งบแสดงสถานะทางการเงิน (Balance Sheet) คืออะไร? มีรายการอะไรที่น่าสังเกตบ้าง? รับชมได้ในวิดีโอค่ะ
หุ้นที่ผมสนใจ – Playtech
Stock In My Focus – Playtech
หุ้นที่ผมสนใจ – บิวตี้ คอมมูนิตี้
Stock In My Focus – Beauty Community
หุ้นที่ผมสนใจ – คาร์มาร์ทส์
Stock In My Focus – Karmarts
As of July 26, 2018 ราคาหุ้นอยู่ 4.74 บาท
ช่วงก่อนนี้หุ้นไทยตกลงมาพอสมควร หนึ่งในบริษัทที่ราคาตกลงมารุนแรงมากก็คือบริษัทนี้เลย Karmarts ปกติส่วนตัวก็จะไม่ค่อยได้สนใจหุ้นกลุ่มประเภทนี้เท่าไหร่เพราะตัวเองไม่ได้ใช้และแยกความแตกต่างไม่ออก แต่เนื่องจากราคาถูกลงมาเยอะเลยเริ่มน่าให้ความสนใจละครับ
อ่านต่อ »
หุ้นที่ผมสนใจ – Berkeley Group
Stock in my focus – Berkeley Group
As of July 7, 2018 ราคาหุ้นอยู่ 3,577p
ก่อนหน้านี้ผมมีเขียนถึง Bellway ที่ทำธุรกิจสร้างบ้านในอังกฤษไป อันนี้จะมาเขียนถึง Berkeley Group ซึ่งเป็นบริษัทสร้างบ้านเหมือนกันแต่คนละกลุ่มตลาด ช่วงที่ผ่านมาบริษัทกลุ่มนี้อาการคล้ายๆกันคือราคาหุ้นเริ่มตกลงมาพอสมควร จนตอนนี้ผมเริ่มสนใจละครับ
ลักษณะธุรกิจ
Berkeley Group เป็นหนึ่งในบริษัทสร้างบ้านที่ค่อนข้างใหญ่ในอังกฤษ ถ้านับจำนวนบ้านที่สร้างอาจจะไม่ได้ถือเป็นรายใหญ่ในตลาด แต่ถ้านับรายได้รวมจริงๆขนาดธุรกิจก็พอกับ Bellway แหละ
Berkeley Group นี่เน้นสร้างบ้านในลอนดอนกับทางตะวันออกเฉียงใต้ มียี่ห้อหลักคือ Berkeley แล้วก็มีโครงการร่วมทุนกันพัฒนากับบริษัทอื่นที่บริษัท Berkeley Group ถือหุ้นใหญ่อยู่อีกคือ St Edward, St George, St James, St Joseph, St William
จุดเด่นของบริษัทนี้คือ ราคาบ้านของกลุ่ม Berkeley แพงกว่ากลุ่มบริษัทสร้างบ้านอื่นพอสมควร อย่างตัวยี่ห้อหลัก Berkeley ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยคือ £715,000 เทียบกับ Bellway ที่เคยพูดถึงก่อนหน้านี้ว่าทำบ้านระดับกลางถึงล่างราคาเฉลี่ยต่อหน่วยอยู่ที่ £252,793 หรือเทียบกับ Barratt Developments ราคาเฉลี่ยต่อหน่วยอยู่ที่ £313,000 จะเห็นว่าแพงกว่าเกินเท่าตัว
ยิ่งถ้าเป็นโครงการร่วมทุนยิ่งเน้นหรูเข้าไปใหญ่ ราคาเฉลี่ยต่อหน่วยสูงถึง £1,646,000 ลองแปลงเป็นเงินบาทดูแล้วจะเห็นภาพว่าบริษัทนี้ขายบ้านกลุ่มแพงมากจริง
คู่แข่งในตลาดสร้างบ้านก็มีเยอะพอสมควร เช่น Crest Nicholson, Barratt Developments, CALA Homes, etc.
แล้วที่ผ่านมาเป็นไง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทนี้ก็เหมือนบริษัทอื่นตรงที่ผลประกอบการทรุดลงไปช่วงปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปกติแหละเพราะในเวลานั้นความต้องการซื้อบ้านหดตัวลงรุนแรงมาก แต่ Berkeley Group ไม่ถึงกับขาดทุนซึ่งก็ถือว่าเจ๋งมากละ หลังจากปีนั้นมาบริษัทก็ฟื้นตัวขึ้นมาตามลำดับ โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ความต้องการบ้านใหม่ในอังกฤษสูงขึ้นมากเศรษฐกิจฟื้นตัวคนมีกำลังซื้อ พวกบริษัทอย่าง Berkeley Group ก็ได้ประโยชน์และทำได้ดีในช่วงที่ผ่านมา เรียกว่าทำได้ดีมากเลยแหละ โดยรวมปีหลังๆกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเยอะมาก
Net Profit Margin (อัตราส่วนกำไรสุทธิ) ของ Berkeley Group จะสูงกว่าบริษัทประเภทเดียวกัน ลัวเลขเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาของ Berkeley Group อยู่ที่ประมาณ 19% ถ้าเป็นของ Bellway อยู่ 16% หรือถ้าเป็น Barratt Developments อยู่ 10% ซึ่งก็สอดคล้องกับราคาขายเฉลี่ยของบ้านยี่ห้อนี้
ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ
ด้วยเหตุผลคล้ายๆกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันเนี่ยแหละครับ คือเค้ากังวลเรื่องแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมว่าอาจจะชะลอตัวลง และจะมีผลต่อบริษัท Berkeley Group ปัจจัยหลักๆที่คนกังวลคือ
- ผู้บริหารออกมาบอกว่าจะไม่ขยายโครงการใหม่นอกเหนือจากแผนที่วางไว้แล้ว
หลักๆคือเค้าอ้างว่าสภาวะตลาดไม่เอื้อ และทาง Berkeley Group ก็ดูเหมือนจะไม่อยากลดราคาขายด้วยเพื่อปกป้องอัตราส่วนกำไร ก็เลยอาจจะไม่ขยายเพิ่มมากกว่าที่วางแผนไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่ากำไรจะลดลงหรือยอดขายตกต่ำลงนะ เพราะแผนเดิมก็ขยายอยู่แล้ว
- วัตถุดิบสร้างบ้านที่เริ่มขาดแคลน ทำให้ต้นทุนน่าจะสูงขึ้น
วัสดุสร้างบ้านอย่างอิฐกับหลังคาปัจจุบันขาดตลาดจนต้องนำเข้า ยิ่งค่าเงินปอนด์ช่วงนี้ต่ำเพราะเรื่อง Brexit ก็ทำให้ต้นทุนการสร้างบ้านเริ่มปรับสูงขึ้น
- อัตราดอกเบี้ยที่ดูแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มปรับดอกกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นละ เพราะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ อย่างอเมริกากับสหภาพยุโรปนี่ประกาศชัดเจนแล้วว่าปรับขึ้น ของอังกฤษก็เช่นกัน ด้งนั้นในอนาคตถ้าดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนของเงินกู้ซื้อบ้านก็จะสูงขึ้นด้วย คนก็น่าจะซื้อบ้านน้อยลง
- สภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ ผลมาจากเรื่อง Brexit
ปัจจุบันอังกฤษกำลังจะต้องออกจากสหภาพยุโรปแล้ว แต่เท่าที่ดูคือตกลงเรื่องพวกภาษีนำเข้าส่งออกยังไม่ได้ แปลว่าอนาคตเศรษฐกิจก็ต้องมีผลกระทบบ้างแน่นอน ความไม่แน่นอนเรื่องนี้ยังมีอยู่เยอะมาก ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น
ส่วนตัวผมคือมองว่าเราคงไม่หวังให้บริษัทโตขึ้นอย่างรวดเร็วแบบแต่ก่อน เพราะที่ผ่านมามันมาจากช่วงที่ฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจเลยโตแบบรวดเร็ว แต่สุดท้ายยังไงบ้านที่อยู่อาศัยก็ยังเป็นอะไรที่ต้องมีอยู่ ในระยะยาวถึงจะผันผวนตามสภาพเศรษฐกิจแต่มันก็เป็นอะไรที่คนต้องซื้อแน่นอน เราคาดหวังให้ในระยะยาวบริษัททำได้เฉลี่ยคงที่หรือต่ำลงเล็กน้อยน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่า
ทีนี้สิ่งที่ทำให้ผมสนใจคือ บริษัท Berkeley ที่ผ่านมาทำได้ค่อนข้างดีมากแม้แต่ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจก็ยังไม่ขาดทุน และที่สำคัญคือราคาหุ้นในเวลานี้ก็ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว
กำไรต่อหุ้นปีล่าสุดอยู่ที่ 451p ถ้าใช้กำไรนี้เป็นตัวอ้างอิงสมมติว่าบริษัททำได้ประมาณนี้ต่อไปเรื่อยๆ ด้วยราคาตอนนี้เท่ากับอัตราส่วนกำไรต่อราคาหุ้น 12.61% ละ แต่เนื่องจากปีล่าสุดกำไรโตขึ้นเยอะมาก เราเอาเฉลี่ย 3 ปีล่าสุดแทนจะได้ว่ากำไรต่อหุ้นอยู่ประมาณ 332p เทียบกับราคาตอนนี้สมมติว่ากำไรไม่เติบโตทำได้เท่านี้ไปเรื่อยๆ อัตราส่วนกำไรต่อราคาหุ้นก็ยังสูงมากอยู่ที่ 9.28%
Disclosure
ปัจจุบันผมไม่ได้มีหุ้นใน Berkeley Group แต่มีโอกาสสูงมากที่จะลงทุนใน Berkeley Group ในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าราคาตกต่ำลงมาอีก
ผมเขียนบทความนี้ด้วยตัวเองและเขียนจากความเห็นส่วนตัว ผมไม่ได้รับค่าตอบแทนใดหรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆกับบริษัทที่ผมพูดถึงในบทความนี้
หุ้นที่ผมสนใจ – บิ๊ก คาเมร่า
Stock in my focus – BIG Camera
As of June 30, 2018 ราคาหุ้นอยู่ 1.96 บาท
ช่วงที่ผ่านมานี้หุ้นในเอเชียตกลงมาพอสมควร รวมถึงหุ้นในไทยด้วย วันนี้จะพูดถึง BIG Camera ครับ บริษัทนี้เราเห็นร้านเค้าหลายครั้งละตามห้าง เพิ่งจะมาสนใจดูหุ้นของบริษัทนี้ก็เพราะเห็นราคามันตกลงมาเยอะมากเนี่ยแหละ
ลักษณะธุรกิจ
BIG Camera ชื่อมันก็บอกชัดเจนดี บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ค้าปลีกกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพผ่านร้านของตัวเอง โดยร้านจะอยู่ในห้างสรรพสินค้า ตามข้อมูลของบริษัทเค้าอ้างว่าส่วนแบ่งการตลาดของอุปกรณ์ถ่ายภาพเกิน 50% อยู่นิดนึงเลยทีเดียว ธุรกิจกลุ่มนี้เป็นธุรกิจหลักของบริษัททำรายได้อยู่ 91% ของทั้งหมด
นอกจากนี้ก็จะมีธุรกิจค้าปลีกมือถือกับอุปกรณ์ชื่อ BIG Mobile แต่ก็เป็นสัดส่วนรายได้ที่น้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งหมด คิดเป็นแค่ 8% เท่านั้น ไม่ได้เป็นสาระสำคัญอะไรในเวลานี้
ล่าสุดมีทำร้านที่ให้บริการพิมพ์ภาพ รายได้เป็นสัดส่วนแค่ 1%
ดังนั้นก็ชัดเจนมากว่าบริษัทนี้ธุรกิจขึ้นอยู่กับการขายปลีกกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพ เข้าใจง่ายอยู่
แล้วที่ผ่านมาเป็นไง
ตลาดพวกกล้องช่วงนึงผมก็คิดว่าไม่น่าจะรอดแล้ว เพราะแต่ก่อนนู่นเลยกล้องที่ขายดีคือกล้อง Compact ที่ขนาดเล็ก ราคาไม่สูงมากจับต้องได้ ขายกับกลุ่มคนทั่วไปเอาไว้ถ่ายรูปตอนไปเที่ยวนู่นนี่ ซึ่งตลาดกล้อง Compact นี่ตายเลยตอนที่มือถือเริ่มถ่ายรูปได้ดีขึ้น คนก็ไม่รู้จะซื้อกล้องไปทำไมในเมื่อถ่ายด้วยมือถือก็คุณภาพพอๆกัน แถมมือถือยังต่ออินเตอร์เน็ทแชร์หรือโพสได้ทันดีด้วย ส่วนตลาดสำหรับพวกกล้อง DSLR ตัวใหญ่ก็ค่อนข้างจำกัด ตัวกล้องมันใหญ่และหนัก ที่สำคัญแพง ก็จะขายได้สำหรับคนกลุ่มที่ซีเรียสเรื่องคุณภาพของภาพมากๆเท่านั้น
โชคดีในช่วงปีหลังๆมานี้ มันมีกล้องกลุ่ม Mirrorless ถูกพัฒนาขึ้นมา คุณภาพของภาพดีกว่ากล้องมือถืออย่างเห็นได้ชัด ราคาไม่แพงเท่าพวก DSLR ก็เลยทำให้ได้รับความนิยม ตลาดกล้องเลยฟื้นกลับขึ้นมา
BIG Camera ก็เลยน่าจะได้รับอานิสงข์ขายดีไปด้วย สังเกตจากที่รายได้และกำไรโตขึ้นเยอะมากในช่วงไม่กี่ปีนี้ ผมเชื่อว่ามาจากปัจจัยเรื่องกล้อง Mirrorless เป็นหลัก บริษัทไม่ได้มีการขยายสาขาอะไรเยอะแยะ กำไรกับยอดขายมาจากของที่ขายได้เยอะขึ้นกับมูลค่าสินค้าที่ขายได้แพงขึ้น
ส่วนธุรกิจอื่นของ BIG Camera ก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ผมไม่ได้มองว่าเป็นสาระสำคัญอะไรในเวลานี้ แต่เข้าใจว่าทางบริษัทที่พยายามออกมาขยายกลุ่มธุรกิจอื่นก็น่าจะเป็นเพราะตลาดค้าปลีกอุปกรณ์ถ่ายภาพน่าจะค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว
ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ
ผลประกอบการล่าสุดของปีนี้ ดูเหมือนว่ายอดขายอุปกรณ์ถ่ายภาพของบริษัทไม่น่าจะเติบโตอะไรมากมายอาจจะน้อยลงนิดนึงด้วยซ้ำ เลยทำให้คนน่าจะตกใจ ราคาหุ้นเลยตกลงมาเยอะมาก
สมมติถ้าเราจะซื้อหุ้น BIG Camera เรื่องที่เราต้องนึกคือ
- ตลาดกล้องถ่ายรูป อนาคตมันจะยังทำได้อย่างน้อยคงที่ต่อไปหรือไม่
เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจ มันขึ้นอยู่กับว่ากล้อง Mirrorless กับ DSLR จะพัฒนาตัวเองหนีนวัตกรรมโทรศัพท์มือถือไปได้เรื่อยๆหรือเปล่า ถึงวันนึงถ้ากล้องมือถือมันคุณภาพดีมากๆขึ้นมาอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้กล้องพวกนี้เลยก็ได้ และถ้าไม่ต้องมีกล้องก็ได้ ก็แปลว่าไม่ต้องมี BIG Camera ก็ได้ เรื่องนี้ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงจริงจังอยู่เหมือนกัน แต่ ณ วันนี้ดูเหมือนคุณภาพของ Mirrorless ก็ยังห่างกับมือถือทำให้คนยังยินดีซื้อกล้องพวกนี้อยู่นะ
- คนจะซื้อกล้องผ่านทางออนไลน์แทนหรือเปล่า
โดยทั่วไปสินค้าหรือของที่มีมูลค่าสูงผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะอยากเห็นของจริงอยากจับลองใช้ดูก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ และกล้องก็เป็นหนึ่งในของที่ผมเชื่อว่าคนจะอยากจับของจริงก่อนซื้อ แต่ล่าสุดผมเจอส่วนตัวเลยว่ามีคนซื้อของแบบนี้ทางออนไลน์อยู่เหมือนกัน รุ่นพี่ที่รู้จักกันเค้าซื้อกล้อง Canon ผ่าน Lazada ครับ ก็เลยทำให้นึกขึ้นมาเหมือนกันว่าถ้าคนอนาคตซื้อกันบนออนไลน์ BIG Camera ก็น่าจะอ้วกอยู่ แต่เรื่องนี้ผมว่ายังน่ากังวลน้อยหน่อย เพราะเท่าที่เห็นคนส่วนใหญ่ที่ซื้อกล้องก็ยังไปที่ร้านอยู่นะ
ส่วนตัวแล้วผม ถ้าเอาตามตรงผมก็คิดว่าตลาดกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพก็ไม่น่าจะเติบโตไปกว่านี้เยอะแยะ BIG Camera เองที่ส่วนแบ่งการตลาดเกินครึ่งก็ไม่น่าจะขยายไปได้มากกว่านี้นักหนา มองว่าน่าจะทรงๆมากกว่า ส่วนสายธุรกิจใหม่อย่างค้าปลีกมือถือกับอุปกรณ์ก็นึกไม่ออกว่ามันจะมีอะไรเด่นกว่าคุ่แข่งเดิมดังนั้นก็ไม่คิดว่าจะเป็นสาระสำคัญ ธุรกิจที่พิมพ์ภาพก็ไม่น่าจะเป็นสาระเช่นกันเพราะคนที่จะสนใจพิมพ์ภาพออกมาเป็นแผ่นใหญ่ๆก็ไม่น่าจะเยอะ
ที่น่าสนใจอย่างเดียวเลยสำหรับผมคือตอนนี้ราคามันถูกครับ อย่าง 2 ปีล่าสุดกำไรต่อหุ้นอยู่ 0.24 กับ 0.22 บาท ถ้าเอาแบบหยาบๆว่าปีนี้และต่อๆไปกำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ 0.2 บาทต่อหุ้น ราคาตอนนี้ 1.96 บาท คิดเป็นอัตรากำไร 10.2% ก็ไม่เลวอยู่นะ ขอแค่บริษัททำได้เท่าๆเดิมไปตลอดเท่านั้นเอง
Disclosure
ปัจจุบันผมไม่ได้มีหุ้นใน BIG Camera แต่มีโอกาสที่จะลงทุนใน BIG Camera ในอนาคตถ้าราคาตกลงมาอีก
ผมเขียนบทความนี้ด้วยตัวเองและเขียนจากความเห็นส่วนตัว ผมไม่ได้รับค่าตอบแทนใดหรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆกับบริษัทที่ผมพูดถึงในบทความนี้
หุ้นที่ผมสนใจ – Bellway
Stock in my focus – Bellway
As of July 7, 2018 ราคาหุ้นอยู่ 2,897p
Bellway นี่เป็นบริษัททำธุรกิจสร้างบ้านในอังกฤษ ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นเริ่มตกลงมาเลยเริ่มดูน่าสนใจมากขึ้น วันนี้ผมพูดถึงบริษัทนี้กันครับ
ลักษณะธุรกิจ
Bellway เป็นหนึ่งในบริษัทสร้างบ้านกลุ่มใหญ่ในอังกฤษ อยู่ในตลาดสร้างบ้านในอังกฤษมากว่า 70 ปี ทำบ้านเดี่ยวหลายขนาดมีตั้งแต่ใหญ่ 6 ห้องนอนจนถึงทำอพาร์ทเม้นต์ เมื่อเทียบกับคู่แข่งเฉลี่ยแล้วราคาบ้านของยี่ห้อนี้จะต่ำกว่า เข้าใจว่าบริษัทเน้นสร้างบ้านตลาดกลุ่มกลางกับล่างมากกว่า ถ้าเป็นบ้านเดี่ยวจะสร้างอยู่นอกลอนดอน ส่วนอพาร์ทเม้นต์จะเน้นอยู่ในโซน 2 ของลอนดอน
โมเดลธุรกิจคือแบบบริษัทสร้างบ้านทั่วไป บริษัททำการมองหาทำเลที่น่าจะเอามาพัฒนาทำที่อยู่อาศัย, ไปซื้อที่ดินเหล่านั้นมา, ทำการวางแผนโครงการที่น่าจะขายได้, ทำการขายจอง, สร้างให้เรียบร้อย, ส่งมอบ แล้วก็เก็บเงินลูกค้า ก็คือธรรมดานั่นแหละ
คู่แข่งในตลาดสร้างบ้านก็มีเยอะพอสมควร ถ้านับเฉพาะกลุ่มบริษัทที่เป็นขนาดใหญ่ด้วยกัน Bellway ก็ถือว่าไม่ได้ใหญ่ที่สุด มีใหญ่กว่าก็หลายเจ้าอยู่ บริษัทคู่แข่งหลักๆเช่น Barratt Developments, Taylor Wimpey, Persimmon, Redrow
แล้วที่ผ่านมาเป็นไง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทนี้ก็เหมือนบริษัทอื่นตรงที่ขาดทุนตอนปี 2009 ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งก็เข้าใจได้เพราะในเวลานั้นความต้องการซื้อบ้านหดตัวลงรุนแรงมากและธนาคารเองก็ไม่ปล่อยกู้แน่นอนอยู่แล้ว หลังจากปีนั้นมาบริษัทก็ฟื้นตัวขึ้นมาตามลำดับ โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ความต้องการบ้านใหม่ในอังกฤษสูงขึ้นมาก พวกบริษัทอย่าง Bellway ก็ได้ประโยชน์และทำได้ดีในช่วงที่ผ่านมา เรียกว่าทำได้ดีมากเลยแหละ เพราะรายได้เพิ่มขึ้นจากทั้งจำนวนบ้านที่ขายก็เพิ่มขึ้น และราคาขายเฉลี่ยต่อบ้านหนึ่งหลังก็เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรของบริษัท Bellway เพิ่มสูงขึ้นเยอะมาก (และจริงๆก็ทุกเจ้าในกลุ่มนี้แหละ) จนปัจจุบันมีปัญหาอิฐก่อบ้านในตลาดมีไม่พอเลยทีเดียว
ที่สำคัญ ดูเหมือนว่า Bellway จะสร้างบ้านได้คุณภาพใช้ได้ซะด้วย อ้างอิงจาก National New Homes Survey 2018 สำรวจโดย Home Builders Federation นับในกลุ่มคู่แข่งขนาดใหญ่ด้วยกัน Bellway ก็เป็นยี่ห้อที่ได้เรทติ้ง 5 ดาวคู่กับ Barratt Developments ส่วนคู่แข่งหลักอื่นๆก็จะมี Taylor Wimpey, Redrow กับ Persimmon พวกนี้เรทติ้งไม่ถึง 5 ดาว
ปีล่าสุดนี้ผู้บริหารก็ยังยืนยันว่ายอดขายยังสูงขึ้นอยู่ ความต้องการบ้านยังดีและปีนี้บริษัทน่าจะทำลายสถิติสร้างและขายบ้านได้ถึง 10,000 หลังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทด้วย
ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ
ถึงผลประกอบการปีที่แล้ว 2017 กับที่ผ่านมาของปีนี้ 2018 บริษัทจะทำได้ดีขึ้นอีก แต่ราคาหุ้นเริ่มตกลงมาบ้างแล้ว สาเหตุหลักดูเหมือนจะมาจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจและแนวโน้มตลาดบ้านโดยรวมของอังกฤษ ปัจจัยที่ทำให้คนกังวลมีหลักๆดังนี้
- วัตถุดิบสร้างบ้านที่เริ่มขาดแคลน ทำให้ต้นทุนน่าจะสูงขึ้น
วัสดุสร้างบ้านอย่างอิฐกับหลังคาปัจจุบันขาดตลาดจนต้องนำเข้า ยิ่งค่าเงินปอนด์ช่วงนี้ต่ำเพราะเรื่อง Brexit ก็ทำให้ต้นทุนการสร้างบ้านเริ่มปรับสูงขึ้น
- อัตราดอกเบี้ยที่ดูแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ช่วงก่อนตั้งแต่ตอนมีวิกฤติเศรษฐกิจ ธนาคารกลางหลายประเทศปรับอัตราดอกเบี้ยต่ำลงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เลยทำให้เป็นผลดีกับตลาดบ้าน เพราะตลาดนี้คนมันต้องกู้เงินมาซื้ออยู่แล้ว ดอกเบี้ยที่ต่ำทำให้ต้นทุนการซื้อบ้านต่ำไปด้วย แต่ทีนี้ช่วงหลังนี้ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มปรับดอกกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นละ เพราะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ อย่างอเมริกากับสหภาพยุโรปนี่ประกาศชัดเจนแล้วว่าปรับขึ้น ด้งนั้นในอนาคตถ้าดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนของเงินกู้ซื้อบ้านก็จะสูงขึ้นด้วย
- สภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ ผลมาจากเรื่อง Brexit
ปัจจุบันอังกฤษกำลังจะต้องออกจากสหภาพยุโรปแล้ว แต่เท่าที่ดูคือตกลงเรื่องพวกภาษีนำเข้าส่งออกยังไม่ได้ แปลว่าอนาคตเศรษฐกิจก็ต้องมีผลกระทบบ้างแน่นอน ความไม่แน่นอนเรื่องนี้ยังมีอยู่เยอะมาก ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น
ส่วนตัวผมก็คิดว่าเราคงไม่หวังให้ความต้องการบ้านในอังฤษสูงขึ้นพรวดพราดแบบแต่ก่อน เพราะที่ผ่านมามันมาจากช่วงที่ฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจเลยโตแบบรวดเร็ว เราคาดหวังให้มันคงที่หรือต่ำลงเล็กน้อยน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่า
ทีนี้สิ่งที่ทำให้ผมเกิดสนใจขึ้นมาคือผเห็นตัวอย่างของ Land & House ที่ประเทศไทย เชื่อว่าเวลาคนจะซื้อบ้านมันไม่ใช่บ้านอะไรก็ได้ถูกที่สุดเข้าว่ายี่ห้อไหนก็เหมือนกันน ผมเชื่อว่าเวลาคนซื้อบ้านความมีชื่อเสียงและประวัติผลงานที่ดีของบริษัทมีผลมากอยู่ คนจะซื้อของราคาเป็นล้านคงไม่ใช่ซื้อสุ่มแน่นอน และเท่าที่ดู Bellway ก็ได้รับเรทติ้งที่ดีมาติดต่อกันหลายปีน่าจะใช้ได้ อีกอย่างหนึ่งคือหนี้สินประเภทเงินกู้ระยะยาวของ Bellway ค่อนข้างน้อยมาก แปลว่าบริษัทนี้ก็บริหารแบบใช้ความระมัดระวังพอสมควร ผู้บริหารไม่บ้าจี้ไปเป็นหนี้แล้วขยายอะไรเกินตัว ซึ่งตรงนี้สำคัญมากสำหรับธุรกิจที่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นหลัก
ราคาหุ้นในเวลานี้ก็ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว กำไรต่อหุ้นช่วงปี 2016-2017 คือ 328p กับ 369p ในขณะที่ราคาตอนนี้คือ 2,897p สมมติง่ายๆถ้าปีต่อๆไปบริษัทนี้กำไรตกลงจากปี 2017 ไปซัก -10% เหลือเท่าไป 2016 พอ เทียบกับราคาตอนนี้ผลตอบแทนอยู่ที่ 11.32% แล้วถ้าเราคิดสมมติกำไรตกลงจากปี 2017 ซัก -25% อัตราผลตอบแทนก็ยังอยู่ที่ 9.55% ซึ่งผมว่านี่ก็เผื่อพอสมควรแล้วนะ แต่กำไรก็ยังใช้ได้อยู่ เลยเป็นอะไรที่ผมกำลังให้ความสนใจเวลานี้เลยครับ
ปล. หุ้นบริษัทสร้างบ้านอื่นในอังกฤษก็ดูไม่เลวนะ ลองไปศึกษาเจ้าอื่นดูก็ดีครับ มันราคาตกกันทั้งกลุ่มนี่แหละ
Disclosure
ปัจจุบันผมมีถือหุ้นใน Bellway และมีโอกาสสูงที่จะลงทุนใน Bellway เพิ่มเติมในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าราคาตกลงมาอีก
ผมเขียนบทความนี้ด้วยตัวเองและเขียนจากความเห็นส่วนตัว ผมไม่ได้รับค่าตอบแทนใดหรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆกับบริษัทที่ผมพูดถึงในบทความนี้
เรียนรู้เรื่องงบการเงิน 1: งบการเงินคืออะไร? หาได้จากที่ไหน?
What is Financial Statement and Where to Find it?
งบการเงินเป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาประกอบการตัดสินใจเลือกหุ้น
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่างบการเงินคืออะไร
เราหางบการเงินได้จากที่ไหน
FAQ : ถ้าอยากเล่นหุ้น แต่ไม่อยากรู้อะไรเลยทำไงดี? (VDO)
How to Invest well if I want to know NOTHING
พอร์ตติดลบทำไงดี?
What To Do When Port Plunges?
ไม่มีใครหรอกที่ซื้อหุ้นทุกตัวแล้วขึ้นตลอด ขึ้นทุกตัว ไม่เคยตก! เป็นธรรมชาติของหุ้นที่ต้องมีขึ้นมีลง แต่ขึ้นอยู่กับว่าถ้าหุ้นตกหรือพอร์ตติดลบแล้ว เราจะทำอย่างไรกับมันต่างหาก เรื่องนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะตัดสินว่า คุณจะกำไรหรือขาดทุน











