีวัคซีนมันถึงเริ่มกลับมาปกติ  ดังนั้นเราก็เลือกที่เราคิดว่ามันทนพิษบาดแผลได้ไปถึงอย่างน้อยกลางปีหน้าอยู่แล้ว  สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายหรืออะไร  ถ้าหุ้นตกลงมาก็ยอดเยี่ยม  ไม่ตกลงมาก็ไม่เป็นไร

หุ้นกลุ่มที่ดูน่าสนใจสำหรับผมก็ยังเหมือนเดิม  คือพวกที่มันได้รับผลกระทบทั้งหลาย  เราแค่ต้องระวังว่ามันรอดเท่านั้นเอง  ตัวอย่างเช่น

  • โรงแรม
  • สนามบิน
  • ที่มันเกี่ยวกับเครื่องบิน
  • รถเมล์, รถใต้ดินและการเดินทางสาธารณะต่างๆ
  • ห้าง
  • ธนาคาร, ปล่อยสินเชื่อ
  • ร้านอาหาร
  • คอนโดที่อยู่อาศัย
  • ตึกออฟฟิศ
  • ประกัน

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

หุ้น … น่าลงทุนมั้ย ??

Should I Invest in Stock (...) ??

หุ้น … น่าลงทุนมั้ย ??

ช่วงนี้มีคำถามแนวนี้บ่อยมาก  ผมเลยอยากจะทำวีดิโอตอบคำถามในลักษณะนี้ซักนิดนึง

ผมอยากจะบอกความจริงแบบตรงไปตรงมาให้เห็นภาพจากมุมมองคนตอบที่เป็นสายพื้นฐานนะ

อย่างแรกคือมันไม่มีใครรู้หุ้นทุกตัวหรือถนัดทุกตัวหรอกครับ  อย่างผมก็จะถนัดแค่เฉพาะกลุ่มบริษัทที่เป็นสายการเงินหรือไม่งั้นก็บริษัทที่ทำสินค้าที่เราเห็นจับต้องได้หรือใช้อยู่ในชีวิต  ถ้าเป็นอย่างอื่นผมก็ไม่รู้เรื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันแคบมากเมื่อเทียบกับหุ้นทั้งหมดที่มี และดังนั้นเวลาเราถามใครไปว่าหุ้น … น่าลงทุนมั้ยนี่คือส่วนใหญ่เค้าก็ไม่รู้จักหรือไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับไอหุ้น … ที่คุณถามหรอกครับ  ดังนั้นเค้าก็มีสามทางเลือกหลักๆคือ ตอบว่าไม่รู้, ตอบเท่าที่รู้ หรือไม่ก็ไปหาข้อมูลอย่างละเอียดแล้วมาตอบ ซึ่งเอาจริงๆนะมันไม่มีใครจะไปหาข้อมูลอย่างละเอียดในหุ้นที่ตัวเองไม่ได้สนใจเพื่อมาตอบคนแปลกหน้าที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ร่วมอะไรกันหรอกครับ  ถ้าเค้าจริงใจก็จะตอบว่าไม่รู้แล้วแนะนำให้เราไปศึกษา หรือถ้ากลัวดูไม่ดีเค้าก็จะตอบสั้นๆว่า “ดี/ไม่ดี” ซึ่งมาจากการเดาเท่านั้นแล้วก็อาจจะทิ้งท้ายว่าอย่างไรก็ตามเราควรไปศึกษาด้วยตัวเอง

ต่อมา  สมมติว่าคนที่โดนถามเค้ารู้เรื่องเกี่ยวกับบริษัทที่เราถามถึงเป็นอย่างดีแล้วเค้าเทพมากเลยนะ  แต่เนื่องจากคำถามเรามันคือน่าลงทุนมั้ย เป็นคำถาม yes/no สรุปความคิดเห็นบวกกับเราก็ไม่แสดงออกว่าได้ทำการศึกษาข้อมูลอะไรมาเลย  และมันก็ไม่มีใครที่อยากจะเสียเวลามานั่งตอบคนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกันอย่างยืดยาวถึงเหตุผลอะไรอย่างไรเกี่ยวกับบริษัทนั้น ดังนั้นคนตอบมันก็จะตอบง่ายๆสั้นๆที่สุดที่เป็นไปได้ซึ่งเป็นไปได้สองแบบคือ  เค้าบอกเราว่าไม่รู้แล้วให้เราไปศึกษาเองดีกว่า หรือไม่ก็ตอบสรุปสั้นๆว่า “ดี/ไม่ดี” และอาจทิ้งท้ายว่ายังไงเราควรศึกษาด้วยตัวเอง

จะเห็นว่าไม่ว่ากรณีไหนเราก็จะได้คำตอบเหมือนกัน  และมันไม่มีประโยชน์อะไรกับเราทั้งสิ้นเพราะคำตอบนึงก็คือให้เราไปศึกษาเอง  ส่วนคำตอบ “ดี/ไม่ดี” ก็ไม่มีประโยชน์เพราะเราไม่รู้ว่าไอคนที่ตอบเรานี่มันคือรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง

ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวคุณเอง  สิ่งที่ผมแนะนำว่าคุณควรจะทำคือ

  1. ศึกษาด้วยตัวเองถึงเรื่องต่อไปนี้
    • บริษัททำอะไร
    • ที่ผ่านมาทำได้เป็นไง
    • แล้วเค้ากำลังจะทำอะไรต่อ
    • ถ้าช่วงนี้ราคาตกอย่างมีนัยสำคัญ  ทำไมถึงตก ?
    • มีเหตุผลอะไรมั้ยที่ทำให้เราเชื่อได้ว่าบริษัทจะยังทำได้ดีต่อไปในอนาคต
    • แล้วก็ตัดสินใจจากสิ่งที่เราพบ
  2. แล้วถ้าคุณรู้สึกว่าจะต้องถามความเห็นคนแปลกหน้าจริงๆเนี่ย
    • ถามก่อนเลยว่าเค้ารู้เรื่องบริษัท … มั้ย
    • ถามอย่างมีรายละเอียดและถามถึงเหตุผลประกอบ  เพื่อให้เค้ารู้ว่าเค้ากำลังคุยอยู่กับคนที่ทำการบ้านมาและได้คำตอบกลับมาที่มันมีสาระตรงประเด็น

 

โอเคนะ  สรุปคือคำถามประเภทหุ้น … น่าลงทุนมั้ยนี่คืออย่าเสียเวลาถามเลยดีกว่าครับ  เอาเวลาไปศึกษาด้วยตัวเองแล้วตัดสินใจเลยจะเข้าท่ากว่ามาก
 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

Digitalization ส่งผลยังไงกับหุ้นบ้าง ??

How does Digitalization affect stocks ??

Digitalization ส่งผลยังไงกับหุ้นบ้าง ??

ผมเข้าใจว่าคนถามเค้าตั้งใจถามว่าบริษัทที่มีการลงทุนทำโปรเจค Digitalization เช่นเอา Chatbot มาตอบลูกค้า, ฯลฯ  ทำให้ผลทำให้บริษัทดีขึ้นมั้ย มีผลต่อราคาหุ้นหรือเปล่า ซึ่งเป็นคำถามที่ยากมากผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกว่าจะไม่ตอบละแต่ปรากฎว่าพอลองหาๆดูปรากฎว่ามีคนทำวิจัยหัวข้อประมาณนี้อยู่ครับ  ผมเลยเอาผลของงานวิจัยอันนึงที่ผมอ่านเจอมาเล่าให้ฟังคร่าวๆครับ

อันนี้เป็น working paper ของ Wilbur Chen กับ Suraj Srinivasan จาก Harvard Business School

เค้าทำการศึกษากลุ่มบริษัทที่ไม่ใช่สายเทคโนโลยี ที่กำลังมีโปรเจค digital เทียบกับบริษัทกลุ่มที่ไม่ได้มีโปรเจคแล้วมาดูว่ามีผลกระทบอะไรกับบริษัทหรือมีอะไรแตกต่างออกไปบ้าง  

วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างคือเอาบริษัทมหาชนทั้งหมดช่วงปี 2010-2017 ในอเมริกามา  แล้วมาคัดพวกที่เป็นกลุ่ม IT หรือเทคโนโลยีออกไปโดยดูจากหมวดอุตสาหกรรม หลังจากนั้นก็มาหาคำที่เกี่ยวกับโปรเจค digital บนรายงานประจำปี 10-K และพวก presentation ตอนรายงานผลรายไตรมาส  บริษัทที่ใช้คำศัพท์กลุ่มพวก Analytics, AI, Big Data, Cloud, Machine Learning มากขึ้นเค้าก็นับว่าเป็นพวกทำโปรเจค ซึ่งเค้าพบว่ามีบริษัทที่พูดถึงโปรเจค digital เยอะขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก  จากตอนปี 2010 มีบริษัทแค่ 4% ที่พูดถึง แต่ตอนปี 2017 มีบริษัทถึง 22% ที่พูดถึง

สิ่งที่เค้าพบคือบริษัทที่ทำโปรเจค digital

  1. โดยรวมเป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า, อายุน้อยกว่า, มีการทำ R&D เยอะกว่า และมีการลงทุน CapEx น้อยกว่า  เมื่อเทียบกับบริษัทกลุ่มที่ไม่ได้ทำ แล้วเค้าก็เจอว่าบริษัทที่ผลประกอบการไม่ดีมีแนวโน้มจะทำโปรเจคพวกนี้มากกว่าบริษัทที่ผลประกอบการดี  เข้าใจว่าเป็นเพราะสถานการณ์บังคับมีผลให้ทำ
  2. ROA ลดลงเล็กน้อย  แม้ว่าจะผ่านไป 3 ปี
  3. Net Margin และ Sales Growth ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  เดาว่าอาจจะเป็นเพราะโปรเจคพวกนี้ใช้เงินลงทุนทำให้ผลการดำเนินงานลดลงในช่วงแรกแต่อาจจะดีขึ้นในระยะยาว  หรืออาจเป็นเพราะคู่แข่งก็เริ่มทำโปรเจคคล้ายๆกันดังนั้นประโยชน์ที่ได้จากโปรเจคพวกนี้เลยหายไป หรืออาจจะเป็นเพราะการทำโปรเจคพวกนี้ต้องใช้ผู้บริหารที่รู้เรื่องเทคโนโลยีถึงจะทำได้สำเร็จเพราะเค้าพบว่าบริษัทที่ทำโปรเจค digital โดยที่มีผู้บริหารที่ถนัดเทคโนโลยีจะมี ROA สูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันประมาณ 60% ได้
  4. Asset Turnover ดีขึ้น
  5. อัตราส่วน Price/Book ที่สูงมากขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันหลังจากที่มีการทำโปรเจคไป  คาดว่าเป็นเพราะนักลงทุนมองว่าโปรเจคประเภทนี้เป็นเรื่องดี
  6. การเพิ่มขึ้นของ Price/Book ทยอยเกิด  ไม่ใช่ขึ้นพรวดเดียวตอนที่บริษัทประกาศว่าจะทำโปรเจค  หมายความว่าถ้าเราซื้อหุ้นบริษัทที่ประกาศว่าจะทำโปรเจคทันทีตอนที่ประกาศ  โดยเฉลี่ยแล้วเราจะกำไรมากกว่าปกติ เค้าบอกว่าพอร์ตจำลองที่ใช้วิธีการนี้ได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติถึงปีละ 5% โดยเฉลี่ย

ประมาณนี้เลยครับ  ผมทิ้งลิ้งค์ไว้ให้เผื่อใครอยากไปอ่านเอง  ใน working paper เค้าจะมี reference งานวิจัยคนอื่นๆที่ทำหัวข้อเกี่ยวข้องกันด้วย  ถ้าสนใจมากก็ไปต่อยอดอ่านเอาเองเลยครับ http://www.hbs.edu/faculty/pages/download.aspx?name=19-117.pdf

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

หนังสือสอนเล่นหุ้นที่ดีที่สุดตลอดกาล

Best Investment Book of all Time

หนังสือสอนเล่นหุ้นที่ดีที่สุดตลอดกาล

มีคนถามผมว่า “เราควรจะลงทุนเลย หรือ รอให้ตลาดตกรุนแรงก่อน แล้วค่อยซื้อหุ้นในราคาถูก”

วันนี้ผมเลยมาทำวีดิโอให้ข้อมูลว่า จากข้อมูลเชิงสถิติ การลงทุนแบบรอช้อนหุ้นช่วงวิกฤติ หรือ ซื้อหุ้นเลย แล้ว Buy & Hold กลยุทธ์ไหนให้ผลตอบแทนสูงกว่า เพื่อทุกท่านจะได้นำไปปรับใช้กันครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

สาย VI ต้องรู้ : รอช้อนหุ้นช่วงวิกฤติ VS “Buy & Hold” กลยุทธ์ไหนให้ผลตอบแทนสูงกว่ากัน ?? (สถิติ)

"ฺWait for Crash" VS "Buy & Hold" Which Strategy gives the highest yield?

สาย VI ต้องรู้ : รอช้อนหุ้นช่วงวิกฤติ VS “Buy & Hold” กลยุทธ์ไหนให้ผลตอบแทนสูงกว่ากัน ?? (สถิติ)

มีคนถามผมว่า “เราควรจะลงทุนเลย หรือ รอให้ตลาดตกรุนแรงก่อน แล้วค่อยซื้อหุ้นในราคาถูก”

วันนี้ผมเลยมาทำวีดิโอให้ข้อมูลว่า จากข้อมูลเชิงสถิติ การลงทุนแบบรอช้อนหุ้นช่วงวิกฤติ หรือ ซื้อหุ้นเลย แล้ว Buy & Hold กลยุทธ์ไหนให้ผลตอบแทนสูงกว่า เพื่อทุกท่านจะได้นำไปปรับใช้กันครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg