ช่วงนี้ตลาดดูผันผวน เราควรจะขายหุ้นมาถือเงินสดไว้ก่อนมั้ย ?

We still think keeping money in stocks is a good idea

ช่วงนี้ตลาดดูผันผวน เราควรจะขายหุ้นมาถือเงินสดไว้ก่อนมั้ย ?

ช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีคนถามว่าหุ้นช่วงนี้ยังน่าสนใจอยู่มั้ยในเมื่อตลาดหุ้นมันฟื้นมาเยอะแล้วจากโควิด  อย่างดัชนี SET ก็อยู่แถว 1,600  บวกกับมีปัจจัยความเสี่ยงหลายเรื่องไปหมดเช่นธนาคารกลางสหรัฐและหลายๆประเทศเริ่มทำท่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นและหยุดกระตุ้นเศรษฐกิจ  อย่างเกาหลีนี่คือเริ่มปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว  แล้วก็ยังมีเรื่องน้ำอาจจะท่วมกรุงเทพฯ  ไฟฟ้าดับในจีน  Evergrande เจ๊ง  เงินเฟ้อที่อาจจะสูงขึ้นเยอะจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น  อังกฤษเริ่มสินค้าขาดเพราะไม่มีคนขับรถบรรทุก ฯลฯ  เราควรจะถอนเงินออกจากหุ้นมาถือเงินสดหรือสินทรัพย์อื่นก่อนหรือเปล่า 

ในความเห็นผมคือไม่  คิดว่ายังควรลงทุนอยู่ในหุ้นต่อครับ

ก่อนอื่นในระยะสั้นตลาดจะตกหรือจะขึ้นเป็นยังไงผมไม่รู้  แต่ภาพรวมในระยะยาวผมยังคิดว่าเราควรจะลงทุนอยู่ในหุ้นเพราะ

  • โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจฟื้นตัว  บริษัทส่วนใหญ่ผลประกอบการดีขึ้น  โดยเฉพาะพวกที่โดนผลกระทบจากโควิดเราเห็นชัดเจนว่ากำลังฟื้น
  • ปัจจัยเสี่ยงหนักสุดคือต้องกลับมาปิดธุรกิจอีกเพราะโควิดระบาดไม่เลิกก็ดูไม่น่าจะเกิดขึ้นละ
    • ตัวอย่างจากประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เยอะ  ถึงจำนวนคนป่วยใหม่จะเยอะ  แต่จำนวนผู้ป่วยอาการหนักที่จะไปล้นโรงพยาบาลและจำนวนคนตายน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
  • การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  อาจมีผลบ้างเพราะทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยอัตราผลตอบแทนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้น  แต่ในภาพใหญ่ไม่มีทางมีผลมากกว่าเศรษฐกิจประเทศที่ฟื้นตัว  ผลประกอบการบริษัทดีขึ้น  และที่สำคัญคือยังไงผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นก็ยังดีกว่าพวกอัตราดอกเบี้ยเงินฝากซึ่งแพ้เงินเฟ้อมาก  ไม่น่าเป็นไปได้ที่คนจะแห่หนีจากหุ้นกลับไปอยู่ในรูปเงินฝากกันแค่เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงขึ้น
  • เศรษฐกิจฟื้นกลับมาอาจจะมีสะดุดไม่ราบรื่นบ้าง  หรือมีเหตุการณ์อื่นดูน่ากลัวบ้าง  แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่
    • อย่างอังกฤษที่ขาดแคลนคนขับรถบรรทุกส่วนนึงก็คือ Brexit กับช่วงที่โควิดระบาดกระบวนการในการออกใบอนุญาตขับรถบรรทุกมันติดขัด  บวกกับความต้องการสินค้าและบริการมันกลับมาอย่างเร็วฝั่ง supply ก็เลยปรับตัวไม่ทัน  ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาระยะยาว
    • Evergrande คนก็ตกใจมากไป  รัฐบาลจีนยังไงก็ไม่ปล่อยให้บริษัทเจ๊งบริษัทเดียวกระทบวงกว้างแน่นอน  และในความเป็นจริงมันไม่เหมือน subprime เพราะมันเป็นบริษัทที่มีปัญหาจากหนี้สินเยอะไป  บริษัทนั้นเบี้ยวไม่จ่ายหนี้  ไม่ใช่แบบ subprime ที่มีการปล่อยสินเชื่อมั่วแล้วคนเบี้ยวหนี้ในวงกว้าง
    • ส่วนเรื่องรัฐบาลจีนเข้ามาจัดการกับหลายธุรกิจ  โดยรวมเค้าต้องการให้ความร่ำรวยกระจายสู่คนจำนวนเยอะขึ้นลดความเหลื่อมล้ำ  ไม่ได้ตั้งใจจะเอาให้ธุรกิจเจ๊ง  ดังนั้นในระยะยาวก็ยังมองว่าดีอยู่ดี  เรากำลังพูดถึงประเทศที่คนเป็นพันล้านกำลังมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมีกำลังซื้อ
  • ส่วนเรื่องหุ้นแพงไปมั้ยขึ้นมาเยอะแล้วตอนนี้  อันนี้ก็มีส่วนจริงเพราะดัชนีตลาดหุ้นฟื้นไปแล้วจริง  แต่ในรายละเอียดถ้าไปดูจะเห็นว่ามันไม่ได้ราคาหุ้นฟื้นไปแล้วทุกกลุ่ม  กลุ่มที่โดนผลกระทบจากโควิดแล้วยังไม่ฟื้นมีอยู่  และในกลุ่มพวกนั้นถ้าเราเลือกที่คุณภาพดีเป็นหลักโอกาสก็ยังหาได้อยู่นะผมว่า

 

ดังนั้นสรุปคือ  ผมก็ยังคิดว่าเราสมควรจะลงทุนอยู่ในหุ้นตอนนี้  และผมไม่ได้แค่พูดเพราะโดยส่วนตัวตอนนี้เงินลงทุน 100% ก็อยู่ในหุ้นจริงๆ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ถือเงินสดเยอะเกินไป ไม่ใช่เรื่องดี

Why holding too much cash is a problem

ถือเงินสดเยอะเกินไป ไม่ใช่เรื่องดี

ในวีดิโอนี้ผมพยายามจะอธิบายว่าทำไมการให้ทรัพย์สินเราอยู่ในรูปเงินสดเยอะเกินไปถึงไม่ดี

คือช่วงที่ผ่านมาผมเจอหลายคนที่เค้าถือเงินสดหรือเงินฝากเป็นสัดส่วนใหญ่มากของทรัพย์สินทั้งหมด  ส่วนใหญ่เหตุผลหลักคือเพราะรู้สึกว่ามันปลอดภัยไม่อยากเสี่ยงกับเหตุผลรองลงมาคือไม่รู้จะไปลงทุนในอะไรดี

ประเด็นที่ผมอยากจะบอกคือ  การถือเงินสดไว้บ้างนี่มันโอเคนะ  เพราะมันเป้นทรัพย์สินที่เด่นเรื่องสภาพคล่องสูง  ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรที่เราต้องใช้เงินขึ้นมาหรือเราตกงาน  การมีเงินสดสำรองไว้ก็จะทำให้ชีวิตปลอดภัย  แต่การถือเงินสดเยอะเกินไปเป็นอะไรที่เสี่ยงต่ออนาคตในระยะยาวไม่ใช่อะไรที่ปลอดภัย  เพราะหนึ่งเลยคือการถือเงินสดเท่ากับปล่อยให้ทรัพย์สินเราด้อยค่าไปเรื่อยๆหรือพูดอีกแบบนึงก็คือการถือเงินสดเท่ากับขาดทุนชัวร์

เหตุผลเพราะว่าแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวเป็นขาลงเหมือนกันเกือบทุกประเทศ  ในขณะที่เงินเฟ้อส่วนใหญ่จะคงที่

อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มที่จะต่ำแบบนี้ต่อไป  เพราะความต้องการสินเชื่อโดยรวมก็ต่ำลง  ในขณะที่คนมีการออมเยอะขึ้น  ซึ่งอาจจะมาจากคนอายุยืนขึ้น  บวกกับในปัจจุบันการปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อให้กลับไปสู่สภาพปกติถูกมองว่าเป็นนโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจหยุดโต  และในโลกมันก็มีเรื่องนู่นนี่โผล่มาทำให้คนกังวลกับสภาพเศรษฐกิจได้บ่อยๆ  อย่างช่วงก่อนโควิดนั่นก็มี Trump กับจีนแข่งกันตั้งกำแพงภาษีจนเริ่มมีผลกับเศรษฐกิจ  ตอนนั้น fed ก็มีปรับอัตราดอกเบี้ยลงมา

ดังนั้นสรุปแล้วการเก็บเงินอยู่ในรูปเงินสดเยอะไปมันเป็นภาระกับอนาคตของคุณแหละ  มันจะอันตรายแบบ slow death  อาจจะรู้สึกสบายใจตอนนี้ว่าเงินไม่หาย  แต่มันจะไปเงินไม่พอหรือไม่ก็ต้องลดระดับคุณภาพชีวิตตอนแก่ครับ

งั้นเราควรถือเงินสดเยอะแค่ไหน  ผมว่าเผื่อไว้สำหรับ

  • ค่าใช้จ่ายกรณีที่เกิดไม่มีรายได้  6 เดือนหรือนานเท่าที่คุณรู้สึกปลอดภัย
  • ค่าใช้จ่ายขนาดใหญ่ที่วางแผนไว้ว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้

ส่วนที่เกินจากนั้นผมว่าคุณควรเอาไปลงทุนระยะยาว  แล้วก็แยกเงินที่กันไว้กับลงทุนเป็นคนละก้อนกัน  ถ้าเป็นไปได้เริ่มลงทุนเลยต่อให้รู้สึกไม่มั่นใจกับเศรษฐกิจแค่ไหนก็ตาม  อย่ากังวลมากเพราะถ้าตามสถิติต่อให้เราลงทุนไปช่วงหุ้นแพงพอดี  ในระยะยาวมันก็ยังดีกว่าเงินสดอยู่ดี  

ส่วนเรื่องลงทุนในอะไรดีจริงๆไม่ได้ต้องคิดมากก็ได้  ถ้าเอาง่ายสุดผมว่ากองทุนดัชนี SET เลย  เงินลงทุนเราจะกระจายในธุรกิจหลายประเภทในไทย  และโดยรวมเราก็จะโตไปไม่แพ้ประเทศไทยโดยรวม  หรือถ้ารู้สึกหุ้นเสี่ยงไปก็หุ้นกู้ก็ได้  เร็วๆนี้ผมเพิ่งเห็น CPALL ออกหุ้นกู้ผลตอบแทน 3% อยู่  แค่นั้นก็ดีกว่าเงินฝากละครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ซื้อหุ้นแบบทยอยซื้อ หรือแบบรวดเดียวไปเลย ดีกว่ากัน ?

Should I buy stocks periodically or rather a big one time buy ?

ซื้อหุ้นแบบทยอยซื้อ หรือแบบรวดเดียวไปเลย ดีกว่ากัน ?

มีคนถามว่าเค้ามีเงินลงทุนอยู่ก้อนนึง  อยากจะเอามาลงทุนในหุ้นระยะยาวไม่ได้กะซื้อขายบ่อยๆ  ควรจะทยอยลงทุนซื้อทีละหน่อยแบบ DCA หรือลงทุนแบบซื้อเยอะๆทีเดียวเลยดี

เอาจริงๆผมว่าอันนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องมากังวลหรือคิดอะไรมากเกินไป  ยังไงก็ได้แหละครับ

ถ้าเอาตามวิชาการจริงๆเลยนะ  ควรลงแบบรวดเดียวหรืออย่างน้อยถ้าจะทยอยก็ไม่ควรจะยืดยาวใช้ระยะเวลานาน  สาเหตุเพราะโดยเฉลี่ยภาพรวมตลาดหุ้นเป็นทิศทางขาขึ้นมากกว่าขาลง  ดังนั้นการลงทุนยิ่งเร็วก็จะยิ่งทำให้เงินเราไปอยู่ในหุ้นเร็วขึ้นได้ประโยชน์จากการที่ตลาดโดยรวมสูงขึ้น  และโดยเปรียบเทียบแล้วผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นก็ดีกว่าการถือเงินสดหรือเงินฝากด้วย

แต่การทยอยซื้อแบบ DCA ก็มีข้อดีในเรื่องความสบายใจครับ  ตรงที่มันลดความเสี่ยงกรณีที่ตอนที่เราเริ่มซื้อหลังจากนั้นตลาดมันตกพอดี  ลดความเสี่ยงที่เราจะมาเสียดายทีหลังเวลาตลาดตกว่ารู้งี้รอดีกว่าอะไรประมาณนั้น  การทยอยซื้อมันก็จะเฉลี่ยๆไปซื้อตอนตลาดขึ้นบ้างลงบ้าง  แต่โดยรวมมันจะห่วยกว่าซื้อรวดเดียวเพราะตลาดโดยเฉลี่ยภาพรวมมันเป็นขาขึ้นไง  มันไม่ใช่ขึ้นหรือลง 50-50  ดังนั้นการ DCA ก็มักจะทำให้ได้ซื้อมาแพงมากกว่าที่จะได้ซื้อมาถูก

สรุปคือเอาที่เราสบายใจแหละ  ยังไงก็ได้  ถ้าเอาตามหลักการก็ซื้อรวดเดียวโดยเฉลี่ยผลลัพธ์ดีกว่า  แต่ถ้ากลัวจะเสียดายก็ซื้อเฉลี่ยครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อัพเดทสถานการณ์การลงทุน : ดูเหมือนเดลต้าจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

Augest 2021 Investment Update : Delta variant isn't as bad as previously thought.

อัพเดทสถานการณ์การลงทุน : ดูเหมือนเดลต้าจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

วีดิโอนี้เราติดตามสถานการณ์ต่อจากวีดิโอที่แล้ว

คำถามสำคัญของวีดิโอที่แล้วที่เราทิ้งไว้คือ  “สรุปการฉีดวัคซีนได้เยอะทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้หรือเปล่า  หรือซักพักก็ต้องกลับมาปิดธุรกิจปิดห้างร้านอาหารกันใหม่อยู่ดี ?”  ถ้าได้ก็หมายความว่าประเทศต่างๆถึงจุดหนึ่งก็จะสามารถกลับมาสู่สภาวะปกติได้ธุรกิจก็จะฟื้น  หุ้นบริษัทที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวหรือโดนโควิดกระทบตรงๆก็จะฟื้น  แต่ถ้าไม่ได้ก็แปลว่าพวกหุ้นท่องเที่ยวหรือโดนโควิดกระทบตรงๆก็เตรียมเละได้เลย  เพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะกลับมาสู่สภาวะปกติได้  บริษัทไม่สามารถทนขาดทุนไปได้เรื่อยๆ  โดยเราบอกให้จับตามองประเทศอังกฤษเป็นหลัก  เพราะฉีดวัคซีนได้เยอะและเพิ่งกลับมาอนุญาตให้คนใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ  ในขณะเดียวกันในตอนนั้นจำนวนผู้ป่วยใหม่ก็กำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  และก็เลยเป็นเหตุผลที่วีดิโอที่แล้วผมบอกว่าความเสี่ยงสูงขึ้นนะ

มาถึงตอนนี้  ประมาณ 1 เดือนผ่านไป  สถานการณ์ยังไม่ถึงกับชัด  แต่เท่าที่ดูดูเหมือนความเสี่ยงจะลดลง  ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

ปรากฎว่าหลังจากช่วงที่ทำวีดิโอรอบที่แล้วไป  จำนวนผู้ป่วยใหม่ในอังกฤษไม่ได้สูงแบบพรวดๆต่อเนื่อง  ดูเหมือนอยู่ในระดับที่ไม่เลวร้ายเท่าไหร่เมื่อพิจารณาประกอบว่า Freedom Day ผ่านมา 1 เดือนแล้ว

จำนวนผู้ป่วยใหม่ต่อวันก็น้อยกว่าช่วงเดือนที่แล้ว  จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับจำนวนคนป่วยที่เพิ่มขึ้น  แต่ก็เห็นได้ชัดว่าวัคซีนน่าจะได้ผลเพราะจำนวนคนตายต่อวันรวม 7 วันแค่ 687 คน  ซึ่งคือเฉลี่ย 98.14 คนต่อวัน  ต่ำกว่าไทยอีก  และเรื่อง Positivity rate ก็ไม่สูง  กะคร่าวๆคือ 227,391 คนจาก 5,213,493 ที่ตรวจ  คิดเป็น 4.36% เท่านั้น (ตัวเลขไม่เป๊ะเพราะสังเกตว่าวันที่มันไม่ตรง)

บางประเทศก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่เช่นใน US ที่จำนวนผู้ป่วยใหม่ก็ดูเยอะอยู่และยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น  แต่อย่างน้อยจำนวนการตายก็ยังดูไม่เลวร้าย  คล้ายๆกับอังกฤษช่วงก่อนหน้านี้ที่เคสเยอะแต่ถึงตายน้อย

โดยรวมแล้วผมก็สบายใจขึ้นนะ  เพราะเราเห็นตัวอย่างของอังกฤษว่ามันจะไม่ใช่พุ่งสูงไปเรื่อย  และดังนั้นหมายความว่าก็ไม่น่าจะต้องปิดธุรกิจตราบใดที่ไม่มีสายพันธุ์ใหม่อะไรโผล่มาพลิกสถานการณ์  เป็นผลดีอย่างยิ่งกับหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิดที่ผมถืออยู่

พูดถึงประเทศไทยนิดนึง  ช่วงนี้เห็นตัวเลขจำนวนคนป่วยใหม่ต่อวันใกล้เคียงเดิมและมีแววจะลดลง  บางคนก็บอกว่าเพราะตรวจน้อย  ก็เป็นไปได้แหละ  แต่ในสาระสำคัญภาพใหญ่ก็คือมันจะมีจุดสิ้นสุด  เพราะเราเห็นว่าวัคซีนได้ผล  และเอาจริงๆถ้าติดกันเยอะมากถึงจุดนึงมันก็จะเริ่มระบาดน้อยลงเพราะคนติดกันไปหมดแล้ว  เหมือนอย่างในอินเดีย  

ดังนั้นภาพรวมในการลงทุนผมก็มองเหมือนเดิมคือเป็นผมจะลงทุนในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากโควิดและคิดว่ามีเงินทุนเหลือพอน่าจะรอด

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

สมมุติรู้ว่าบริษัทผลประกอบการจะแย่ลง แต่ไม่รู้ว่าจะแย่ลงขนาดไหน เราควรตัดสินใจยังไงต่อ ?

What to do when we're not certain about the magnitude of the impact of an event on a stock ?

สมมุติรู้ว่าบริษัทผลประกอบการจะแย่ลง แต่ไม่รู้ว่าจะแย่ลงขนาดไหน เราควรตัดสินใจยังไงต่อ ?

มีนักเรียนเราถามว่า  สมมติมีหุ้นบริษัทที่เราชอบราคาตก  เรารู้สาเหตุว่าทำไมราคามันตก  ดูแล้วจะมีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท  อาจจะระยะยาวด้วย  แต่เราไม่รู้ว่าผลกระทบของเหตุการณ์มันขนาดไหน  กรณีแบบนี้เราจะตัดสินใจยังไงต่อ

ตอบตามตรง  เคสประเภทนี้คือยากครับ  มีความเสี่ยงสูงกว่าปกติด้วย  เพราะอันนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ปัญหาชั่วคราวละ  มันดูเป็นปัญหาระยะยาวถาวร  ปกติแล้วผมก็ทำอยู่ 2 แบบ

  1. ข้าม  ก็คือถ้าเสี่ยงเกินไปก็ไม่ต้องดูก็ได้  ไปดูหุ้นบริษัทอื่นดีกว่า
  2. ถ้าจะเอาจริงๆก็คงต้องเดาระดับความเสียหายเผื่อๆเอา  เช่นเดาไปเลยว่ากำไรหดไป -50% แล้วดูว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริงแล้วหุ้นมันยังดูน่าสนใจอยู่มั้ยราคาถูกมากพอหรือเปล่า

อย่างมากสุดเราก็ทำได้ประมาณนี้แหละครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อัพเดทกลยุทธ์การลงทุน : ตอนนี้ความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าต้นปี

Investment Strategy Update July 2021 : Risk is now higher than the start of the year.

อัพเดทกลยุทธ์การลงทุน : ตอนนี้ความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าต้นปี

เราเพิ่งทำวีดิโออัพเดทสถานการณ์ไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง  แต่ดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปละมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดไว้ตอนแรก  คนที่ถือหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิดแล้วคาดว่าโควิดจะจบอาจจะมีความเสี่ยงมากขึ้น

ท้าวความเดิมนิดนึง  ตอนต้นปีช่วงต้นเดือนมกราคม  ภาพที่เราเห็นคือประเทศมีเงินอย่างอเมริกากับอังกฤษและตามมาด้วยยุโรปกำลังพยายามเร่งฉีดวัคซีน  ในเวลานั้นความเสี่ยงหลักคือเราไม่รู้ว่าฉีดวัคซีนไปแล้วคนจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้จริงมั้ย  แต่ถ้าเทียบกับกลางปี 2020 สถานการณ์ก็ถือว่าเสียงน้อยกว่ามากเพราะในเวลานั้นเรายังไม่รู้เลยว่าวัคซีนจะได้เมื่อไหร่  คาดการณ์ว่าจะนานแต่ปรากฎว่าปลายปี 2020 นี่คือวัคซีนเริ่มอนุมัติละ

พอเวลาผ่านไปซักพัก  ประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน  เราเริ่มเห็นตัวอย่างประเทศที่ฉีดวัคซีนไปได้เยอะมีจำนวนผู้ป่วยใหม่ลดลงเยอะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิสราเอลดูชัดสุด  เป็นสัญญาณว่าวัคซีนได้ผล  ในเวลานั้นถึงแม้ว่าเราจะเห็นจำนวนผู้ป่วยในไทยเพิ่มขึ้น  ผมก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก  เพราะสุดท้ายเกมภาพใหญ่คือเรารู้อยู่แล้วว่าคนจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้จริงๆก็ต่อเมื่อมีวัคซีนหรือยาเท่านั้น  การที่มีระบาดกลับขึ้นมาในประเทศไทยก็ไม่ได้แปลกเพราะเรายังไม่ฉีดวัคซีนและมันก็แค่ทำให้ระหว่างทางเลวร้ายลงเท่านั้นเอง  จากเดิมที่คิดว่าเราจะประคองสถานการณ์ไปจนฉีดวัคซีนจบแล้วก็จบสมบูรณ์  ก็กลายเป็นว่าระหว่างทางคนจะต้องมีการปิดธุรกิจมีมาตรการที่มีผลกระทบกับคน  แต่จุดปลายทางเราก็ต้องจบด้วยมีวัคซีนหรือยาอยู่ดี  สถานการณ์โดยรวมจริงๆความเสี่ยงน้อยกว่าต้นปีอีก  เพราะอย่างน้อยเรารู้แล้วว่าวัคซีนได้ก็จบ

หลังจากนั้นเราเริ่มเห็นประเทศที่ฉีดวัคซีนเยอะเริ่มให้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติ  อเมริกา, อังกฤษ, ยุโรป  เราเริ่มเห็นการท่องเที่ยวการเดินทางของประเทศพวกนี้เริ่มฟื้น  ในเวลานั้นก็ยิ่งความเสี่ยงน้อยลงไปอีก

จนสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอีกทีตอนที่เห็นชัดเจนเลยว่าการระบาดกลับมาเยอะในอังกฤษเพราะโควิดสายพันธุ์เดลต้า  ตอนนี้ผู้ป่วยใหม่ในอังกฤษสูงขึ้นวันนึงเกิน 50,000 คน  คำถามสำคัญคือมันจะทำให้มีผู้ป่วยหนักเยอะขึ้นจนเตียงเต็มแล้วสุดท้ายต้องปิดธุรกิจนู่นนี่นั่นอีกหรือเปล่า

ถ้าใช่  งั้นเงินลงทุนที่เราซื้อหุ้นโควิดไปก็เสี่ยงทันที  จากเดิมที่เราคาดว่าวัคซีนมาแล้ว  ฉีดถึงจุดนึงจะจบ  คนจะเริ่มทยอยกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ  การท่องเที่ยวฟื้น  มันก็ไม่แน่ละไง  เพราะอย่างอังกฤษนี่ฉีดวัคซีนไปได้เยอะมาก  ประชากรทั้งประเทศฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วเกิน 50%  ถ้าขนาดนี้ยังกลับมาใช้ชีวิตปกติไม่ได้นี่แปลว่าประเทศอื่นก็จะมีปัญหาเดียวกัน  แล้วเมื่อไหร่จะจบล่ะถ้างั้น

ถ้าไม่ใช่  คือคนป่วยเยอะแต่อาการไม่หนักหรืออะไรก็แล้วแต่  สุดท้ายคนใช้ชีวิตปกติได้ไม่ต้องกลับมาปิดธูรกิจปิดท่องเที่ยว  งั้นก็ไม่มีปัญหา  เรายังเห็นทิศทางว่าโควิดจะจบได้

หลักฐานในเวลานี้ก็ดูก้ำกึ่ง

  • อย่างแรกเลยคือจำนวนผู้ป่วยเยอะขึ้น  ผู้ป่วยใหม่ต่อวันเกิน 10,000 คนมาตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนแล้ว  แต่จำนวนคนตายกับคนป่วยอาการหนักดูเหมือนจะไม่ได้สูงขึ้นตาม  เหมือนจะเป็นหลักฐานว่าวัคซีนได้ผล

  • แต่ถ้าวัคซีนได้ผล  ทำไมจำนวนคนป่วยมันยังเพิ่มขึ้นเร็วขนาดนี้  ไม่ใช่ว่ามันควรจะป้องกันการติดและกระจายของเชื้อหรอกหรือ

ดังนั้นเวลานี้เราควรจะจับตามองอังกฤษเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมาเค้าอนุญาตให้คนกลับมาใช้ชีวิตเต็มที่ละด้วย  ไม่มีบังคับให้ใส่หน้ากาก  ร้านอาหารไนท์คลับอะไรจัดได้เต็มที่ไม่จำกัดจำนวนคน  เราต้องดูว่าสุดท้ายจำนวนคนป่วยจะหนักจนต้องกลับไปปิดธุรกิจอีกหรือเปล่า

มุมของการลงทุนเรา

แล้วในมุมของการลงทุนเราล่ะ  ต้องทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า  อันนี้ผมก็ว่าแล้วแต่คน  ถ้าสำหรับผมในเวลานี้คือเห็นภาพว่าความเสี่ยงสูงมากขึ้น  แต่ยังไม่ถึงขึ้นต้องรีบหนีหรืออะไร  แต่สมควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด  โดยรวมแล้วคือ

  • ถ้าเราถือบริษัทที่กระทบแต่ยังไม่ถึงขาดทุน  พวกนี้ก็ไม่มีปัญหาเหมือนเดิม  เพราะมันรอได้อยู่แล้ว
  • ประเด็นมันจะอยู่ที่บริษัทที่กระทบจนขาดทุน  พวกนี้จากเดิมเราคิดว่ามีเงินทุนพอที่จะทนได้  ถ้าอยุ่ๆสถานการณ์เปลี่ยนโควิดไม่จบด้วยวัคซีนชุดนี้  คำถามคือแล้วมันจะจบเมื่อไหร่  เราอาจจะต้องพิจารณาแล้วว่าบริษัทที่ว่าขาดทุนนี่  ขาดทุนเยอะขนาดไหนล่ะ  รายได้มันต้องฟื้นกลับมาเป็นกี่ % เทียบกับปีปกติมันถึงจะรอด  ดูแล้วห่างมั้ย  ตอนนี้มีเงินทุนเหลือทนได้อีกนานแค่ไหน  แล้วสมมติต้องระดมทุนเพิ่มมันน่าจะยังทำได้อยู่มั้ย  มีหนี้สินอยู่เยอะมากอยู่แล้วหรือเปล่า  ฯลฯ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ทำใจขายขาดทุนไม่ได้ ทำไงดี ?

How to be mentally prepared to cut loss ?

ทำใจขายขาดทุนไม่ได้ ทำไงดี ?

เอาจริงๆก็คงไม่มีใครไปบังคับคุณได้นะ  เรื่องนี้มันเป็นอะไรที่เราต้องคุยกับตัวเองให้จบแล้วตัดสินใจเอง  อย่างมากที่ผมทำได้คือพยายามช่วยคุณลำดับความคิดเท่านั้น

ก่อนอื่นผมอยากจะให้เรานึกตามดูก่อน  สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันเกิดขึ้นไปแล้วครับ  สมมติเราซื้อหุ้นบริษัท A แล้วราคามันตกลงมา  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วการกระทำใดๆของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตที่เกิดไปแล้วได้  คิดถึงมันไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรและทำอะไรไม่ได้

สิ่งที่เราควรสนใจในเวลานี้คือตอนนี้เราจะทำอะไรต่างหาก  การกระทำของเราในวันนี้มีผลต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ดังนั้นถ้าเรากำลังจะตัดสินใจว่าจะขายหุ้น A  ซึ่งจริงๆไม่เกี่ยวกับว่าตอนนี้มันขาดทุนหรือมันกำไรอยู่ด้วยซ้ำนะ  เราก็ต้องถามตัวเองว่าการเลือกที่จะไม่ขายหุ้น A สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคืออะไรมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง  แล้วการเลือกที่จะขายหุ้น A สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคืออะไรมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

ถ้าเราถือหุ้น A

ข้อดีคือ

  • บริษัท A อาจจะผลประกอบการดีขึ้น
  • ราคาหุ้น A อาจจะสูงขึ้น
  • หรือถ้าฟลุคคือผลประกอบการไม่ดีขึ้น  แต่หุ้นราคาหุ้น A อาจจะสูงขึ้น

ข้อเสียคือ

  • ผลประกอบการบริษัท A อาจจะแย่ลง  และราคาหุ้น A ก็อาจจะแย่ลงตาม
  • เงินเราจะยังอยู่กับหุ้น A  ไม่สามารถเอาไปทำอย่างอื่นได้  มีต้นทุนค่าเสียโอกาส

ถ้าเราขายหุ้น A

ข้อดีคือ

  • เราจะมีเงินสดไปทำอย่างอื่นได้
  • ถ้าเอาไปลงทุนในอย่างอื่น  ก็จะเกิดประโยชน์ถ้าผลตอบแทนที่ได้จากการเอาไปทำอย่างอื่นสูงกว่าการถือหุ้น A
  • หรือไม่งั้นก็เอาไปใช้จ่ายเรื่องจำเป็นอื่นๆ

ข้อเสียคือ

  • พลาดโอกาสในกรณีที่หุ้น A ราคาสูงขึ้น
  • ไม่ว่าจะเพราะบริษัท A ผลประกอบการดีขึ้นหรือฟลุคก็แล้วแต่

พอเราคิดไปทางแนวนี้  เราก็จะพบว่าปัจจัยหลักในการตัดสินใจมันอยู่ที่ว่าถ้าขายออกมาจะสามารถไปทำประโยชน์ได้ดีกว่าถือหุ้น A ต่อไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง  ถ้าสมมติเราศึกษาและพิจารณาแล้วพบว่าโอกาสที่บริษัท A จะผลประกอบการดีและดังนั้นราคาหุ้น A จะสูงขึ้นมันเป็นไปได้ยาก  ถ้าราคาหุ้น A มันจะสูงขึ้นได้ก็น่าจะต้องหวังฟลุค  อย่างนั้นขายออกมาก็เป็นเรื่องที่ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้แน่นอน  คิดได้แบบนี้เราก็จะตัดใจขายขาดทุนได้ง่ายขึ้นครับ

อีกอย่างที่อยากให้มองคือ  ลองนึกถึงภาพรวมว่าเราจะลงทุนในหุ้นไปอีกยาวหลายปี  การที่ระหว่างหลายปีนั้นจะมีการตัดสินใจผิดพลาดบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาเก่งแค่ไหนก็พลาดได้  ขนาด Warren Buffett ก็มีพลาดและเค้าก็มีขายหุ้นออกไป  โดยภาพรวมแล้วขอให้การตัดสินใจเราถูกมากกว่าผิดก็คือใช้ได้  ในระยะยาวที่ถูกมากกว่าผิดยังไงมันก็จะดีไปเองครับ  การพลาดแล้วต้องมีขายขาดทุนบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา  ไม่ได้เป็นอะไรต้องเครียดหรือซีเรียสอะไรเลย  ต้องขายก็คือต้องขาย  เอาเวลาไปซีเรียสว่าการตัดสินใจโดยรวมเราต้องถูกมากกว่าผิดดีกว่าครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ผลประกอบการแย่ลง ควรขายเลยมั้ยหรือรอดูก่อน ? ถ้ารอดูควรรอนานแค่ไหน ?

What to do if the company profit dropped ? Sell or hold on ?

ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ผลประกอบการแย่ลง ควรขายเลยมั้ยหรือรอดูก่อน ? ถ้ารอดูควรรอนานแค่ไหน ?

มึคนถามว่าในกรณีที่บริษัทที่ซื้อมาผลประกอบการเแย่ลงกว่าที่คาด  เราควรที่จะขายหุ้นเลยมั้ยหรือควรจะรอดู  แล้วสมมติถ้ารอดูควรจะรอดูนานขนาดไหน

เข้าใจในความกังวลนะ  เพราะกรณีแบบนี้มันไม่เหมือนกับซื้อมาแล้วราคาหุ้นตกเฉยๆโดยที่ผลประกอบการไม่ได้แย่  กรณีลักษณะแบบนี้อาจจะเป็นเราพลาดจริงก็ได้

ตอบตามตรงคือคงไม่ได้มีเกณฑ์ตายตัวแล้วแหละ  ผมแนะนำว่าเราทำดีที่สุดนั่นคือ

พยายามหาต้นเหตุว่าผลประกอบการที่แย่ลงนั่นมาจากเรื่องอะไร

  • ยอดขายแย่ลง ?
  • ยอดขายโต  แต่ค่าใช้จ่ายโตเร็วกว่า ?
  • หนี้สินเยอะขึ้น  ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเยอะขึ้น ?
  • แล้วเหตุที่มันเป็นอย่างนั้นคืออะไร  ยอดขายแย่ลงเพราะว่าขึ้นราคาแต่คู่แข่งลดราคา ?  ยอดขายโตแต่ค่าใช้จ่ายโตเร็วกว่าเพราะเพิ่งขยายสาขา  ค่าใช้จ่ายมาแล้วแต่ยอดขายยังไม่เต็มที่ ?

พิจารณาต้นเหตุนั้นบวกกับสิ่งที่บริษัทกำลังทำ  แล้วค่อยตัดสินใจ

  • บางทีผลประกอบการที่แย่ลงอาจจะมาจากบริษัทกำลังลองทำอะไรอยู่
  • หรือบางทีบริษัทก็กำลังพยายามแก้ไขปัญหานั่นอยู่

ทีนี้สิ่งที่มันยากคือ

  • ต่อให้ทำดีแค่ไหน  เราก็อาจจะพลาดได้เพราะบางทีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ชัดเจนว่าเกิดจากอะไรหรือว่ามันเป็นอะไรที่แก้ไขได้หรือเปล่า
  • ต้องระวังการมี bias  บางทีเราก็ทัศนคติดีเพราะชอบสินค้าของบริษัทนั่น  หรือบางทีเราก็อคติเพราะเห็นราคาตกมาเยอะ

ทีนี้สมมติตัดสินใจรอดู  ควรจะรอดูนานขนาดไหน  อันนี้ก็ตอบยากเหมือนกัน  เพราะส่วนตัวก็มีเคสรอดูนานเกินจนขาดทุนเยอะก็มีอยู่  หรือมีเคสที่รอดูแล้วบริษัทก็ฟื้นกลับมาทำได้ดีและกำไรก็มีเหมือนกัน  ดังนั้นอาจจะไม่มีเกณฑ์ตายตัวซะทีเดียว  แต่ส่วนตัวแล้ว 1 ปีเป็นอย่างน้อยนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อยากจัดพอร์ตให้ไม่มีขาดทุนเลย ทำได้มั้ย ?

How can we be sure that our portfolio would not be effected in a economic downturn ?

อยากจัดพอร์ตให้ไม่มีขาดทุนเลย ทำได้มั้ย ?

มีคนถามอะไรประมาณนี้มา  เอาจริงๆเลยคือมันก็มีแหละ  ก็ถือเงินสด 100% เลยไง  หรือไม่ก็พันธบัตรรัฐบาล 100% เลยมันก็จะไม่มีผลกระทบแน่เผลอๆอาจจะดีขึ้นนิดนึงด้วยซ้ำ  แต่ทำแบบนั้นเป็นทางเลือกที่เลวร้ายมากผมว่า

ประเด็นแรกเลยคือการจัดพอร์ทแบบนั้นเพิ่มความเสี่ยงที่เงินจะไม่พอเพราะผลตอบแทนคาดหวังต่ำจัด  คือเราเห็นอยู่แล้วว่าเทรนด์ของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมันต่ำลง  การที่พอร์ทการลงทุนเรา defensive จัดมันอาจจะดูเสี่ยงน้อยนะ  แต่จริงๆเสี่ยงเงินไม่พอเยอะมาก  ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นการส่งลูกเรียนหนังสือ, เกษียณหรืออะไรก็แล้วแต่  ต่อให้จะบอกว่าระหว่างทางพอร์ทความผันผวนต่ำมากปลอดภัยมากไม่มีปีไหนเลยที่ขาดทุน  ถึงเวลาถ้ามันต้องใช้ขึ้นมาแล้วไม่พอมันก็คือเป้าหมายล้มเหลวอยู่ดี

ประเด็นที่สองที่จะบอกคือ  ถึงแม้หุ้นมันจะมีความผันผวนมากกว่าเยอะ  และอาจจะดูเหมือนขาดทุนในปีที่มีวิกฤตินะ  แต่จริงๆมันไม่ใช่ปัญหาเลยถ้าหุ้นที่เราเลือกมันเป็นบริษัทที่เข้มแข็งตั้งแต่แรก  เพราะถ้ามองระยะยาวเมื่อวิกฤตินั่นผ่านพ้นไป  บริษัทรอดกลับมาทำได้ดีเหมือนเดิม  ราคาหุ้นที่ตกไปมันก็ฟื้นขึ้นมาน่ะครับ  ดังนั้นถ้าเราเลือกธุรกิจที่เข้มแข็งพอร์ทขาดทุนในปีที่ตลาดตกรุนแรงก็เป้นแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น

ในความเห็นผมคนที่จะเอาแบบไม่เสี่ยงเลย 100% ได้นี่คือต้องมีเงินเยอะมากจนไงก็พอแน่นอนไม่ต้องสนใจผลตอบแทนเลยประมาณนั้น  แม้แต่คนที่ใกล้เกษียณมากผมก็ยังมองว่าควรมีหุ้นบ้างในสัดส่วนที่น้อย  ไม่ใช่แบบไม่มีเลย

สรุปคือ  จะทำให้พอร์ทไม่สะเทือนเลยเวลามีวิกฤติมันก็ทำได้แหละ  แต่อย่าทำเลย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี