อัตราส่วนทางการเงินอันไหนสำคัญสุด ?

Most important financial ratios

อัตราส่วนทางการเงินอันไหนสำคัญสุด ?

มีคนถามว่าอัตราส่วนทางการเงินอันไหนสำคัญสุด  ต้องดูอันไหนบ้าง  รู้สึกมันมีเยอะไปหมด  ในวีดิโอนี้ผมพูดถึงอันที่ผมมองว่าสำคัญสุดละกัน  โดยเราจะพูดถึงสำคัญ 3 อันดับแรกนะ  เพราะถ้าพูดถึงเยอะกว่านั้นมันก็จะปัญหาเดิมคือรู้สึกมันมีเยอะไปหมด

1. Return on Equity

อันนี้สำคัญสุดละ  เพราะอัตราส่วนนี้สื่อว่าเงินของผู้ถือหุ้นทุกๆ 100 บาทที่บริษัทเก็บไว้เอาไปทำให้เกิดกำไรได้กี่บาท  อัตราส่วนนี้ยิ่งเยอะยิ่งดีเป็นธรรมดา  ตัวเลขนี้อาจจะสูงได้ด้วยการที่บริษัทจ่ายปันผลออกมาเยอะๆทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเล็กก็เป็นไปได้  กรณีแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าบริษัทแย่นะแค่ว่าไม่ได้แปลว่าดีมากเฉยๆ

2. Net Profit Margin

Net Profit Margin คือสื่อว่าจากทุกรายได้ 100 บาทที่บริษัททำได้  เมื่อหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วเหลือกี่บาท  ตัวเลขนี้มันต่างกันแล้วแต่ลักษณะธุรกิจ  ผมให้ความสำคัญกับความสม่ำเสมอมากกว่า  กับดูว่ามันไม่ต่ำจนไม่สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจ

3. Interest Coverage

อัตราส่วนนี้มันก็อยู่ในหมวด liquidity ratio  วัตถุประสงค์คือไว้ดูว่าบริษัทน่าจะจ่ายหนี้ได้มั้ย  ที่ผมนิยมใช้คือ EBIT/Interest expense  ผมไม่นิยมใช้ EBITDA/Interest expense  สิ่งที่อัตราส่วนนี้สื่อคือกำไรจากการดำเนินงานเป็นกี่เท่าของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย  ถ้ากำไรจากการดำเนินงานเป็นหลายเท่าของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย  ก็แปลว่าน่าจะสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้  ก็คือเสี่ยงน้อย  ดังนั้นอัตราส่วนนี้ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี

สามอันนี้ส่วนตัวผมว่าสำคัญสุดครับ  ไม่ใช่บอกว่าอันอื่นไม่สำคัญนะ  แค่บอกว่าสามอันนี้สำคัญสุด  เป็นอันที่ยังไงผมต้องดูแน่ๆ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อย่าไปให้ความหมายกับราคาหุ้นขึ้นๆลงๆ

Don't look too much into price movement

อย่าไปให้ความหมายกับราคาหุ้นขึ้นๆลงๆ

ผมสังเกตเห็นพวกเราหลายคนให้ความหมายกับการขึ้นลงของราคาหุ้นมากเกินไป  คือประมาณว่าถ้าเห็นราคาหุ้นขึ้นก็เข้าใจว่าบริษัทต้องทำได้ดีและดังนั้นก็สบายใจมองยังไงก็เห็นแต่เรื่องดี  กลับกันถ้าเห็นราคาหุ้นตกก็รู้สึกว่าบริษัทต้องมีปัญหาอะไรแน่แล้วก็เริ่มเครียดมองยังไงก็เห็นแต่เรื่องร้าย  ซึ่งอาการแบบนี้มันทำให้ใจเราไม่นิ่งตัดสินใจพลาดได้น่ะ

อย่างแรกที่อยากให้มีการแยกแยะก่อนคือราคาหุ้นขึ้นลงมันแค่แปลว่าคนโดยรวมมีมุมมองต่อบริษัทดีขึ้นหรือแย่ลงเฉยๆ  เค้าอาจจะมีมุมมองว่าบริษัทจะผลประกอบการดีขึ้นนะ  หรือเค้าอาจจะมองว่าบริษัทน่าจะทำได้แย่ลงนะ  มันสะท้อนความเห็นของคนโดยรวมในตลาดเฉยๆ  ซึ่งมันคนละอย่างกับบริษัททำได้ดีหรือไม่ดี  ประเด็นสำคัญคือแค่เพราะคนโดยรวมเชื่อมันก็ไม่ได้แปลว่ามันจะถูกต้อง

อย่างที่สองคือถ้าเราคาดหวังว่าจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยตลาด  เราก็ต้องมีมุมมองหรือการกระทำบางอย่างต่างออกไปจากคนโดยรวมอยู่แล้ว  ไม่งั้นผลตอบแทนเราก็ต้องเท่าๆคนทั่วไปสิ  ดังนั้นเราควรจะชินและรู้สึกเฉยๆกับการที่ราคาหุ้นไม่เห็นด้วยกับเราอย่างน้อยในระยะสั้นอยู่แล้ว  ถ้าเราซื้อสิ่งที่ทุกคนก็คิดว่าดีทำเหมือนๆกัน  งั้นมันจะผลตอบแทนดีกว่าค่าเฉลี่ยได้ไงน่ะ

แต่ทั้งนี้เราก็ต้องอย่าประมาท  เพราะเราจะมีมุมมองและทำแตกต่างจากคนอื่นทั่วไปเฉยๆไม่ได้  ความแตกต่างนั้นมันต้องถูกด้วย  ดังนั้นเวลาราคาหุ้นมันขึ้นหรือลงไม่ว่ามันจะไปในทิศทางที่เราคาดหรือเปล่า  เราต้องนึกในใจว่ามันก็แค่ความเห็นโดยรวมคนชอบบริษัทมากขึ้นหรือน้อยลงก็แค่นั้น  ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่านั้น  สิ่งที่เราโฟกัสคือตัวบริษัทเท่านั้น  ถ้าราคาหุ้นตกแต่บริษัทมันทำได้ดีขึ้นก็คือดีขึ้น  ถ้าราคาหุ้นขึ้นแต่บริษัททำได้แแย่ลงก็คือแย่ลง  ถ้าราคาหุ้นตกแต่บริษัทไม่ได้มีอะไรใหม่เกิดขึ้นก็คือไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ผลประกอบการแย่ลง ควรขายเลยมั้ยหรือรอดูก่อน ? ถ้ารอดูควรรอนานแค่ไหน ?

What to do if the company profit dropped ? Sell or hold on ?

ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ผลประกอบการแย่ลง ควรขายเลยมั้ยหรือรอดูก่อน ? ถ้ารอดูควรรอนานแค่ไหน ?

มึคนถามว่าในกรณีที่บริษัทที่ซื้อมาผลประกอบการเแย่ลงกว่าที่คาด  เราควรที่จะขายหุ้นเลยมั้ยหรือควรจะรอดู  แล้วสมมติถ้ารอดูควรจะรอดูนานขนาดไหน

เข้าใจในความกังวลนะ  เพราะกรณีแบบนี้มันไม่เหมือนกับซื้อมาแล้วราคาหุ้นตกเฉยๆโดยที่ผลประกอบการไม่ได้แย่  กรณีลักษณะแบบนี้อาจจะเป็นเราพลาดจริงก็ได้

ตอบตามตรงคือคงไม่ได้มีเกณฑ์ตายตัวแล้วแหละ  ผมแนะนำว่าเราทำดีที่สุดนั่นคือ

พยายามหาต้นเหตุว่าผลประกอบการที่แย่ลงนั่นมาจากเรื่องอะไร

  • ยอดขายแย่ลง ?
  • ยอดขายโต  แต่ค่าใช้จ่ายโตเร็วกว่า ?
  • หนี้สินเยอะขึ้น  ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเยอะขึ้น ?
  • แล้วเหตุที่มันเป็นอย่างนั้นคืออะไร  ยอดขายแย่ลงเพราะว่าขึ้นราคาแต่คู่แข่งลดราคา ?  ยอดขายโตแต่ค่าใช้จ่ายโตเร็วกว่าเพราะเพิ่งขยายสาขา  ค่าใช้จ่ายมาแล้วแต่ยอดขายยังไม่เต็มที่ ?

พิจารณาต้นเหตุนั้นบวกกับสิ่งที่บริษัทกำลังทำ  แล้วค่อยตัดสินใจ

  • บางทีผลประกอบการที่แย่ลงอาจจะมาจากบริษัทกำลังลองทำอะไรอยู่
  • หรือบางทีบริษัทก็กำลังพยายามแก้ไขปัญหานั่นอยู่

ทีนี้สิ่งที่มันยากคือ

  • ต่อให้ทำดีแค่ไหน  เราก็อาจจะพลาดได้เพราะบางทีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ชัดเจนว่าเกิดจากอะไรหรือว่ามันเป็นอะไรที่แก้ไขได้หรือเปล่า
  • ต้องระวังการมี bias  บางทีเราก็ทัศนคติดีเพราะชอบสินค้าของบริษัทนั่น  หรือบางทีเราก็อคติเพราะเห็นราคาตกมาเยอะ

ทีนี้สมมติตัดสินใจรอดู  ควรจะรอดูนานขนาดไหน  อันนี้ก็ตอบยากเหมือนกัน  เพราะส่วนตัวก็มีเคสรอดูนานเกินจนขาดทุนเยอะก็มีอยู่  หรือมีเคสที่รอดูแล้วบริษัทก็ฟื้นกลับมาทำได้ดีและกำไรก็มีเหมือนกัน  ดังนั้นอาจจะไม่มีเกณฑ์ตายตัวซะทีเดียว  แต่ส่วนตัวแล้ว 1 ปีเป็นอย่างน้อยนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อัพเดทสถานการณ์ตลาดหุ้น และกลยุทธ์ลงทุน – มิถุนายน 2021

June 2021 market update

อัพเดทสถานการณ์ตลาดหุ้น และกลยุทธ์ลงทุน – มิถุนายน 2021

วีดิโอนี้เราแสดงความคิดเห็นตอบคำถามที่คนถามเข้ามาเกี่ยวกับภาพรวมทิศทางตลาดหุ้นครับ  โดยเราคุยไปทีละเรื่อง

ตลาดหุ้นไทยและโควิดที่ระบาดในไทย

คือผมว่ามาถึงตรงนี้เราต้องยอมรับละว่ายังไงการระบาดคงไม่ซาหายไปเองแบบที่ผ่านมาแน่  กว่าจะควบคุมการระบาดได้ก็คงต้องแบบประเทศอื่นคือต้องฉีดวัคซีนให้ได้จำนวนมากระดับหนึ่งเท่านั้น  เท่าที่ดูตัวอย่างจากอเมริกา, อังกฤษกับยุโรป  สมมติเราตั้งใจฉีดกันให้ได้เยอะๆแล้วไม่ติดเรื่องไม่มีวัคซีนเราก็น่าจะฉีดได้เยอะระดับนึงภายในสิ้นปีนี้  และแปลว่าการระบาดน่าจะควบคุมได้อย่างช้าต้นปีหน้า

ในมุมตลาดหุ้น  ดัชนีตอนนี้ก็ยังแถว 1,600 อยู่  ดูไม่ได้มีอะไรตกเยอะแยะหรือมีความตกใจในวงกว้างจากโควิดที่ระบาด  ส่วนตัวผมก็มุมมองเหมือนเดิมคือโอกาสยังหาได้อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่โดนโควิดจังๆแล้วราคาตกเยอะๆ  อย่างพวกโรงแรมกับห้าง  หน้าที่ของเราคือเลือกบริษัทที่มันน่าจะมีเงินทุนมากพอที่จะรอดและน่าจะกลับมาทำได้ดีเมื่อโควิดจบ

ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ

มีคนถามว่าถ้าเงินเฟ้อในอเมริกาสูงขึ้นมากๆ  จะทำให้ fed ลดอัตราดอกเบี้ยและหุ้นจะตกมั้ย

อันนี้ให้ดู Consumer Price index ในอเมริกา  จะเห็นว่าระดับราคาดูสูงขึ้นแหละ  แต่ยังไม่ถึงกับสูงเว่อร์เนื่องจากระดับราคามันตกลงไปตอนช่วงปี 2020

ในประเด็นเรื่องเงินเฟ้อ  ในความเห็นส่วนตัวคือผมมองว่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมาจากการที่ Aggregate supply ปรับตัวไม่ทันการกลับมาของ Aggregate demand  คือถ้าเราตามข่าวเราจะเห็นว่ามีการขาดแคลนคนงานในธุรกิจต่างๆในอเมริกา  แต่เราก็เห็นว่าอัตราการจ้างงานยังไม่ฟื้นกลับไปสภาพก่อนโควิด  น่าจะเป็นสัญญาณของการปรับตัวไม่ทันของฝั่ง supply  ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันก็ไม่ควรเป็นปัญหาและเงินเฟ้อก็ไม่ควรจะเลยเถิด

แต่ทีนี้คำถามต่อมาคือ fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหรือเปล่า  และถ้าสมมติใช่แปลว่าตลาดหุ้นจะต้องตกหรือเปล่า  ประเด็นแรกเรื่องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นนี่ผมก็เชื่อว่าเค้าจะทำเมื่อเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกตินะ  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคือเมื่อไหร่แต่ก็ไม่น่าจะทันทีในเดือนสองเดือนนี้เพราะภาคธุรกิจบางอันอย่างการท่องเที่ยวก็ยังไม่ฟื้น  แต่สมมติธุรกิจฟื้นเร็วกว่าคาด  ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า fed จะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ย  แต่นั่นแปลว่าตลาดหุ้นน่าจะต้องตกหรือเปล่า  ก็เป็นไปได้แต่ถ้าหุ้นจะตกผมก็ว่ามันน่าจะตกในธุรกิจกลุ่มที่ขึ้นไปเยอะมากก่อนหน้านี้มากกว่า  ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นอย่างท่องเที่ยวก็ไม่น่าจะตกอะไรได้เยอะแยะในเมื่อตัวบริษัทกำลังทำได้ดีขึ้นทั้งกลุ่ม

ตลาดหุ้นอื่นๆนอกจากไทย

ก็ไม่ได้มีมุมมองอะไรเป็นพิเศษ  แต่ที่แน่ๆคือพวกประเทศที่เริ่มฉีดวัคซีนไปได้เยอะก็น่าจะทำได้ดี  หุ้นกลุ่มที่ช่วงก่อนโดนโควิดซะเละก็น่าจะเริ่มฟื้นในประเทศพวกน้ัน

ถ้าเราตามข่าวเราจะเห็นว่า US ก็เปิดให้คนในประเทศเดินทางไปมาได้แล้ว  ไม่ต้องใส่หน้ากากแล้วด้วย  และเปิดให้คนนอกประเทศเข้ามาได้ยกเว้น 35 ประเทศที่อยู่ใน list ระบาดเยอะ  ส่วนยุโรปเองตัวเลขการจองตั๋วเครื่องบินเดินทางพวกนี้ก็สูงขึ้นเแล้วด้วย  สายการบินเริ่มเพิ่มเที่ยวบิน

แน่นอนความเสี่ยงเรื่องโควิดสายพันธุ์ใหม่ก็ยังมีอยู่นะ  อาจจะโผล่พรวดมาก็ได้  แต่เท่าที่เราเห็นในเวลานี้ก็สถานการณ์ดีกว่าต้นปีชัดเจน

ลงทุนไงต่อดี

ถ้าเป็นผมก็เหมือนเดิม  คือจะซื้อบริษัทที่โดนโควิดจังๆแล้วน่าจะรอด  พวกที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว, การเดินทาง, โรงเรียน, โรงแรม, ห้าง, ฯลฯ  แล้วแต่ว่าหาอะไรเข้าท่าที่ราคายังไม่ฟื้นได้  โดยโฟกัสไปที่ประเทศที่กำลังจะฟื้นก่อนอย่าง US, UK, ยุโรป  ลงทุนไว้อย่างน้อยจนกว่าธุรกิจจะฟื้นจากโควิด

หลังจากนั้นพอธุรกิจในประเทศพวกนั้นฟื้นแล้ว  แนวโน้มคือราคาหุ้นก็จะฟื้นด้วย  พอเป็นแบบนั้นผมก็จะพิจารณาขายและย้ายเงินลงทุนมายังประเทศที่ยังไม่ฟื้นต่อแต่กำลังเริ่มฉีดวัคซีนแล้ว  อย่างเช่นไทย, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ฯลฯ  โดยมองหาหุ้นธุรกิจคล้ายๆกันแล้วก็ทำแบบเดิม

สรุปคือถ้าเป็นผม  ผมจะฉวยโอกาสจากโควิดให้เต็มที่  และฉวยโอกาสจากการที่มันฟื้นไม่พร้อมกันให้เป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุดน่ะครับ

ตลาดหุ้นฟื้นกันขึ้นมาแล้ว  ยังหาโอกาสได้อยู่เหรอ

ได้ชัวร์  เพราะผมยังเห็นอยู่  ที่บ่นหาไม่ได้นี่ไม่ใช่ปัญหาของตลาดละ  ปัญหามันอยู่ที่คุณนี่แหละไม่พยายามหาเอง  เอาตรงๆผมว่าช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีมากนะ  อาจไม่ดีเท่าต้นปีที่แล้วตอนตลาดตกหนักๆเพราะเราจะซื้อได้ถูกมาก  แต่ก็ถือว่าดีมากแล้วเพราะสถานการณ์ชัดเจนขึ้นเยอะความเสี่ยงน้อยลงเยอะ  ถ้าใครจะขี้เกียจตอนนี้ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

แนะนำหนังสือเรื่องการอ่านงบการเงิน

Book recommend: book on financial statements

แนะนำหนังสือเรื่องการอ่านงบการเงิน

เรื่องนี้เอาจริงๆผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  คือพอดีผมเรียนตรงสายก็เลยเรียนพื้นฐานบัญชีกับพวกงบการเงินมาตั้งแต่ป.ตรี  แล้วก็มาสอบ CFA ซึ่ง CFA 1, 2 ก็มีเรื่องบัญชี  มันเลยเหมือนอ่านและเรียนหลายครั้งจาหนังสือหลายเล่ม

หลักๆแล้วผมมองว่าความเข้าใจที่เราต้องมีก็คือเรื่องหลักการบันทึกบัญชีเบื้องต้น  เข้าใจงบหลักอย่างงบกำไรขาดทุน, งบแสดงสถานะทางการเงินแล้วก็งบกระแสเงินสด  เข้าใจว่ามันสื่ออะไร  โครงมันเป็นยังไง  รู้จักรายการหลักๆบนนั้น  เข้าใจว่างบการเงินแต่ละเรื่องมันสัมพันธ์กันยังไง  แล้วก็เข้าใจความหมายของอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ  ประมาณนี้ก็น่าจะใช้ได้ละ

หนังสือที่ผมเคยอ่านหรือคิดว่าเคยอ่านก็จะมี

  • ซีรี่ส์ For Dummies  จำไม่ได้ว่าเล่มไหน  น่าจะ Accounting for Dummies นะ  แต่อ่านเล่มที่ชื่อ Financial Accounting for Dummies น่าจะตรงประเด็นกว่า

  • Warren Buffett and the Interpretation of Financial Statements  เล่มนี้ก็เคยอ่านแน่นอน  แต่เล่มนี้ไม่ใช่พื้นฐานบัญชีนะ  ถ้าจำไม่ผิดมันสำหรับคนเข้าใจบ้างอยู่แล้ว  หนังสือเค้า Highlight รายการที่สำคัญแล้วพูดถึงอัตราส่วนทางการเงินเพิ่มเติม

  • เล่มที่เป็นการ์ตูนที่จำได้จะมีของ Tactschool  คือเล่มนี้มาอ่านตอนหลังมากก็เลยรู้อยู่แล้วทั้งหมด  จำไม่ได้เลยว่าเนื้อหามีอะไรบ้าง  แต่จำได้ว่าดีนะ  เคยซื้อเป็นของขวัญปีใหม่ให้พี่ๆที่ทำงาน  ดังนั้นก็เลยคิดว่าดี

  • นอกนั้นที่เหลือจะเป็นหนังสือเรียนตอนป.ตรีกับหนังสือของ CFA 1 ละ

ประมาณนี้แหละครับ  ส่วนใครที่ถามเกี่ยวกับหนังสือเล่มอื่นๆว่าดีมั้ยนู่นนี่  คือผมไม่เคยอ่านดังนั้นผมไม่รู้และไม่มีความเห็นครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

สำหรับเป้าหมายระยะสั้น 1-2 ปี ลงทุนหุ้นยังไงดี ?

What about investing for short-term goals ?

สำหรับเป้าหมายระยะสั้น 1-2 ปี ลงทุนหุ้นยังไงดี ?

มีคนบอกว่าเวลาฟังคนพูดเรื่องการลงทุนในหุ้น  ส่วนใหญ่จะได้ยินพูดถึงแต่เป้าหมายระยะยาวเช่นการเกษียณหรือไม่ก็ 10 ปีผ่านไปอะไรประมาณนั้น  แล้วถ้าเกิดเป็นเป้าหมายระยะสั้นล่ะจะลงทุนในหุ้นยังไง  ต้องปรับกลยุทธ์มาลงทุนระยะสั้นหรือเปล่า

เปลี่ยนวิธีลงทุนหรือกลยุทธ์ไม่ช่วยครับ  ลงทุนหุ้นแบบระยะสั้นก็ใช่ว่าจะชัวร์หรือกำไรแน่นอน  วิธีการลงทุนในหุ้นผมยืนยันเหมือนเดิมคือซื้อบริษัทที่ดีและซื้อให้ได้ราคาถูกนี่ถูกต้องแล้ว  ทำวิธีเดิมครับ  สิ่งที่เปลี่ยนคงจะเป็นว่าถ้าระยะเวลามันสั้นมากก็ไม่ต้องลงทุนในหุ้นเลยมากกว่า

คือหลักๆผมว่ามันอยู่ที่ความซีเรียสของเป้าหมายที่ว่านั่นครับ  ถ้ามันเป็นเป้าหมายซีเรียสแล้วมันอีกไม่กี่ปีกำลังจะต้องใช้เงิน  งั้นก็อย่าลงทุนในหุ้นดีกว่า  ซึ่งในที่นี้รวมถึงกองทุนที่ลงทุนในหุ้นด้วยนะ  เพราะถึงแม้ผมจะเชื่อว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องดีนะ  แต่ในระยะสั้น 1-2 ปีนี่มันอะไรก็เกิดขึ้นได้  อย่างเกิดโควิดอย่างเนี้ย  ดังนั้นถ้ามันกำลังจะมีเรื่องซีเรียสต้องใช้เงินในเวลาอันสั้นอย่าลงทุนในหุ้น  ลงทุนในอะไรที่เน้นปลอดภัยชัวร์เกือบ 100% ว่าเงินจะไม่เสียหายไปดีกว่าเช่นเงินฝากประจำ, พันธบัตรรัฐบาลพวกนี้

แต่ถ้าสมมติเป้าหมายระยะสั้นที่ว่ามันยาวกว่า 1-2 ปีเช่นซัก 5-6 ปี  แบบนี้ผมก็คิดว่าควรจะลงทุนในหุ้นบ้างครับ  เพราะถ้าจะลงทุนแต่พวกเน้นปลอดภัยมันก็จะผลตอบแทนต่ำมาก  การมีลงทุนในหุ้นบ้างผมว่าดีกว่าเพราะมันจะได้มีผลตอบแทนสูงหน่อยมาช่วยบ้าง  และระยะเวลา 5-6 ปีนานพอที่จะข้ามปัญหาในกรณีที่เกิดตลาดตกหรืออะไรขึ้นมา  อาจจะใช้วิธีการถือหุ้นน้อยลงเมื่อจำนวนปีเหลือน้อยๆอันนี้แล้วแต่  แต่คิดว่ามีหุ้นบ้างดี

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ปัจจุบันโลกเปลี่ยนเร็ว การมองไปในอนาคต 3-5 ปี ยังใช้ได้อยู่มั้ย ?

Now that the world is changing fast, is looking at stocks long-term still relevant?

ปัจจุบันโลกเปลี่ยนเร็ว การมองไปในอนาคต 3-5 ปี ยังใช้ได้อยู่มั้ย ?

มีคนถามขึ้นมาว่าปัจจุบันโลกเปลี่ยนเร็วมาก  วิธีการลงทุนที่บอกว่ามองไปในอนาคต 5 ปีมันยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า

ผมเห็นด้วยว่าเดี๋ยวนี้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็ว  และก็เข้าใจความกังวลของคนถามว่าถ้ามันเปลี่ยนแปลงเร็วงั้นการมองไปอนาคต 5 ปีมันก็ไม่แม่นอยู่แล้วหรือเปล่า  ถ้ามันยังไงก็ไม่แม่นงั้นควรมองสั้นกว่านั้นมั้ย  โดยส่วนตัวผมก็ยังเชื่อว่าเวลาลงทุนเราควรจะพยายามมองไปในอนาคตซัก 3-5 ปีอยู่  แล้วก็อาศัยการคอยดูอย่างใกล้ชิดว่ามันเป็นไปตามคาดมั้ยเอาครับ

  1. ทำให้มองข้ามปัญหาชั่วคราวได้ง่ายขึ้น  ไม่ตกใจง่ายเกินไป
  2. จริงอยู่ที่เราไม่มีทางเดาอนาคตได้แม่น  แต่โชคดีที่เราก็ไม่ได้จำเป็นต้องเป๊ะขนาดนั้น  สิ่งที่เราต้องการคือแค่ทิศทางคร่าวๆ  เราอยากรู้ว่ามันจะยังทำได้ดีขึ้นหรืออย่างน้อยใกล้เคียงเดิมหรือเปล่าเท่านั้นเอง  แล้วมันสอดคล้องกับราคาตอนนี้มั้ย
  3. เป็นการบังคับให้เรามองหาจุดเด่นสำคัญของบริษัท  และเมื่อเราเข้าใจสิ่งที่เป็นจุดเด่นสำคัญเหล่านั้นแล้ว  มันจะทำให้เราติดตามสถานการณ์ของบริษัทได้ง่ายขึ้น  เราจะรู้ว่าต้องสังเกตอะไร

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ทำไมกูรูหุ้นแต่ละคน แนะนำไม่เหมือนกัน ??

Why different stock gurus recommend differently ??

ทำไมกูรูหุ้นแต่ละคน แนะนำไม่เหมือนกัน ??

เป็นอะไรที่ก็สมควรงงอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เพิ่มเริ่มศึกษา  สาเหตุที่คนแนะนำไม่เหมือนกันไม่ใช่เพราะว่าคนนึงถูกอีกคนผิดนะ หลักๆแล้วเป็นเพราะเค้ามาจากพื้นฐานความเชื่อคนละแบบและวัตถุประสงค์ในการลงทุนไม่เหมือนกันครับ

โดยไอเดียแล้วนักลงทุนในตลาดจัดกลุ่มออกมาจะพบว่ามาจาก 3 พื้นฐานความเชื่อหลักๆครับ

  1. กลุ่มพื้นฐาน
  2. พื้นฐานความเชื่อ  หุ้นมันคือธุรกิจ  จะช้าหรือเร็วสุดท้ายราคาหุ้นในตลาดก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการที่ทำได้และคาดว่าจะทำได้ในอนาคตของบริษัทนั้นๆ

    กลยุทธ์คืออะไร  พยายามประมาณการผลประกอบการในอนาคตด้วยการศึกษาธุรกิจและงบการเงิน  หลังจากนั้นสรุปให้ได้ว่ามูลค่าที่มองว่าเหมาะสมของหุ้นนั้นอ้างอิงจากผลประกอบการในอนาคตที่คาดการณ์ไว้คือเท่าไหร่  แล้วซื้อหุ้นถ้าราคา ณ ปัจจุบันต่ำกว่าราคาที่มองว่าเหมาะสมพอสมควร

    เน้นดูอะไร  ธุรกิจทำอะไร, แนวโน้มธุรกิจ, หนี้สินเยอะมั้ย, อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้, ROE, P/E, มูลค่ายุติธรรม, ฯลฯ

    เป้าหมายคืออะไร  คาดหวังกำไรระยะยาวหน่อยเพราะต้องใช้เวลากว่าราคาในตลาดจะกลับมาหาราคาที่เหมาะสม  บางครั้งใช้เวลาหลายปี คาดหวังกำไรจากทั้งปันผลและราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น อาจจะถือยาวไปเรื่อยแม้ว่าราคาหุ้นกลับขึ้นมาแล้วเพราะธุรกิจถ้าทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆทั้งปันผลและราคาหุ้นก็จะดีขึ้นตาม

  3. กลุ่มเทคนิค
  4. พื้นฐานความเชื่อ  การอ่านงบการเงินไม่ช่วยอะไรเพราะคนอื่นก็อ่านได้เหมือนกัน  ราคาหุ้นมันสะท้อนข้อมูลทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับบริษัทนั้นๆอยู่แล้ว  สุดท้ายราคาหุ้นขึ้นอยู่กับความต้องการของคนในตลาดอยู่ดี

    กลยุทธ์คืออะไร  พยายามคาดเดาพฤติกรรมของคนในตลาด  เชื่อว่าคนเรามักจะมีพฤติกรรมเป็นรูปแบบเดิมๆดังนั้นจะมีรูปแบบที่สังเกตและเอามาใช้ประโยชน์ได้  ถ้าเดาได้ว่าคนอื่นในตลาดจะทำอะไรแล้วขยับเร็วเพียงพอก็จะทำกำไรได้

    เน้นดูอะไร  การเคลื่อนไหวของราคา, ปริมาณการซื้อขาย, แนวรับ, แนวต้าน, ฯลฯ

    เป้าหมายคืออะไร  คาดหวังกำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก  ส่วนใหญ่แล้วคาดหวังผลในระยะเวลาไม่นาน ภายใน 1 วันก็มี  และส่วนใหญ่นานที่สุดก็ไม่เกิน 1 ปี จะขายเมื่อมีสัญญาณทางเทคนิคที่บ่งชี้ว่าได้เวลาขาย

     

  5. กลุ่มเฉลี่ย
  6. พื้นฐานความเชื่อ  ไม่มีใครคาดเดาตลาดได้จริงๆหรอก  ตลาดเป็น random walk ที่เห็นมีคนทำได้ดีนี่มันคือเป็นส่วนน้อยมากหรือก็คือฟลุค  และดังนั้นอย่าไปเสียเวลานั่งเดา

    กลยุทธ์คืออะไร  ลงทุนในหุ้นแบบกระจาย  ไม่พยายามเลือกหรือเดาจังหวะเข้าซื้ออะไรทั้งนั้นไม่สนใจอารมณ์ตลาด

    เน้นดูอะไร  อย่างมากคือเลือกว่าจะลงทุนแบบกระจายในหุ้นอะไรบ้าง

    เป้าหมายคืออะไร  ให้กำไรได้เท่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของหุ้นที่ลงทุนไป  ลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นอย่างพวกค่าธรรมเนียม โดยปกติแล้วก็คาดหวังผลระยะยาว

 

จะเห็นว่า 3 ไอเดียนี้มันมีพื้นฐานความเชื่อไม่เหมือนกัน  ดังนั้นมันก็เลยทำให้เวลาเค้าพูดเรื่องหุ้นมันถึงฟังเหมือนแนะนำไปคนละทิศคนละทางให้เหตุผลคนละแบบ  ผมแนะนำให้เราตัดสินใจให้เรียบร้อยก่อนว่าเราลึกๆแล้วเห็นด้วยไปในทิศทางไหนก่อนไม่งั้นมันจะงงมาก

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

มีหุ้นอะไรให้ปันผล (Dividend Yield) เกิน 5% บ้าง ??

Where can I find stocks with above 5% dividend yield ??

มีหุ้นอะไรให้ปันผล (Dividend Yield) เกิน 5% บ้าง ??

หัวข้อวันนี้ต่อเนื่องจากที่เราเคยทำวีดิโออธิบายวิธีการเลือกหุ้นปันผลไป  (ถ้าใครไม่เคยดูหัวข้อวิธีเลือกหุ้นปันผล ดูได้ที่ https://youtu.be/KsC0Q-8HIC4)

มีคนถามเข้ามาว่า “ตอนนี้มีหุ้นตัวไหน Dividend yield เกิน 5% บ้างครับ ?”  ซึ่งถ้าจะตอบตรงคำถามว่ามีหุ้น A, B, C, … มันก็จะไม่จบเพราะเดี๋ยวผ่านไปสามเดือนก็จะต้องมีถามคำถามเดิมใหม่  ดังนั้นผมเปลี่ยนวิธีตอบคำถามนิดนึงและยกระดับคำตอบขึ้นไปอีกระดับคือในวีดิโอนี้เดี๋ยวผมจะบอกวิธีว่าเราจะหารายชื่อหุ้นอะไรให้ปันผลเกิน 5% ดีกว่าครับ

ผมแนะนำให้ใช้ลิ้งค์นี้ของ morningstarthailand.com ครับ  http://tools.morningstarthailand.com/th/stockquickrank/default.aspx?Site=th

เข้าไปปุ๊บง่ายมาก  กดตรง Dividend Yield ให้มันเรียงหุ้นทั้งหมดจาก Dividend Yield มากไปหาน้อย  จบละครับ

ที่เหลือก็คือเลือกจากบนนี้ว่ามีบริษัทไหนที่กิจการเข้มแข็งและเรามั่นใจว่าจะยังทำได้ดีสม่ำเสมอต่อไปในอนาคตบ้าง  เพราะอย่าลืมว่าบริษัทจะจ่ายปันผลได้มันต้องมีกำไรก่อน ตัวเลข Dividend Yield ที่เห็นคือเค้าเทียบปันผลที่เคยจ่ายไปแล้วล่าสุดกับราคาตอนนี้  ไม่ได้แปลว่ามันจะปันผลเท่านี้ต่อไปในอนาคต อย่าเลือกโดยดู Dividend Yield อย่างเดียว

เรียบร้อยครับ  สรุปคำตอบของคำถามนี้คือ  คุณไปดูเอาเอง และวิธีดูผมก็อธิบายไปเรียบร้อยแล้ว

 

 
ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Discounted Cash Flow (DCF) : ตอน 3 Discounted FCFF

Discounted Cash Flow (DCF) : Part 3 Discounted FCFF

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Discounted Cash Flow (DCF) : ตอน 3 Discounted FCFF

มีคนถามผมว่า “Free Cash Flow to the Firm คืออะไร? แตกต่างจาก Free Cash Flow to Equity และ Discounted Dividend อย่างไร?”

วันนี้ผมเลยมาทำวีดิโอ อธิบายถึง Free Cash Flow to the Firm (FCFF) ว่ามีจุดเด่น จุดด้อย และวิธีการคำนวณอย่างไร เพื่อให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้กันครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg