ล็อคดาวน์ยุโรปรอบ 2, ประท้วงในไทย, ลงทุนยังไงต่อดี ? – 3 พฤศจิกายน 2563

Second Lockdown in Europe, Protest in Thaliand, How to Invest ? - Nov 3, 2020

ล็อคดาวน์ยุโรปรอบ 2, ประท้วงในไทย, ลงทุนยังไงต่อดี ? – 3 พฤศจิกายน 2563

มีนักเรียนที่เค้าเริ่มบอกจิตเริ่มแกว่งเพราะช่วงที่ผ่านมาเห็นตลาดหุ้นโดยรวมตกลงมา  เค้าถามความเห็นว่าแบบนี้เป็นโอกาสในวิกฤติหรือเป็นวิกฤติซ้ำซ้อน  เศรษฐกิจเมื่อไหร่ถึงจะฟื้น

วีดิโอนี้เรามาคุยสถานการณ์ภาพรวม, อะไรเกิดขึ้นแล้ว, อะไรน่าจะเกิดขึ้นต่อไป  แล้วเราควรจะลงทุนยังไงดี

สิ่งที่เกิดขึ้น

  • ไทยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจน  แต่การท่องเที่ยวแน่นอนยังไม่ฟื้น
  • มีเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองเพิ่มขึ้น
  • ส่วนทั่วโลก  ถ้าดูเรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจจะเห็นว่าดีขึ้น  มีการฟื้นตัวชัดเจนทั้งการบริโภคและการผลิต
  • จีนนี่ไม่ใช่แค่ฟื้นตัว  แต่ถึงขึ้นมีเศรษฐกิจโตเทียบกับปีที่แล้วด้วยซ้ำ
  • การกลับมาระบาดของ COVID-19 เริ่มเยอะจนประเทศในยุโรปหลายประเทศเช่นฝรั่งเศส, เยอรมณี, อังกฤษกลับมาทำ National lockdown ปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็นอีกรอบ
  • อเมริกาก็ยังระบาดรุนแรงอยู่  ไม่ได้มีการปิดธุรกิจแต่บางรัฐเห็นในข่าวมีการสั่งห้าม indoor dining แล้ว
  • อเมริกากำลังจะมีเลือกตั้งวันนี้เลย Nov 3

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้  บางส่วนก็น่าจะเป็น noise ไม่มีอะไร  สิ่งที่คิดว่ามีผลทำให้ตลาดตกในช่วงที่ผ่านมาคือเรื่องการทำ national lockdown ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลหลายประเทศก็บอกว่าจะไม่ทำเพราะมันจะมีผลต่อเศรษฐกิจ  ตอนนี้พอทำก็เลยอาจจะผิดคาดสำหรับคนที่หวังว่าจะไม่มีแล้วจนถึงวัคซีนออกมา  และอีกอย่างนึงคือมันก็มีผลกระทบกับเศรษฐกิจจริงๆแหละ  ธุรกิจที่ก่อนหน้านี้นักลงทุนอาจจะคิดว่ารอดไม่เจ๊งแน่นอนแล้วอย่างพวกร้านอาหารก็กลับไปเสี่ยงเจ๊งได้อีก

อะไรน่าจะเกิดขึ้นต่อไป

  • ประเทศอื่นที่ยังไม่ทำ National lockdown สุดท้ายคงไม่มีทางเลือกต้องทำแหละ  ไม่งั้นผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลจะทำยังไง
  • และการทำ National lockdown ก็แน่นอนจะมีผลต่อเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นแล้วให้ทรุดกลับลงไป
  • เรื่องอื่นๆดูไม่มีสาระสำคัญ
  • การเมืองไทย  ถ้ามองย้อนไปจะพบว่าเหตุการณ์รัฐประหารหรือความรุนแรงตอนม๊อบเสื้อแดงที่มีเผาไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้น  ดังนั้นเรื่องนี้ก็ตัดไปไม่ได้มีสาระสำคัญ
  • การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  ก็เป็นเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา  แต่คนก็รู้ว่ามันจะไม่กลับไปสมบูรณ์เหมือนก่อน COVID-19 จนกว่าปัญหาจะจบถาวร  ดังนั้นประเด็นนี้ก็ไม่น่าจะมีสาระสำคัญ
  • เลือกตั้งสหรัฐ  ใครซักคนก็จะชนะ  ถ้า Trump ชนะก็ดำเนินนโยบายเหมือนเดิมซึ่งตลาดก็รู้อยู่แล้ว  ถ้า Biden ชนะตลาดก็ไม่น่าจะตกใจเพราะก็ยังไม่ได้เริ่มทำอะไร  ดังนั้นเรื่องนี้ไม่น่าจะมีสาระสำคัญ  
  • กำหนดการของวัคซีนดูเหมือนเดิม  ดูน่าจะได้ข้อสรุปจากการทดลองในคน Phase 3 ภายในปลายปีนี้เดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม  และหลังจากนั้นถ้าสรุปคือใช้ได้ปลอดภัยก็จะต้องมีการเร่งการผลิตและกระจายใช้เวลาซักพักหนึ่ง

แล้วเราควรลงทุนยังไง

ในความเห็นผม  สิ่งที่เราควรทำก็ยังเหมือนเดิม  ซึ่งคือฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ตลาดตกแบบนี้  เราควรเห็นมันเป็นโอกาส  ผมสรุปประเด็นสำคัญมีดังนี้

  1. สุดท้าย COVID-19 ก็เป็นปัญหาชั่วคราว  ปัญหานี้จะจบก็ต่อเมื่อมียาหรือวัคซีนคนถึงจะกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ  การท่องเที่ยวการเดินทางถึงจะมีโอกาสฟื้น
  2. แนวโน้มวัคซีนก็ยังตามกำหนดการเดิม
  3. ดังนั้นภาพรวมกลยุทธ์ก็ยังเหมือนเดิมคือ  เรามองหาธุรกิจที่ปกติแล้วเข้มแข็งทำได้ดี  แต่ดันได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ราคาตกรุนแรง  แล้วเราเชื่อว่ามันจะรอดจากวิกฤติไปได้และกลับไปทำได้ดี  อย่างส่วนตัวผมเกณฑ์ที่บอกว่าคิดว่ามันจะรอดคือ  ดูว่ามีเงินสดเหลือมากพอที่จะรอดแบบกรณีเลวร้ายสุดไปได้ถึงอย่างน้อยครึ่งปีหน้า
  4. แต่ทั้งนี้เราก็ต้องระวังมากขึ้นตรงที่  ถ้าเราซื้อบริษัทในยุโรปที่ได้รับผลกระทบจาก National lockdown  เราก็ต้องเผื่อ worst case ว่าไตรมาส 4 ก็จะต้องอนาถพอๆกับไตรมาส 2  คือเราต้องดูว่ามันมีเงินสดมากพอที่จะรอด

สรุป

สรุปสุดท้ายสิ่งที่จะฝากโดยเฉพาะกับนักเรียนผมเลยนะคือ  มองออกไปไกลหน่อย  อย่าไปมองอะไรระยะสั้นๆแบบนักลงทุนทั่วไปทำเพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้อยู่ดี  เอาจริงๆไม่มีใครรู้หรอกอย่างตอนฝรั่งเศสประกาศ Lockdown ตลาดตก  พอมาอังกฤษประกาศ Lockdown ซึ่งคือเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง  วันจันทร์ปรากฎว่าตลาดขึ้น  มันมั่วๆแบบนี้แหละครับ  ดังนั้นอย่าไปเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระมองอะไรสั้นๆ  มองข้ามช็อตไปไกลหน่อยแล้วดักทางคนอื่นก่อนเลย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ลงทุนในสินทรัพย์แบบไหน ไม่ต้องกลัวเงินเฟ้อ

Which Investment Assets Can Guard Against Inflation?

ลงทุนในสินทรัพย์แบบไหน ไม่ต้องกลัวเงินเฟ้อ

หัวข้อเงินเฟ้อนี่เราทุกคนน่าจะคุ้นเคยอยู่บ้างแล้ว  มันเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วก็มีผลทำให้เงินของเราลดค่าลงไป  โชคดีที่ช่วงที่ผ่านมาเงินเฟ้อประเทศไทยไม่ได้สูง หลังปี 2014 มาเงินเฟ้อเราไม่เคยสูงกว่า 2% ไม่เหมือนช่วงก่อน  แต่อนาคตก็ไม่แน่ ในวีดิโอนี้เรามาคุยว่าจะลงทุนยังไงให้ไม่ต้องกลัวเงินเฟ้อกันครับ

ก่อนไปต่อเราคุยเรื่องผลกระทบของเงินเฟ้ออย่างเร็วเผื่อใครไม่เคยทราบมาก่อน  เงินเฟ้อนี่หลักๆก็คือการที่ของแพงขึ้นน่ะแหละ มันไม่ได้ทำให้เงินเรามีน้อยลงนะจริงๆเรามีเงินเท่าเดิมแหละแต่มันทำให้เงินเราซื้อของได้น้อยลง  เช่นสมมติแต่ก่อนบะหมี่ 1 ชาม 20 บาท เรามีเงิน 100 บาทเราซื้อบะหมี่ได้ 5 ชามดูละเหลือเฟือ แต่วันนี้บะหมี่ชามละ 40 บาทละ เงิน 100 บาทที่เรามีเหมือนเดิมตอนนี้ซื้อบะหมี่ได้ไม่ถึง 3 ชามละ  เงินเราซื้อของได้น้อยลงนี่แหละคือผลของเงินเฟ้อ

แต่ทีนี้เงินเฟ้อมันจะไม่เป็นปัญหาถ้าเงินเราสามารถโตได้ด้วยอัตราเร่งอย่างน้อยเท่าๆเงินเฟ้อ  เช่นตัวอย่างตะกี้ถ้าบะหมี่แพงขึ้นจากชามละ 20 เป็นชามละ 40 ก็จริง แต่เงิน 100 บาทเราที่ฝากไว้ในธนาคาร (หรือลงทุนอะไรก็แล้วแต่) โตเป็น 200 บาทมันก็ไม่เป็นไรไง  เพราะเราก็จะยังซื้อบะหมี่ได้ 5 ชามอยู่ดี ดังนั้นในเมื่อเราควบคุมเงินเฟ้อไม่ได้สิ่งที่เราทำได้ก็คือพยายามลงทุนเงินเราให้อย่างน้อยโตเท่ากับเงินเฟ้อ

ณ เวลานี้ด้วยความที่เงินเฟ้อต่ำกว่า 1%  การจะชนะเงินเฟ้อก็ไม่ยากเพราะเท่าที่ดูดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีให้ผลตอบแทน 1.5% ก็หาได้อยู่  แต่ถ้าสมมติมันกลับไปเป็น 3% เหมือนแต่ก่อนเงินฝากก็จะไม่ตอบโจทย์ละ

โดยไอเดียคือสินทรัพย์อะไรก็ตามที่ผลตอบแทนคงที่ล็อคเอาไว้ก็จะมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อหมด  พวกนี้ก็เช่นเงินฝากประจำ, หุ้นกู้, ตราสารหนี้ ถ้าเราจะลงทุนให้ไม่ต้องกลัวเงินเฟ้อเราก็ต้องไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนมันสามารถปรับตามเงินเฟ้อได้เช่น

  1. พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (ILB, Inflation Linked Bond)
  2. พวกนี้คือพันธบัตรรัฐบาลนี่แหละ  แต่ลักษณะการจ่ายดอกเบี้ยมันจะคำนวณผลของเงินเฟ้อเข้าไปด้วยทำให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเฟ้อเลย  ไม่ว่าจะเกิดเงินเฟ้อรุนแรงแค่ไหนก็ตามเราก็จะไม่เดือดร้อนเพราะเราจะได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นการชดเชยผลของเงินเฟ้อเสมอ  แต่แน่นอนถ้ากลับเป็นเงินเฟ้อติดลบหรือเงินฝืดเราก็จะได้ดอกเบี้ยน้อยลง สรุปคือผลตอบแทนที่แท้จริงก็จะคงที่

  3. สินทรัพย์อื่นที่ขึ้นราคาตามเงินเฟ้อได้
  • อสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่า, REIT ที่คนต้องง้อ
  • หุ้นบริษัทที่ปรับราคาขึ้นได้

ยกตัวอย่างบริษัทนึงที่ผมเคยเห็นชัดๆเลยว่าปรับราคาสินค้าได้

นี่เป็นเงินเฟ้อในตุรกี  https://tradingeconomics.com/turkey/inflation-cpi

และบริษัทที่ผมเจอว่าไม่เดือดร้อนคือ Ulker Biskuvi ที่ทำพวกขนม  ในปี 2018 ยอดขายเพิ่มขึ้น 25% แต่มาจากจำนวนขนมที่ขายเพิ่มขึ้นแค่ 1.5% ที่เหลือเป็นราคาที่ปรับขึ้น  กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 24.6% ส่วนปี 2019 ที่ผ่านมา 9 เดือนยอดขายเพิ่มขึ้น 35% มาจากจำนวนขนมที่เพิ่มขึ้นแค่ 4% ที่เหลือเป็นราคาที่ปรับขึ้น  กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 41.3% จะเห็นได้ว่าบริษัทนี้และผู้ถือหุ้นไม่เดือดร้อนอะไรเลยจากเงินเฟ้อ

http://ulkerbiskuviinvestorrelations.com/media/917/download.aspx

http://ulkerbiskuviinvestorrelations.com/media/964/download.aspx

แต่ก็ไม่ใช่ทุกบริษัทหรือทุกอสังหาริมทรัพย์จะทำแบบน้ันได้  เราต้องเลือกดีๆ แต่ถ้าเราเลือกออกมาถูกปุ๊บแปลว่าเราไม่ต้องกลัวเงินเฟ้ออะไรทั้งนั้นเลยครับ

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

มีหุ้นอะไรให้ปันผล (Dividend Yield) เกิน 5% บ้าง ??

Where can I find stocks with above 5% dividend yield ??

มีหุ้นอะไรให้ปันผล (Dividend Yield) เกิน 5% บ้าง ??

หัวข้อวันนี้ต่อเนื่องจากที่เราเคยทำวีดิโออธิบายวิธีการเลือกหุ้นปันผลไป  (ถ้าใครไม่เคยดูหัวข้อวิธีเลือกหุ้นปันผล ดูได้ที่ https://youtu.be/KsC0Q-8HIC4)

มีคนถามเข้ามาว่า “ตอนนี้มีหุ้นตัวไหน Dividend yield เกิน 5% บ้างครับ ?”  ซึ่งถ้าจะตอบตรงคำถามว่ามีหุ้น A, B, C, … มันก็จะไม่จบเพราะเดี๋ยวผ่านไปสามเดือนก็จะต้องมีถามคำถามเดิมใหม่  ดังนั้นผมเปลี่ยนวิธีตอบคำถามนิดนึงและยกระดับคำตอบขึ้นไปอีกระดับคือในวีดิโอนี้เดี๋ยวผมจะบอกวิธีว่าเราจะหารายชื่อหุ้นอะไรให้ปันผลเกิน 5% ดีกว่าครับ

ผมแนะนำให้ใช้ลิ้งค์นี้ของ morningstarthailand.com ครับ  http://tools.morningstarthailand.com/th/stockquickrank/default.aspx?Site=th

เข้าไปปุ๊บง่ายมาก  กดตรง Dividend Yield ให้มันเรียงหุ้นทั้งหมดจาก Dividend Yield มากไปหาน้อย  จบละครับ

ที่เหลือก็คือเลือกจากบนนี้ว่ามีบริษัทไหนที่กิจการเข้มแข็งและเรามั่นใจว่าจะยังทำได้ดีสม่ำเสมอต่อไปในอนาคตบ้าง  เพราะอย่าลืมว่าบริษัทจะจ่ายปันผลได้มันต้องมีกำไรก่อน ตัวเลข Dividend Yield ที่เห็นคือเค้าเทียบปันผลที่เคยจ่ายไปแล้วล่าสุดกับราคาตอนนี้  ไม่ได้แปลว่ามันจะปันผลเท่านี้ต่อไปในอนาคต อย่าเลือกโดยดู Dividend Yield อย่างเดียว

เรียบร้อยครับ  สรุปคำตอบของคำถามนี้คือ  คุณไปดูเอาเอง และวิธีดูผมก็อธิบายไปเรียบร้อยแล้ว

 

 
ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

มาพิสูจน์กัน ! ลงทุนในบริษัทนิสัยดี (ESG สูง) ให้ผลตอบแทนดีกว่าจริงเหรอ?

Let's See Some Proof! Does Investing in ESG Companies Yield Higher Return ?

มาพิสูจน์กัน ! ลงทุนในบริษัทนิสัยดี (ESG สูง) ให้ผลตอบแทนดีกว่าจริงเหรอ?

ช่วงหลังมานี้ผมเริ่มได้ยินกระแสการลงทุนในบริษัท ESG สูง  ซึ่งคือบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment), สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) บ่อยมากขึ้น  จากเดิมที่ดูเรื่องกำไรขาดทุนอย่างเดียว  ปัจจุบันเริ่มเห็นดัชนีที่เลือกบริษัทจดทะเบียนต่างๆจากคะแนน ESG หรือกองทุนรวมที่ลงทุนเน้นบริษัท ESG สูงเยอะขึ้นกว่าในอดีตมาก  และมีพี่ที่ทำงานเก่าท่านนึงเคยพูดถึงกองทุน UOBCG ว่าผลตอบแทนดีมาก

ฝ่ายที่บอก ESG สูงจะมีผลตอบแทนดีกว่าก็ให้เหตุผลประมาณว่า

  • เป็นการผลักดันให้บริษัทมองหาวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสิ้นเปลือง
  • การที่บริษัททำดีต่อผู้คน ทำให้พนักงานในบริษัททำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น  ผลลัพธ์ดีขึ้น
  • การที่บริษัทปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม ทำให้ได้รับการเชื่อใจจากผู้บริโภคและสังคมมากขึ้น
  • บริษัทที่มีเวลาและเงินมาสนใจเรื่อง ESG ก็ต้องเป็นบริษัทที่ทำได้ดีอยู่แล้ว

ฝ่ายที่บอก ESG สูงจะมีผลตอบแทนต่ำกว่าหรือไม่เกี่ยวให้เหตุผลประมาณว่า

  • คนเห่อบริษัท ESG สูง ทำให้ราคามันสูงกว่าปกติ
  • ESG สูงเป็นค่าใช้จ่าย อย่างเช่น Environment จะให้สะอาดมันทำได้  ปัจจุบันเทคโนโลยีมันมีหมดแล้วแต่มันเป็นการเพิ่มต้นทุน
  • ผู้บริโภคปลายทางเวลาซื้อสินค้า มีใครถามเรื่อง ESG บ้าง
  • วิธีการวัด ESG ปัจจุบันไม่มีมาตรฐาน

Source: Financial Times by  Kate Allen on December 6, 2018

 

ผมเลยเกิดความอยากรู้ว่าการลงทุนในบริษัทที่มี ESG สูงผลตอบแทนดีกว่าลงทุนในบริษัทธรรมดาหรือเปล่า  เราจะมาพยายามหาหลักฐานพิสูจน์เรื่องนี้กันครับ

 

ESG มันวัดจากอะไร ?

Environment สิ่งแวดล้อม  หัวข้อนี้ก็จะให้คะแนนจากปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมต่างๆเช่น

  • การปล่อยก๊าซเรือนกระจก, นโยบายที่จะลดการปล่อยก๊าซ, ฯลฯ
  • การกำจัดขยะอุตสาหกรรม, ขยะเคมี, ขยะมีพิษต่างๆ และการรีไซเคิล
  • ผลกระทบต่อแหล่งน้ำ การใช้น้ำ
  • ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด
  • ใช้เทคโนโลยีที่ลดการใช้พลังงาน ออฟฟฺิศและตึกอาคารประหยัดพลังงาน
  • การให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลสิ่งแวดล้อม
  • นโยบายจิปาถะอื่นๆ เช่นสนับสนุนให้พนักงานปั่นจักรยานมาทำงาน, ฯลฯ

Social สังคม  หัวข้อนี้จะพิจารณาเรื่องวัฒนธรรมองค์กรที่เกี่ยวกับคน  ทั้งกับคู่ค้า, พนักงาน  และคนในสังคมเช่น

  • การตอบแทนพนักงาน
  • การพัฒนาอบรมพนักงาน
  • ความปลอดภัยในที่ทำงาน, การป้องกันเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ
  • ให้ความสำคัญกับความหลากหลายของคน โอกาสความก้าวหน้าที่ไม่จำกัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  ความเท่าเทียมในการปฏิบัติ
  • ไม่ใช้แรงงานเด็ก, กำกับดูแลคู่ค้าหรือ Supplier ว่าปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน, ไม่ใช้แรงงานบังคับ
  • ดูแลลูกค้าเมื่อเกิดปัญหา, การตอบสนองเวลาถูกฟ้องร้องโดยพนักงานหรือลูกค้า
  • นโยบายโดยรวมด้านสังคม

Governance การกำกับดูแล  อันนี้ก็จะดูว่าบริษัทมีการกำกับดูแลที่โปร่งใสแยกออกจากตัวผู้บริหารมั้ย  รักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นมั้ยเช่น

  • การให้ตอบแทนผู้บริหารมีเกณฑ์อย่างไร สอดคล้องกับผลประกอบการระยะยาวของบริษัทมั้ย
  • มี Golden Parachute มั้ย
  • ในกลุ่มคณะกรรมการบริษัทมีคนนอกมั้ยหรือครอบครัวมิตรสหายที่มีผลประโยชน์ร่วมทั้งนั้น
  • ประธานคณะกรรมการบริษัทกับ CEO เป็นคนเดียวกันมั้ย
  • มีนโยบายที่ทำให้ยากต่อการถอดถอนกรรมการบริษัทหรือไม่
  • บริษัทมีหุ้นหลายระดับชั้นหรือเปล่า
  • การสื่อสารกับผู้ถือหุ้น, การให้ข้อมูลเวลามีกรณีฟ้องร้อง, ฯลฯ
  • การให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแล

 

แล้วการลงทุนใน ESG ได้ผลตอบแทนดีกว่าหรือเปล่า ?

เท่าที่หาข้อมูลผมพบว่ามีทั้งคนสรุปว่าดีและมีคนสรุปว่าไม่เกี่ยว  ดังนั้นเพื่อความเป็นกลางและไม่สับสน  ผมจะใช้วิธีการเปรียบเทียบผลลัพธ์ระยะยาวของดัชนีที่เน้นหุ้น ESG สูงเทียบกับดัชนีที่ไม่สนใจ ESG ที่ดึงตัวอย่างบริษัทมาจากบริษัทกลุ่มเดียวกัน  ถ้า ESG สูงมีผลจริง  เราก็ควรจะเห็นผลตอบแทนระยะยาวของดัชนีที่เน้นหุ้น ESG สูงดีกว่าดัชนีที่ไม่สนใจ ESG อย่างมีนัยสำคัญ  เรามาดูผลลัพธ์ที่ผมเจอกันเลยครับ

 

เริ่มจากกลุ่มดัชนี S&P ก่อนเลย

S&P Global 1200  vs.  S&P Global 1200 ESG

ESG ชนะอยู่เฉลี่ย 0.12% ต่อปี

Source: https://eu.spindices.com

 

 

ต่อมา  มาดูดัชนีของ FTSE กันบ้าง

FTSE Developed  vs.  FTSE4Good Developed

ESG ชนะอยู่เฉลี่ย 0.03% ต่อปี

Source: FTSE Russell as of 30 August 2019

 

 

FTSE Emerging  vs.  FTSE4Good Emerging

ESG ชนะอยู่เฉลี่ย 0.53% ต่อปี

Source: FTSE Russell as of 30 August 2019

 

 

มาดูของกลุ่มดัชนี MSCI กันบ้าง

MSCI World  vs.  MSCI World ESG Universal

ESG แพ้อยู่เฉลี่ย -0.18% ต่อปี

Source: https://www.msci.com

 

 

และสุดท้ายคือกลุ่มดัชนี STOXX กันบ้าง

STOXX Global 3000  vs.  STOXX Global 3000 ESG-X

ESG ชนะอยู่เฉลี่ย 0.05% ต่อปี

 

 

เราจะเห็นว่าโดยรวมแล้วถ้าวัดกันที่ระยะเวลา 5 ปี ESG สูงเหมือนจะดีกว่าเล็กน้อยมากๆคือประมาณ 0.1% ต่อปีหรือน้อยกว่านั้น  ซึ่งถือได้ว่าไม่เป็นสาระ  ส่วนที่น่าเชื่อถือที่สุดเพราะนานกว่าคนอื่นก็มีแค่ของ MSCI ซึ่งมีข้อมูลเกือบ 10 ปี  ได้ผลว่า ESG สูงห่วยกว่าด้วยซ้ำ  แต่ก็ไม่เป็นสาระอีกเช่นกันเพราะแย่กว่าแค่ -0.18% ต่อปีเท่านั้นเอง

ดังนั้นผมสรุปจากหลักฐานได้ว่าปัจจัยเรื่อง ESG ไม่มีผลอะไรกับผลตอบแทนการลงทุน  ลงทุนเอาสบายใจได้เต็มที่เลย  เพราะไม่ได้มีผลให้ผลตอบแทนแย่ลงแต่อย่างใด  แต่แค่อย่าไปคาดหวังว่ามันจะดีกว่าเท่านั้นเองครับ

 

จะลงทุน ESG ได้ยังไง

สำหรับคนที่สนใจจะลงทุนแบบหุ้น ESG สูง  ก็ทำได้ 2 ทางคือ

  1. ลงทุนผ่านกองทุน

อันนี้น่าจะง่ายสุด  กองทุนที่มีนโยบายลงทุนแบบ ESG ผมก็ไม่ได้รู้จักอะไรเยอะเพราะส่วนตัวไม่ได้ลงทุนแนวนี้  เท่าที่ทราบก็จะมี

  • กองทุนเปิดบรรษัทภิบาลหุ้นระยะยาว (CG-LTF) ของ UOB
  • กองทุนรวมคนไทยใจดีี (BKIND) กับ กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (BSIRICG) ของหลักทรัพย์บัวหลวง
  • กองทุนเปิดทิสโก้ ESG หุ้นไทยยั่งยืน ของ TISCO
  1. ลงทุนเอง

ผมเจอ Link อันนึงของบริษัทที่จัดอันดับบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน ESG ในหมวดธุรกิจต่างๆ  ในนั้นมีบริษัทไทยเราอยู่เหมือนกันนะ  เป็นอะไรที่ผมแปลกใจทีเดียวเพราะเข้าใจว่านี่คือแข่งกันทั่วโลกเลยครับ

https://www.robecosam.com/csa/csa-resources/industry-leaders.html

ส่วนอีกที่นึงคือ Thailand Sustainability Investment จัดทำโดย SET

https://www.set.or.th/sustainable_dev/en/sr/sri/files/THSI_2018_eng.pdf

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg