ทำไมตลาดผันผวนอีกแล้ว ทำไงต่อดี ?

Situation update Oct 2022 - Why are the market crashing again?

ทำไมตลาดผันผวนอีกแล้ว ทำไงต่อดี ?

ทำไมตลาดผันผวนอีกแล้ว ทำไงต่อดี ?

ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นตก ดูเหมือนมีคนถามเกี่ยวกับสถานการณ์ภาพรวมหลายคน ผมเลยรวบรวมคำถามมาตอบเป็นข้อๆครับ

    ตลาดหุ้นตกเรื่องอะไร ?

จะบอกว่าเรื่องเดิมกับเมื่อต้นปีครับ ไม่ได้มีอะไรต่างไปในสาระสำคัญ หลักๆคือเริ่มมาจากเงินเฟ้อที่สูงจากความต้องการที่สูงขึ้นพรวดช่วงปลายปี 2021 กับสงครามที่ทำให้ราคาพลังงาน, อาหาร, ค่าแรงสูงขึ้น แล้วก็เลยทำให้ราคาของสินค้าเกือบทุกประเภทสูงขึ้นตาม ทีนี้ธนาคารกลางทั่วโลกก็พยายามขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้ได้อย่างรวดเร็ว Fed ประกาศตั้งแต่แรกว่าเอาจริงนะ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะควบคุมเงินเฟ้อได้ แล้วก็เลยมีความกังวลว่าเศรษฐกิจจะหดตัวจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงอย่างรวดเร็ว

ถ้าสังเกตก็คือเรื่องเดียวกับตอนต้นปีเป๊ะ

    แล้วมีโอกาสจะเกิดเศรษฐกิจหดตัวมั้ย ?

ส่วนตัวผมพูดเหมือนเดิมกับต้นปีคือเชื่อว่าน่าจะเกิด เพราะการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นการลดฝั่งอุปสงค์ของตลาด ดังนั้นถ้าเกิดการบริโภคและการลงทุนลดลงอยู่รุนแรงมากไปก็อาจจะทำให้การเติบโตหลุดไปทางติดลบได้

และที่ผ่านมาในอดีตเคยมีเหตุการณ์เงินเฟ้อสูง Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงๆเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ในเวลานั้นก็มีเศรษฐกิจหดตัว การว่างงานสูงขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว

แต่ทั้งนี้ไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาถาวรอะไร เพราะอย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าการหดตัวของเศรษฐกิจลักษณะนี้ ไม่เหมือนวิกฤติที่มาจากการใช้เงินเกินตัว มีการกู้ยืมเงินจำนวนมากในระบบเศรษฐกิจแล้วเกิดฟองสบู่ ไม่เหมือนปี 2008 ไม่มีธนาคารล้ม และตัวอย่างในอดีตเศรษฐกิจก็ฟื้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

    แปลว่าตลาดหุ้นจะตกต่ำไปกว่าตอนนี้มั้ย ?

เป็นไปได้ แต่ผมก็ไม่มีทางรู้หรอกครับ

อันนี้เป็นคนละประเด็นกับคำถามก่อนหน้าเลย การเดาเศรษฐกิจ ต่อให้เราเดาถูก ไม่ได้แปลว่าเราจะเดาอารมณ์ตลาดถูก

ซักพักสมมติ เงินเฟ้อลดละ แล้วเศรษฐกิจก็หดตัวตามคาด คำถามคือตลาดหุ้นจะตกมั้ย

อาจจะตกก็ได้ครับ เพราะในเวลานั้นเศรษฐกิจก็จะหดตัว คนว่างงานเยอะขึ้น ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็จะไม่ดี คนก็อาจจะตกใจว่าเฮ้ยมันจะเศรษฐกิจหดตัวยาวนานมั้ย หุ้นก็อาจจะตกก็ได้ จริงๆอย่างในเวลานี้พวกที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเช่นพวกที่เกี่ยวกับบ้านก็ออกมาบอกละว่าเห็นความต้องการหดตัวลง

หรืออาจจะหุ้นขึ้นก็ได้ครับ เพราะในเวลานั้นเงินเฟ้อลดลง คนก็อาจจะมองว่าปัญหาจะเริ่มจบละ เดี๋ยว Fed ก็น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยกลับลงมา ทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่สภาพปกติ ตลาดก็อาจจะดีใจมองข้ามเศรษฐกิจถดถอยชั่วคราวก็ได้

สิ่งที่ผมแนะนำคืออย่าไปกังวลเลยว่าหุ้นจะตกต่ำไปกว่าตอนนี้มั้ย เอาเป็นว่าคุณดูบริษัทที่คุณชอบ เชื่อมั่นว่าบริษัทจะยังทำได้ดีต่อไปในอนาคต และถ้าราคามันตกต่ำมามากพอแล้ว ซื้อได้ถูกเพียงพอก็คือใช้ได้ ไม่ได้ต้องมานั่งเพ่งพยายามเดาหาจุดต่ำสุด ยังไงก็ไม่มีทางรู้อยู่แล้ว

    ทำไมหุ้นไทยเข้มแข็งจัง ตกน้อยกว่าหุ้นโลก

ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าให้เดาเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยน่าจะยังดีอยู่นะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเริ่มเปิดการท่องเที่ยวและมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    เป็นไปได้มั้ยที่เงินเฟ้อจะสูงไปเรื่อยแบบควบคุมไม่ได้ ?

อันนี้ก็เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ คือต้องเข้าใจว่าเงินเฟ้อคือราคาสินค้าถูกมะ สมมติความต้องการสินค้าถูกกดจนเป็น 0 นะ ไม่มีใครซื้ออะไรทั้งสิ้น ซื้อสินค้าจำเป็นพอชีวิตรอดอย่างเดียว ราคาสินค้าทุกอย่างมันก็ต้องตกฮวบเพราะมันขายไม่ได้ครับ แค่นั้นเอง

แล้วจริงๆในเวลานี้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เริ่มมีผลนะ เพียงแต่มันจะมีผลกับกลุ่มธุรกิจบางกลุ่มก่อนเช่นพวกที่เกี่ยวกับบ้าน เพราะพวกนี้ปกติคนซื้อไม่ได้ซื้อเงินสด การขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านสูงขึ้น

และแน่นอนทำให้ยอดขายบ้านลดลง


ส่วนการบริโภคในกลุ่มอื่นยังไม่ลง อ้างอิงจาก American Express กับ Bank of America ทั้งคู่พูดไปในทิศทางเดียวกันว่ายอดใช้บัตรเครดิตของผู้บริโภคสูงขึ้นมากกว่าที่คิดมาก โดยเฉพาะท่องเที่ยวนี่ American Express บอกเพิ่มสูงขึ้น +57% เลย

นอกจากนั้นในเวลานี้ ปัจจัยหลักอื่นที่เป็นตัวหนุนให้เงินเฟ้อสูงแต่แรกก็เริ่มลดลงบ้าง อย่างที่ทราบคือมันมีพลังงาน, อาหาร, ค่าขนส่งกับค่าแรงถูกมะ อาหารนี่ต้นทุนราคาลงละ การขนส่งเช่นกัน ค่าแรงยังเพิ่มขึ้นอยู่แต่อัตราการเพิ่มของค่าแรงก็เริ่มลดลง ส่วนราคาพลังงานยังสูงขึ้นอยู่

ส่วนที่ยังสูงอยู่คือราคาพลังงานโดยรวม

    ควรจะลงทุนหรือควรจะถือเงินสดรอ หรือควรจะขายหุ้นมั้ย ?

ตรรกะของเรื่องคือ มันขึ้นกับว่าเราสามารถถือยาวได้มั้ย time frame ในการวัดผลเราคือนานแค่ไหน

สมมติเราจะวัดผลกันสิ้นปีนี้ ก็ไม่น่าจะควรลงทุนนะ ผมไม่ได้บอกว่าตลาดจะลงแน่นอนหรืออะไร แต่ในเมื่อตอนนี้เงินเฟ้อยังสูง และผมเชื่อว่าเศรษฐกิจต้องมีหดตัว ตลาดก็อาจจะตกใจอีกก็ได้ไง หรือตลาดอาจจะคลายความกังวลแล้วขึ้นก็ได้

แต่สมมติเราลงทุนระยะยาว งั้นช่วงนี้ก็โอกาสหาหุ้นราคาถูกนี่ ไม่รู้แหละว่าปัญหาจะจบเมื่อไหร่ แต่ปลายทางบริษัทที่มีอำนาจก็จะรอดออกมาและกลับไปทำได้ดีเหมือนเดิม เรามีหน้าที่หาบริษัทแบบนั้นและฉวยโอกาสซื้อตอนที่มันราคาถูกผิดปกติครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ความพยายามในการเดาจุดต่ำสุด

Predicting the lowest point in a stock drop

ความพยายามในการเดาจุดต่ำสุด

หัวข้อนี้ไม่แน่ใจว่าเคยพูดไปแล้วหรือยัง  แต่เร็วๆนี้ที่มีตลาดตกต่อกันหลายวันผมเริ่มคนถามคำถามประมาณว่า “ตลาดจะตกต่อมั้ย”, “ตอนนี้ตกสุดหรือยัง” บ่อยขึ้นเยอะ  แม้กระทั่งนักเรียนผมก็เป็น  ดังนั้นผมเลยรู้สึกว่าควรจะพูดเรื่องนี้อีกทีเพราะมันสำคัญครับ

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าตลาดหุ้นในระยะสั้นนี่มันขึ้นกับอารมณ์เยอะมากและมันพลิกไปมาได้เร็วมาก  ถ้าเราสังเกตลองย้อนไปดูเราก็จะเห็นว่าบางทีตลาดก็ตก -1% กว่าและในวันต่อมาก็อาจจะกลับตัวทันทีเป็นบวก +1% กว่าก็เป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้  ไม่มีใครเดาได้จริงๆหรอกว่าพรุ่งนี้ตลาดจะเป็นยังไง

ทีนี้แน่นอนว่าเราทุกคนก็จะมีความเห็นต่อตลาดหุ้นของตัวเองแหละ  บางคนก็ว่าตลาดน่าจะตกต่อนะ  บางคนก็บอกน่าจะขึ้นนะ  ซึ่งตรงนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร  เราแค่ต้องรู้ว่ามันเป็นแค่ความเห็นเรานะและมันไม่ได้จำเป็นต้องถูก  แต่ปัญหามันจะเริ่มเกิดถ้าเราเผลอไปคิดว่าความเห็นของเรามันจะแม่น  แล้วเริ่มใช้กลยุทธ์ในการลงทุนที่ต้องพึ่งพาความแม่นยำในการเดานั่น  อย่างเช่นเราจะซื้อตอนหุ้นตกต่ำที่สุดอะไรแบบนั้นเป็นต้น  พอกลยุทธ์ในการลงทุนมันไปอิงกับสิ่งที่อาศัยโชคปุ๊บก็แปลว่าผลลัพธ์ในการลงทุนเราก็กลายเป็นอาศัยโชคไปด้วย  และตรงนี้มันก็จะเริ่มอนาถละ

ถึงเวลาเหตุการณ์จริง  สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นคือประมาณนี้  สมมติหุ้นตกมา 10% ละจาก 100 เหลือ 90  คำถามคือแล้วควรจะซื้อหรือยัง  ถ้ากลยุทธ์เรามีเกณฑ์ตายตัวเช่นดูว่าราคาต่ำกว่ามูลค่าพอสมควรแล้วถึงซื้อมันก็ไม่ต้องเดาถูกมะ  ก็แค่ดูว่าราคา 90 นี่ต่ำกว่ามูลค่าพอสมควรยัง  ถ้าสมมติเราคิดว่ามูลค่าที่แท้จริงบริษัทนี้อยู่ 100 บาทนะแล้วเรากะซื้อต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมซัก 15% ซึ่งคือที่ 85 บาทหรือต่ำกว่่า  เราก็ตัดสินใจได้ทันทีว่ายังไม่ซื้อ  แต่สมมติกลยุทธ์เราไม่มีเกณฑ์ตายตัวต้องอาศัยการเดาซื้อที่จุดต่ำสุด  งั้น 90 บาทนี่ต่ำสุดยังอ่ะ  ก็ไม่รู้และก็จะคอยสงสัยอยู่ว่ามันจะตกไปอีกหรือเปล่า  แล้วสมมติวันต่อมามันตกไปอีกเหลือ 87 บาทล่ะ  อันนี้คือควรซื้อหรือยัง  ก็ไม่รู้อีกมันก็อาจจะตกไปอีกพรุ่งนี้ก็ได้ถูกมะ  แล้วถ้าพรุ่งนี้เหลือ 85 บาทล่ะ  ก็จะมีคำถามเดิมอีกอยู่ดี  ไม่จบไม่สิ้น

สุดท้ายสิ่งที่ผมแนะนำโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักเรียนเราก็คือ  เราจะมีความเห็นว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือจะลงก็ตามสบายไม่มีปัญหา  แต่การตัดสินใจในการซื้อยังไงก็ต้องมีระบบชัดเจน  จะใช้วิธีประมาณการผลตอบแทนแบบที่เรียนไปก็ได้  หรือจะใช้วิธีประเมินมูลค่าหุ้นแบบ DCF อะไรก็ได้  หรือจะดู P/E, Dividend yield ก็ได้แล้วแต่  ที่สำคัญขอให้มันมีเกณฑ์ในการตัดสินใจให้ชัดเจนว่าจะซื้อเมื่อไหร่  ไม่เอาแบบใช้ความรู้สึกโอเคมะ  ใช้ความรู้สึกมันมั่วครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

มีนักลงทุนที่มีชื่อเสียง ทำนายว่าจะเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เราแนะนำว่ายังไง ?

Prominent people and economists warn of large market crash ahead, what do we suggest ?

มีนักลงทุนที่มีชื่อเสียง ทำนายว่าจะเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เราแนะนำว่ายังไง ?

สำหรับผมก็มองว่าเราอ่านดูว่าเค้าให้เหตุผลว่าอะไรก็ไม่เสียหาย  แต่อย่าไปเครียดจริงจังอะไรกับมันมากเกินไป  เพราะว่า

  1. คนออกมาบอกว่าจะเกิดวิกฤติอะไรซักอย่างมันมีอยู่ตลอดทุกปี
  2. เอาจริงๆผมก็เชื่อว่าจะมีวิกฤติอะไรซักอย่างเกิดขึ้นซักวันแหละ  แต่ถ้าเราไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่  มันก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ป้ะ  จะให้หวาดระแวงไม่ทำอะไรเลยอยู่ตลอดก็ไม่ไหวนะ

สรุปอีกทีนึงคือความคิดเห็นเหล่านี้เราฟังเหตุผลเค้าได้ไม่มีปัญหาอะไร  แต่เราต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่ามันก็เป็นแค่ข้อคิดเห็น  และสุดท้ายไม่มีใครรู้อนาคต  แค่เพราะคนจำนวนมากเชื่ออะไรซักอย่างนึงก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องนั้นจริง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ตลาดหุ้นตกส่งผลยังไงกับเศรษฐกิจ ทำไมภาครัฐต้องพยายามพยุงราคาหุ้นด้วย ?

How stock market affects the economy? Why government tries to support stock price ?

ตลาดหุ้นตกส่งผลยังไงกับเศรษฐกิจ ทำไมภาครัฐต้องพยายามพยุงราคาหุ้นด้วย ?

มีคนถามว่าตลาดหุ้นตกมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร  คือประเด็นของคำถามนี่คือเค้ารู้แหละว่าเศรษฐกิจน่ะมีผลต่อตลาดหุ้น  และเค้าก็รู้ว่าที่ซื้อขายหุ้นกันอยู่ในตลาดส่วนใหญ่เป็นซื้อไปมาระหว่างนักลงทุนด้วย  ราคาหุ้นที่สูงขึ้นไม่ได้ทำให้บริษัทกำไรมากขึ้น  ราคาหุ้นที่ต่ำลงก็ไม่ได้ทำให้บริษัทกำไรน้อยลง  แล้วทำไมดูเหมือนภาครัฐเป็นกังวลเวลาตลาดหุ้นตก  อย่างเคส COVID-19 ที่ผ่านมาก็มีออก SSFX ออกมาเพื่อพยายามพยุงราคาตลาดหุ้น  แสดงว่าการที่ตลาดหุ้นตกมันก็ต้องมีผลต่อเศรษฐกิจสิไม่งั้นเค้าจะทำไปทำไม

ตอบตามตรงผมก็ไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของการที่เค้าออก SSFX มาเพื่อพยุงตลาดหุ้นนี่ทำไปเพราะอะไรนะ  แต่โดยภาพรวมแล้ว  การมีอยู่ของตลาดหุ้นมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจเพราะว่า

  1. สำหรับบริษัท  ตลาดหุ้นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการระดมเงินทุน  ทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตมากขึ้นและเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจโดยรวม  ถ้าไม่มีตลาดหุ้นก็แปลว่าบริษัทพึ่งพาการยืมเงินธนาคารแค่ทางเดียว  หรือไม่งั้นก็อาจต้องหาคนมาร่วมทุนแต่ก็จะเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่เท่านั้นซึ่งก็ทำได้จำกัด
  2. สำหรับคนทั่วไป  ตลาดหุ้นก็เป็นช่องทางที่ทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปเป็นเจ้าของร่วมในธุรกิจต่างๆที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยเงินที่ไม่เยอะ  มันก็เป็นการสร้างโอกาสในการกระจายความมั่งคั่งแบบนึง  ถ้าไม่มีตลาดหุ้นก็แปลว่าเราต้องเริ่มต้นธุรกิจด้วยตัวเองเท่านั้นซึ่งก็เป็นการจำกัดความเป็นไปได้สำหรับหลายๆคน  หรือไม่งั้นก็ลงทุนได้แค่ฝากธนาคารซึ่งเราก็เห็นอยู่ว่าผลตอบแทนแพ้เงินเฟ้อด้วยซ้ำ

ดังนั้นถ้าสมมติตลาดหุ้นตกรุนแรงแล้วซึมอยู่เป็นเวลานาน  (ย้ำว่าซึมนานด้วยนะ  ตกแป๊บเดียวไม่น่าจะเป็นสาระ)  ก็อาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ตรงที่

  1. ถ้าหุ้นตกต่ำอยู่นาน  มันก็แปลว่าคนจำนวนมากไม่อยากลงทุนในตลาดหุ้น  ดังนั้นถ้าสมมติในอนาคตมีบริษัทที่จะมาระดมทุนออก IPO หรือบริษัทที่อยู่เดิมต้องการจะระดมทุนเพิ่ม  ก็อาจจะทำได้ลำบากเพราะคนไม่ค่อยสนใจ  โดยรวมก็ไปทำให้ระดมทุนได้ยากหรือแพงขึ้น
  2. มีผลกระทบต่อจิตวิทยาของคน  ตลาดหุ้นตกมันก็มีผลกับเงินลงทุนของคน  อาจทำให้คนรู้สึกจนลงแล้วก็เลยกล้าใช้จ่ายน้อยลง  ถ้าเป็นแบบนั้นกันเยอะๆก็อาจจะมีผลต่อเศรษฐกิจ
  3. อาจมีผลกับพอร์ตของพวกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือเพื่อการเกษียณ  ทำให้คนที่กำลังจะเกษียณเดือดร้อน  แต่ประเด็นนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องหลัก

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อันไหนดีกว่ากัน ซื้อหุ้นดีมาก ราคาตกนิดเดียว กับ ซื้อหุ้นพอใช้ได้ ราคาตกเยอะ ?

Which is better ? Great company at decent discount or decent company at great discount

อันไหนดีกว่ากัน ซื้อหุ้นดีมาก ราคาตกนิดเดียว กับ ซื้อหุ้นพอใช้ได้ ราคาตกเยอะ ?

อันนี้ยากจริง  ตอบตามตรงเลยคือผมก็ไม่รู้ครับว่าทำแบบไหนผลสุดท้ายจะออกมาดีกว่ากัน

ผมเองก็มีลังเลนะ  คือถ้าเลือกบริษัทที่เข้มแข็งมากและดูแล้วรอดจากวิกฤติแน่นอนอาจเพราะจริงๆไม่ค่อยได้รับผลกระทบตั้งแต่แรก  ข้อดีมันก็คือรอดแน่นอนซึ่งก็หมายความว่ากำไรแน่นอนด้วย  แต่จุดที่เสียเปรียบมีอยู่นิดนึงคือส่วนใหญ่หุ้นพวกนี้มันจะตกไม่เยอะตั้งแต่แรก  ดังนั้นในระยะสั้นช่วงที่มันฟื้นจากวิกฤติก็จะไม่ได้กำไรเยอะเท่าไหร่เทียบกับอีกทางเลือกนึง  แต่ถ้ามองในระยะยาวหลายปีแล้วมันก็จะดีกว่าแน่นอนเพราะบริษัทที่เข้มแข็งมากกว่าปกติมันก็จะเติบโตดีกว่าด้วย

แต่ถ้าเลือกพวกบริษัทที่เข้มแข็งกลางๆแต่ราคาตกเยอะ  ความได้เปรียบมากอย่างนึงคือคือถ้ามันรอดช่วงวิกฤติมาเราก็จะกำไรกระโดดพรวดขึ้นเลยในช่วงสั้นๆจากการที่ราคามันวิ่งกลับมาที่เดิมก่อนวิกฤติ  แต่ข้อที่ต้องระวังคือไม่รู้จะรอดมั้ยหรือรอดมาแบบบอบช้ำขนาดไหน  และจุดบอดสำคัญคือในระยะยาวหลายปีแล้วมันจะแพ้เพราะบริษัทมันเข้มแข็งสู้ไม่ได้ปกติการเติบโตมันก็จะสู้ไม่ได้ไปด้วย

โดยสรุปก็คือเลือกระหว่าง  ชอบชัวร์กว่าแล้วก็ซื้อไปไม่ต้องทำอะไรเยอะถือยาวไปเลย  กับชอบความตื่นเต้นซื้อไปเสร็จซักพักผ่านวิกฤติอาจจะต้องขายออกมาไปลงทุนในอย่างอื่น

หรืออีกแบบนึงถ้าไม่ได้ว่าต้องเลือกซื้อแค่แบบใดแบบหนึ่ง  มองในเชิงกลยุทธ์ที่จะกำไรสูงสุดนะ  ก็คือต้องซื้อแล้วขายออกมาตามลำดับประมาณนี้

  1. ซื้อบริษัทที่เข้มแข็งมากแต่ตกไม่เยอะก่อน  เพราะพวกนี้โดยปกติจะฟื้นเร็วกว่า  ขายเมื่อฟื้นมาแล้ว
  2. ซื้อบริษัทที่กลางๆแต่ราคาตกเยอะต่อ  พวกนี้มักจะโดนผลกระทบจังๆหรือไม่งั้นก็ไม่เข้มแข็งเท่าดังนั้นโดยปกติราคาจะฟื้นช้ากว่า  แล้วก็ขายเมื่อฟื้นมาแล้วเช่นกัน
  3. กลับไปซื้อบริษัทที่เข้มแข็งมากอีกที  ในเวลานี้สถานการณ์น่าจะปกติละดังนั้นระยะยาวบริษัทพวกที่เข้มแข็งมากได้เปรียบ

แต่นี่คือในอุดมคติสุดๆจังหวะดีสุดๆ  ในความเป็นจริงมันก็จะไม่ง่ายขนาดนี้แน่นอน

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาคือซื้อที่เข้มแข็งมากไว้ก่อนมักจะออกมาดีกว่า  เพราะเวลาไปซื้อกิจการที่เข้มแข็งกลางๆนี่มันมักจะมีอะไรผิดคาดมา surprise เราบ่อย  แล้วมักจะ surprise ในทางไม่ดีด้วยนะ  แล้วมันก็จะมาถ่วงพอร์ตเรา  ดังนั้นถ้าเป็นผมแนะนำก็ซื้อกิจการที่มันเข้มแข็งมากไว้ก่อนดีกว่าครับ  แต่อันนี้ก็ยอมรับว่าผมก็มีลงทุนในบริษัทที่ชัดเจนว่าเสี่ยงมากกว่าเพราะคาดหวังผลตอบแทนสูงกว่าอยู่เหมือนกันครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

แบบไหนถึงจะเรียกว่า “โอกาส” ?

What counts as "opportunity" ?

แบบไหนถึงจะเรียกว่า “โอกาส” ?

วิธีลงทุนที่ผมใช้คือซื้อกิจการที่ยอดเยี่ยมและซื้อมันให้ได้ในราคาถูกโดยอาศัยการฉวยโอกาสจากเวลาที่คนตกใจใช่มั้ยครับ  ทีนี้ก็มีนักเรียนที่ถามว่าอย่าง KTC ที่ราคาตกอย่างรวดเร็วเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เรียกว่าเป็น “โอกาส” มั้ย  หรือมันต้องยังไงถึงจะเรียกว่า “โอกาส”

เอาง่ายๆละกันนะ  เวลาที่หุ้นบริษัทที่เราชอบมันราคาตกลงมาพอสมควรมันก็เรียกว่า “โอกาส” หมดแหละ  เราสมควรจะไปดูในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น  แล้วเราจะซื้อหรือเปล่านี่ก็อีกเรื่องนะ  ไม่ใช่ว่าทุก “โอกาส” ที่เกิดขึ้นเราจะซื้อหมดนี่

บางคนก็ถามต่อว่าที่บอกราคาตกพอสมควรนี่มันคือต้องตกขนาดไหน ?  มันก็ไม่มีกฎตายตัวอะไรขนาดนั้นนะคือเอาที่คุณว่ามันตกเยอะมากระดับนึงที่จะทำให้คุณสนใจไปดูน่ะ  ส่วนตัวผมก็ตั้งคร่าวๆไว้ว่าตกซัก 15% จะเรียกว่าน่าสนใจ

แล้วที่ว่าดูในรายละเอียดนี่หลักๆแล้วก็คือดูสาระสำคัญและถามตัวเองในเรื่องต่อไปนี้

  1. ไปดูว่าเรื่องที่ทำให้ราคาหุ้นตกนี่มันเรื่องอะไร
    1. มีผลกระทบกับผลประกอบการจริงหรือเปล่า
    2. ถ้ามี  มีไปตลอดมั้ย
    3. ถ้าไม่ได้มีไปตลอด  บริษัทจะรอดจากเหตุการณ์นี้หรือเปล่า
  2. บริษัทน่าจะยังทำได้ดีต่อไปในอนาคตหรือเปล่า
  3. ด้วยราคานี้เราพร้อมจะเสี่ยงลงทุนในบริษัทนี้มั้ย
  4. คิดเผื่อไว้ด้วยว่า  
    1. สถานการณ์ที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นคืออะไร  ต้องคอยสังเกตอะไร
    2. ถ้าต้องถือหุ้นบริษัทนี้ยาวไป 3-5 ปี  สบายใจที่จะถือมั้ย

หลักการมันก็มีง่ายๆแค่นี้แหละ  โฟกัสไปที่ตัวธุรกิจของบริษัทแล้วก็เลิกถามคำถามระยะสั้นที่ยังไงมันก็ไม่มีทางรู้เช่นราคามันจะตกลงไปอีกมั้ยหรือซื้อแล้วราคามันจะขึ้นมั้ย  ความยากมันก็จะอยู่ในรายละเอียดที่เราต้องไปหาข้อมูลมากกว่าละ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses