ตั้งใจจะลงทุนระยะยาว แต่ก็เผลอตกใจระยะสั้น ทำไงดี ?

How to stay focused on the long term?

ตั้งใจจะลงทุนระยะยาว แต่ก็เผลอตกใจระยะสั้น ทำไงดี ?

มีนักเรียนเราบางคนสารภาพนะครับว่า เข้าใจแหละว่าการลงทุนมันเป็นเกมระยะยาวและคนมองระยะยาวได้เปรียบ ทฤษฎีน่ะเข้าใจ แต่ทำจริงรู้สึกทำยาก บางทีก็ยังมีเผลอมองระยะสั้นหรือเผลอตื่นเต้นกับราคาหุ้นขึ้นลงรายวันอยู่ มีวิธีอะไรมั้ย

พูดตามตรง เรื่องนี้มันเป็นอะไรที่ต้องฝึกหัดน่ะครับ การที่เราจะเผลอมองระยะสั้นหรือติดตามราคาหุ้นตัวเองมันธรรมชาตินะ บวกกับในหนึ่งวันเราจะโดน bombard ด้วยข้อมูลข่าวเรื่องนู้นเรื่องนี้ที่ทั้งหมดแทบจะเป็นเรื่องระยะสั้นหมด ดังนั้นเราจะมีหลุดลืมมุมมองระยะยาวไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ผมแนะนำสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะช่วยได้ดังนี้
1. เวลาดูกราฟราคา ดูช่วงยาว 10 ปีจะช่วยได้
เพราะหลายครั้งพอดูช่วงสั้นๆ มันจะเหมือนการขยับของราคามัน dramatic เหลือเกิน แต่เอาเข้าจริงมองช่วงยาวๆเราจะพบว่ามันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ เช่น



2. หยุดรับข่าวสารพวกราคาหุ้นวันนี้หรืออะไรพวกนั้น
พวกข่าวด่วน, Breaking News กับข่าวรายวันที่พูดถึงหุ้นขึ้นลงอะไรเท่าไหร่ มันเป็นธรรมชาติที่เค้าต้องพยายามพูดให้มันดูมีเรื่องราวมีอะไรอยู่ตลอดน่ะครับ ถ้าเราเผลอไปฟังมากๆเราก็จะรู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหว ต้องทำอะไรซักอย่างตลอดเวลา การจะรักษาความนิ่งของการลงทุนระยะยาวมันก็จะทำได้ยาก ถ้าเราเลิกฟังเรื่องพวกนี้มันก็จะช่วยได้มาก อย่าลืมว่าในระยะยาวแล้วผลประกอบการของบริษัทสำคัญสุด การที่ราคามันจะขึ้นหรือลงในช่วงสั้นๆ หรือมีเหตุทำให้คนตกใจในช่วงระยะเวลาสั้นๆ มันไม่ได้มีผลอะไรกับตัวบริษัทน่ะครับ

3. เอาเวลาไปอ่านรายงานไตรมาสล่าสุดของบริษัทแทน
แล้วคำถามคือ ถ้าไม่รับข่าวสารเรื่องการลงทุน งั้นเอาข่าวสารเรื่องอะไรแทน ผมแนะนำให้อ่าน Quarterly report ก็ได้ครับ อ่านไตรมาสล่าสุดว่าบริษัทเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะรู้สึกมีความเข้าใจใกล้ชิดสิ่งที่บริษัททำอยู่มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เรามองระยะยาวได้ง่ายขึ้น ไม่ค่อยตกใจ เพราะเรารู้ว่าบริษัทเราเป็นไงอยู่ มีปัจจัยอะไรที่เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวบ้าง และดังนั้นถ้ามีเรื่องอะไรโผล่มากระทบราคาหุ้นแต่ดูไม่เกี่ยวอะไรกับธุรกิจของบริษัท เราก็จะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่

4. ฟังความเห็นเฉพาะพวกนักลงทุนที่เป็นระยะยาว Warren Buffett หรือคนอื่น
สุดท้ายคือ ถ้าเราจะต้องฟังความเห็นของนักลงทุนท่านอื่น เพราะเรารู้สึกยังไม่มั่นใจหรืออะไรก็แล้วแต่ พยายามฟังคนที่มันเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือคนที่มองเกมยาวครับ เช่น Warren Buffett หรือ Howard Marks พวกนี้ ถ้าเราไปฟังนักลงทุนหรือใครที่มันเป็นสายระยะสั้น เค้าก็จะพูดสิ่งที่สำคัญสำหรับเค้าซึ่งคือระยะสั้น แล้วก็จะทำให้เขวไปเปล่าๆครับ ต่อให้มันเป็นเพื่อนเราก็เลิกฟังเค้าซะ

เท่าที่นึกออกก็ประมาณนี้นะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ซื้อหุ้นแบบทยอยซื้อ หรือแบบรวดเดียวไปเลย ดีกว่ากัน ?

Should I buy stocks periodically or rather a big one time buy ?

ซื้อหุ้นแบบทยอยซื้อ หรือแบบรวดเดียวไปเลย ดีกว่ากัน ?

มีคนถามว่าเค้ามีเงินลงทุนอยู่ก้อนนึง  อยากจะเอามาลงทุนในหุ้นระยะยาวไม่ได้กะซื้อขายบ่อยๆ  ควรจะทยอยลงทุนซื้อทีละหน่อยแบบ DCA หรือลงทุนแบบซื้อเยอะๆทีเดียวเลยดี

เอาจริงๆผมว่าอันนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องมากังวลหรือคิดอะไรมากเกินไป  ยังไงก็ได้แหละครับ

ถ้าเอาตามวิชาการจริงๆเลยนะ  ควรลงแบบรวดเดียวหรืออย่างน้อยถ้าจะทยอยก็ไม่ควรจะยืดยาวใช้ระยะเวลานาน  สาเหตุเพราะโดยเฉลี่ยภาพรวมตลาดหุ้นเป็นทิศทางขาขึ้นมากกว่าขาลง  ดังนั้นการลงทุนยิ่งเร็วก็จะยิ่งทำให้เงินเราไปอยู่ในหุ้นเร็วขึ้นได้ประโยชน์จากการที่ตลาดโดยรวมสูงขึ้น  และโดยเปรียบเทียบแล้วผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นก็ดีกว่าการถือเงินสดหรือเงินฝากด้วย

แต่การทยอยซื้อแบบ DCA ก็มีข้อดีในเรื่องความสบายใจครับ  ตรงที่มันลดความเสี่ยงกรณีที่ตอนที่เราเริ่มซื้อหลังจากนั้นตลาดมันตกพอดี  ลดความเสี่ยงที่เราจะมาเสียดายทีหลังเวลาตลาดตกว่ารู้งี้รอดีกว่าอะไรประมาณนั้น  การทยอยซื้อมันก็จะเฉลี่ยๆไปซื้อตอนตลาดขึ้นบ้างลงบ้าง  แต่โดยรวมมันจะห่วยกว่าซื้อรวดเดียวเพราะตลาดโดยเฉลี่ยภาพรวมมันเป็นขาขึ้นไง  มันไม่ใช่ขึ้นหรือลง 50-50  ดังนั้นการ DCA ก็มักจะทำให้ได้ซื้อมาแพงมากกว่าที่จะได้ซื้อมาถูก

สรุปคือเอาที่เราสบายใจแหละ  ยังไงก็ได้  ถ้าเอาตามหลักการก็ซื้อรวดเดียวโดยเฉลี่ยผลลัพธ์ดีกว่า  แต่ถ้ากลัวจะเสียดายก็ซื้อเฉลี่ยครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อัตราส่วนทางการเงินอันไหนสำคัญสุด ?

Most important financial ratios

อัตราส่วนทางการเงินอันไหนสำคัญสุด ?

มีคนถามว่าอัตราส่วนทางการเงินอันไหนสำคัญสุด  ต้องดูอันไหนบ้าง  รู้สึกมันมีเยอะไปหมด  ในวีดิโอนี้ผมพูดถึงอันที่ผมมองว่าสำคัญสุดละกัน  โดยเราจะพูดถึงสำคัญ 3 อันดับแรกนะ  เพราะถ้าพูดถึงเยอะกว่านั้นมันก็จะปัญหาเดิมคือรู้สึกมันมีเยอะไปหมด

1. Return on Equity

อันนี้สำคัญสุดละ  เพราะอัตราส่วนนี้สื่อว่าเงินของผู้ถือหุ้นทุกๆ 100 บาทที่บริษัทเก็บไว้เอาไปทำให้เกิดกำไรได้กี่บาท  อัตราส่วนนี้ยิ่งเยอะยิ่งดีเป็นธรรมดา  ตัวเลขนี้อาจจะสูงได้ด้วยการที่บริษัทจ่ายปันผลออกมาเยอะๆทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเล็กก็เป็นไปได้  กรณีแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าบริษัทแย่นะแค่ว่าไม่ได้แปลว่าดีมากเฉยๆ

2. Net Profit Margin

Net Profit Margin คือสื่อว่าจากทุกรายได้ 100 บาทที่บริษัททำได้  เมื่อหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วเหลือกี่บาท  ตัวเลขนี้มันต่างกันแล้วแต่ลักษณะธุรกิจ  ผมให้ความสำคัญกับความสม่ำเสมอมากกว่า  กับดูว่ามันไม่ต่ำจนไม่สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจ

3. Interest Coverage

อัตราส่วนนี้มันก็อยู่ในหมวด liquidity ratio  วัตถุประสงค์คือไว้ดูว่าบริษัทน่าจะจ่ายหนี้ได้มั้ย  ที่ผมนิยมใช้คือ EBIT/Interest expense  ผมไม่นิยมใช้ EBITDA/Interest expense  สิ่งที่อัตราส่วนนี้สื่อคือกำไรจากการดำเนินงานเป็นกี่เท่าของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย  ถ้ากำไรจากการดำเนินงานเป็นหลายเท่าของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย  ก็แปลว่าน่าจะสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้  ก็คือเสี่ยงน้อย  ดังนั้นอัตราส่วนนี้ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี

สามอันนี้ส่วนตัวผมว่าสำคัญสุดครับ  ไม่ใช่บอกว่าอันอื่นไม่สำคัญนะ  แค่บอกว่าสามอันนี้สำคัญสุด  เป็นอันที่ยังไงผมต้องดูแน่ๆ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ถือหุ้นปันผลยาวไปตลอดเลยได้มั้ย ?

Should I hold dividend stocks forever

ถือหุ้นปันผลยาวไปตลอดเลยได้มั้ย ?

ส่วนตัวผมก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหนนะ  ควรหรือไม่นี่น่าจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์  ถ้าอยากถือยาวไปตลอดเพื่อเอาปันผลก็ทำได้ครับ

แต่ทีนี้ถึงแม้ว่าเราจะตั้งใจถือยาวไปตลอดไม่ขาย  ไม่ได้แปลว่าเราไม่ต้องคอยติดตามดูเลยนะ  เพราะหุ้นบริษัทที่เข้มแข็งทำได้ดีอยู่วันนี้ไม่ได้แปลว่ามันจะดีตลอดไป  ถึงจุดหนึ่งบริษัทอาจจะมีคู่แข่งสำคัญโผล่เข้ามาหรือเริ่มตกยุคไปเพราะมีสินค้าบริการที่ดีกว่าหรือเพราะพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป  เราก็ต้องรู้ให้ทันเพราะเราอาจจำเป็นต้องขายออกมา

โดยรวมแล้วแนะนำว่าคอยติดตามดู

  • ปีละครั้งประมาณเดือนเมษายน  ผลประกอบการของปีก่อนทั้งปีจะออกไปแล้ว
  • ตัวธุรกิจที่บริษัททำยังทำได้ดีอยู่ใช่มั้ย
  • สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงที่กระทบกับเรื่องที่ทำให้บริษัทเข้มแข็งหรือเปล่า

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ลงทุนระยะยาว ยิ่งถือยาว ยิ่งดีหรือเปล่า ?

Holding period is forever ?

ลงทุนระยะยาว ยิ่งถือยาว ยิ่งดีหรือเปล่า ?

เร็วๆนี้มีคนถามว่าเราควรจะถือหุ้นยาวไปตลอดแบบไม่ขายเลยมั้ย  เพราะเค้าเคยได้ยินว่า Warren Buffett บอกว่า “our favorite holding period is forever”

คำตอบของผมคือจะทำแบบนั้นก็ได้  แต่จริงๆแล้วไม่ได้จำเป็น

เอาเรื่อง Warren Buffett ก่อน  เพราะแต่ก่อนผมก็เคยงงจากคำพูดอันนี้ของเค้าเหมือนกัน

  1. จริงๆแล้ว Warren Buffett มีการขายหุ้น
  2. Warren Buffett เคยออกมาอธิบายแล้วว่าบริษัท Berkshire Hathaway ไม่ได้บอกว่าจะต้องถือหุ้นตลอดไป  เค้าแค่บอกว่าไม่มีความคิดที่จะขายบริษัทที่ทำได้ดีและลังเลมากที่จะขายบริษัทที่ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ตราบใดที่เค้าคาดว่ามันจะอย่างน้อยสามารถที่จะสร้างกระแสเงินสดได้อยู่

  3. คน US มี Capital Gain tax  แต่คนไทยไม่มี
  4. สาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ Warren Buffett ไม่นิยมขายหุ้นผมคิดว่าเป็นเพราะมันโดนภาษี  ซึ่งสูงถึง 15-20%  ดังนั้นถ้าไม่ใช่ว่าดูแล้วขายออกมาเอาไปลงทุนในอย่างอื่นคุ้มกว่ากันมากจริงๆ  มันก็ไม่คุ้มที่จะขายออกมาตราบใดที่บริษัทยังทำได้พอใช้ได้

    แต่ประเทศไทยไม่มี Capital Gain tax  ดังนั้นมันก็จะคุ้มถ้าขายออกมาแล้วสามารถเอาเงินไปลงทุนในอย่างอื่นที่ผลตอบแทนดีกว่า  ดีกว่าแค่นิดเดียวก็ดีกว่าละเพราะตอนขายเราไม่เสียอะไร

 

ดังนั้นในมุมมองผมการจะถือยาวๆไปเลยมันก็เป็นเรื่องดี  ถ้า

  1. บริษัทยังทำได้ดีอยู่  เราก็ไม่รู้จะขายออกมาทำไมให้พลาดโอกาส
  2. เราขี้เกียจหาโอกาสอื่น

 

แต่ก็อย่างที่บอกว่าไม่ได้จำเป็นต้องถือยาวไปตลอดถ้า

  1. บริษัทดูมีแววจะทำได้เลวร้ายลง
  2. เห็นโอกาสอื่นที่คิดว่าน่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าถือต่อพอสมควร

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

แบบทดสอบ : คุณเป็น VI แค่ไหน ?

Quiz : How Much VI are You ?

แบบทดสอบ : คุณเป็น VI แค่ไหน ?

เร็วๆนี้ผมไปทำ Quiz ของ Schroders บริษัทบริหารจัดการลงทุนในอังกฤษแล้วรู้สึกว่าสนุกดีก็เลยแปลบางส่วนมาให้ลองทำดูครับ

  1. สำหรับนักลงทุนสาย VI “ความเสี่ยง” สอดคล้องกับข้อใดต่อไปนี้ ?
    • ความผันผวนคือความเสี่ยง
    • หุ้นที่ราคาถูกมีความเสี่ยงสูงเสมอ
    • ความเสี่ยงคือโอกาสที่จะสูญเสียเงินต้นอย่างถาวร
  2. ถ้าอิงตามที่เรียนมาในห้องเรียน “ความเสี่ยง” มันจะวัดด้วยความผันผวน  แต่สำหรับนักลงทุนสาย VI แล้ว “ความเสี่ยง” คือโอกาสที่จะสูญเสียเงินต้นอย่างถาวรต่างหาก  โดยปกติแล้วมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ที่เราเห็นราคามีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วในระยะสั้นมันเป็นตัวบ่งชี้ถึงอารมณ์ของคนในตลาดมากกว่า  ที่จริงแล้วความผันผวนเป็นสิ่งที่สร้างโอกาสให้กับนักลงทุนระยะยาวด้วยซ้ำ
     

  3. เวลาตัดสินใจลงทุนในหุ้น  นักลงทุนสาย VI มองระยะยาวแค่ไหน
    • 1 เดือน
    • 1 ปี
    • 3-5 ปี
  4. การลงทุนในหุ้นแบบ VI คือมองหาหุ้นที่ราคาตอนนี้ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง  ซึ่งโดยปกติมันต้องใช้เวลานานหน่อยกว่าตลาดจะเริ่มมองเห็นมูลค่าของบริษัทและราคาหุ้นเริ่มสูงขึ้นมาหามูลค่าที่แท้จริง
     

  5. ปัจจัยอะไรสำคัญต่อผลตอบแทนการลงทุนที่สุด
    • ราคาที่ซื้อ
    • โอกาสการเติบโตของบริษัท
    • สภาพเศรษฐกิจ
  6. ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุนมากที่สุดคือราคาที่ซื้อ  โอกาสการเติบโตของบริษัทกับสภาพเศรษฐกิจมันเป็นเรื่องที่นักลงทุนควบคุมไม่ได้  และต่อให้โอกาสการเติบโตของบริษัทไม่สูงกับสภาพเศรษฐกิจไม่ดีแต่ถ้าได้ซื้อในราคาที่ต่ำเพียงพอมันก็ยังเป็นการลงทุนที่ดีในระยะยาวได้
     

  7. เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ยสำคัญแค่ไหน
    • สำคัญเพราะปัจจัยพวกนี้เกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจ
    • อัตราดอกเบี้ยสำคัญ  เงินเฟ้อไม่สำคัญ
    • ไม่สำคัญทั้งคู่
  8. ทั้งสองปัจจัยเป็นอะไรที่เราไม่สามารถรู้อะไรล่วงหน้าได้  การไปคิดถึงมันไม่เกิดประโยชน์อะไรและการตัดสินใจลงทุนของเราไม่ควรให้ปัจจัยพวกนี้มามีผลกระทบ
     

  9. บริษัทปรับคาดการณ์ผลประกอบการลง -10%  ราคาหุ้นของบริษัทเลยตกไป -30% สิ่งที่เราควรทำคือ …
    • ซื้อหุ้นทันทีเพื่อให้ได้ราคาใหม่ที่ถูกลงเยอะแล้วนี้
    • ขายหุ้นทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ราคามันจะตกลงไปอีก
    • ศึกษาข้อมูลที่บริษัทประกาศและดูว่ามันทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
  10. นักลงทุน VI มองการลงทุนระยะ 3-5 ปี  การตอบสนองทันทีกับสิ่งที่อาจจะเป็นเรื่องระยะสั้นไม่สอดคล้องกับแนวการลงทุน  สิ่งที่ควรทำคือใจเย็นๆแล้วทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อประเมินว่าพื้นฐานของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดรุนแรงหรือเปล่า  แล้วจึงค่อยคิดว่าต้องซื้อหรือขายอะไรมั้ย
     

  11. หุ้นขึ้นมา 30% ในช่วงเดือนเดียว  ตลาดคาดว่าบริษัทจะเติบโต 100% และราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนความคาดหวังนี้แล้ว  สิ่งที่เราควรทำคือ …
    • ซื้อหุ้นเนื่องจากมันมีโมเมนตัมชัดเจน
    • อย่าซื้อเพราะกรณีนี้ไม่เข้าข่ายหุ้นราคาถูก
    • ซื้อเพราะถ้ากำไรของบริษัททำได้ดีกว่าที่ตลาดคาดราคานี้ก็ถือว่าถูก
  12. หุ้นนี้ราคาสูงขึ้นมามากจากความคาดหวังว่าบริษัทจะทำได้ดีขึ้น 100% เป็นอะไรที่เยอะมากแล้ว  ไม่เข้าข่ายธุรกิจที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ไม่เหมาะกับการลงทุนสาย VI
     

  13. สมมติว่าธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย  สิ่งที่เราควรทำคือ …
    • ปรับพอร์ตการลงทุนให้จะได้ประโยชน์จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
    • ขายหุ้น  เพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้โดยรวมคนอยากลงทุนในหุ้นน้อยลง
    • ไม่สนใจ  ให้ความสำคัญกับการซื้อหุ้นในราคาถูกต่อไป
  14. ปัจจัยพวกนี้ไม่แน่นอนคาดเดาไม่ได้และไม่ควรให้มันมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของเรา

 

เป็นไงบ้างครับ  เราเป็นนักลงทุน VI ขนาดไหนกันบ้างครับ ?

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ทำไมเราถึงอยากให้คุณลงทุนระยะยาว

Why Should You Invest Long Term

ทำไมเราถึงอยากให้คุณลงทุนระยะยาว

วีดิโอหัวข้อสำหรับคนที่ลงทุนระยะยาวอยู่แล้วก็ดีแล้ว  แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ลงทุนระยะยาวผมจะมาพยายามโน้มน้าวให้คุณมาลงทุนระยะยาวครับ

เหตุผลที่ทำให้การลงทุนระยะยาวได้เปรียบการลงทุนระยะสั้นคือ

  1. ผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวไม่ได้แพ้การลงทุนระยะสั้น
  2. บางคนมีความเข้าใจผิดว่าลงทุนระยะยาวผลตอบแทนสู้การลงทุนระยะสั้นไม่ได้ซึ่งมันไม่จริง  บางทีเราเคยได้ยินว่ามีคนลงทุนระยะสั้นซื้อวันเดียวได้กำไร 20% ซึ่งมันก็อาจจะจริง แต่มันก็จะมีวันที่เค้าพลาดแล้วขาดทุนวันเดียว 20% เช่นกัน  สุดท้ายมันต้องวัดกันยาวๆว่าผ่านไป 10 ปีเงินต้นเราโตเป็นเท่าไหร่ กำไรบ้างขาดทุนบ้างไปมาก็อาจจะธรรมดาก็ได้ คนลงทุนระยะสั้นทำได้เทพมากก็มีห่วยแตกมากก็มี  คนลงทุนระยะยาวเทพมากก็มีและห่วยแตกมากก็มีเช่นกัน

  3. พลาดโอกาสเพราะโดยรวมแล้วตลาดหุ้นมันเป็นทิศทางขาขึ้น
  4. โดยภาพรวมอยากจะให้เข้าใจว่าภาพรวมของตลาดหุ้นก็คือหุ้นบริษัทจำนวนมากจากอุตสาหกรรมที่หลากหลายในประเทศไทยรวมกัน  และที่ผ่านมาภาพระยะยาวเศรษฐกิจของประเทศไทยก็เป็นทิศทางขาขึ้น ดังนั้นตลาดหุ้นโดยรวมก็เลยมีทิศทางเป็นขาขึ้นถึงแม้ว่ามันจะดูแกว่งรุนแรงเพราะมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนในตลาดซะเยอะก็ตาม  

    ดังนั้นหมายความว่าโดยเฉลี่ยถ้าเงินเราอยู่ในหุ้นเราจะกำไร  ลงทุนระยะยาวเลยได้เปรียบลงทุนระยะสั้นเพราะมีช่วงเวลาที่เงินอยู่ในหุ้นมากกว่า

  5. ลดผลกระทบของจิตวิทยาตลาด
  6. เวลาเราลงทุนระยะยาวเราจะให้ความสนใจกับผลประกอบการของบริษัทซึ่งอย่างมากก็ออกรายงานไตรมาสละครั้ง  เราจะไม่มาจับตามองหุ้นเราทุกวัน ซึ่งมีผลดีต่อสภาวะจิตเรา ราคาหุ้นในแต่ละวันมันก็ขึ้นๆลงๆน่ะแหละไม่เกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัท  นั่งดูไปก็ตื่นเต้นตระหนกตกใจเปล่าๆ หนักกว่านั้นคือเดี๋ยวเราเผลอไปซื้อหรือขายตามอารมณ์ตลาดอีกต่างหาก

  7. ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินกับค่าคอมมิชชั่นซื้อขาย
  8. แล้วเวลาซื้อขายบ่อยๆนี่มันก็มีต้นทุนนะ  อย่างเวลาซื้อขายของ SCBS ของผมมันจะมีค่าธรรม 0.15% ของมูลค่าการซื้อขาย  ซึ่งถ้าดูแบบนี้มันเหมือนจะน้อย แต่สมมติเราลงทุนซื้อขายปีละหลายครั้งรวมกันมันก็จะเยอะอยู่  คำนวณง่ายๆถ้าซื้อและขาย 1 ครั้งก็จะเท่ากับ 0.3% ถ้าซื้อและขายเดือนละครั้งก็เป็น 3.6% แล้ว เยอะนะครับนั่นน่ะ  นึกภาพว่าเราเสียค่าธรรมเนียมตรงนี้ไปฟรีๆ ดังนั้นการลงทุนระยะยาวที่ซื้อขายนานๆทีก็เลยได้เปรียบลงทุนระยะสั้นแล้วซื้อขายบ่อยๆ

  9. ไม่ต้องมานั่งเฝ้า
  10. อันนี้สำคัญที่สุดเลย  การลงทุนระยะยาวทำให้คุณไม่ต้องมาคอยดูราคาขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา  ถ้าคุณลงทุนเพราะชอบความตื่นเต้นและสนุกกับมันก็แล้วไป แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นการลงทุนระยะยาวทำให้คุณมีเวลาเอาไปทำเรื่องอย่างอื่นที่สำคัญกับชีวิตแทนที่จะมานั่งดูจอตัวเลขขึ้นลงทั้งวัน

 

และด้วยเหตุผลเหล่านี้  ลงทุนระยะยาวเถอะครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg