กำไรต่อหุ้นปรับลด (Diluted EPS) คืออะไร ? ต่างจากกำไรต่อหุ้นพื้นฐาน (Basic EPS) ยังไง ?

Diluted Earnings per Share Explained

กำไรต่อหุ้นปรับลด (Diluted EPS) คืออะไร ? ต่างจากกำไรต่อหุ้นพื้นฐาน (Basic EPS) ยังไง ?

วีดิโอหัวข้อนี้เรามาอธิบายเรื่องกำไรต่อหุ้นปรับลดครับ

มันคืออะไร ?

ตัวกำไรต่อหุ้นปรับลดนี่คือมีไว้ให้เราดูว่าถ้าสมมติมีการใช้สิทธิ์ของทรัพย์สินที่มีสิทธิ์การแปลงสภาพหรือมีสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญทั้งหมด  กำไรต่อหุ้นจะเป็นเท่าไหร่

อย่างเช่นสมมติบริษัท A ตอนนี้มีหุ้นอยู่ 100 หุ้น  และมีกำไรปีละ 100 บาท ถ้าเราเป็นเจ้าของหุ้นหนึ่งหุ้นก็คือเราเป็นเจ้าของกำไร 1 บาทใช่มั้ยครับ  มาจากกำไร 100 บาทหารด้วย 100 หุ้นก็ได้เป็นกำไรต่อหุ้น (basic EPS) 1 บาท แต่ทีนี้สมมติว่าบริษัทมีการออกหุ้นกู้แปลงสภาพเอาไว้  แล้วมันสามารถแปลงเป็นหุ้นได้ทั้งหมด 100 หุ้น ก็แปลว่าเมื่อเวลาผ่านไปถ้าเค้าใช้สิทธิแปลงสภาพขึ้นมาเมื่อไหร่บริษัทก็จะกลายเป็นมีหุ้นอยู่ทั้งหมด 200 หุ้น  และกำไรที่เราเป็นเจ้าของก็จะถูกเจือจางเพราะมีคนมาช่วยหารเหลือแค่ 0.5 บาท มาจากกำไร 100 บาทหารด้วย 200 หุ้นก็จะได้เป็นกำไรต่อหุ้นปรับลด (diluted EPS) 0.5 บาท

ควรจะดูอันไหน basic หรือ diluted ?

หลักๆมันขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังดูจากมุมมองไหน

ตัวกำไรต่อหุ้นมันก็พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วว่ากำไรที่เกิดขึ้นเทียบกับจำนวนหุ้นที่มีอยู่เป็นเท่าไหร่  มันก็จะมีสาระกับเราถ้าเราเป็นเจ้าของหุ้นนี้อยู่แล้วและเราอยากรู้ว่ากำไรต่อหุ้นที่เราเป็นเจ้าของคือเท่าไหร่

ส่วนตัวกำไรต่อหุ้นปรับลดมันพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าสมมติว่าได้มีการเจือจางความเป็นเจ้าของแล้วกำไรต่อหุ้นจะเหลือเท่าไหร่  มันก็จะมีสาระถ้าเรากำลังประมาณมูลค่าและตัดสินใจว่าจะซื้อหุ้นดีมั้ย

ดังนั้นโดยปกติถ้าเรากำลังคิดจะซื้อหุ้นเราก็ควรจะดูกำไรต่อหุ้นปรับลดครับ

 

สูตรอย่างเป็นทางการ

จริงๆมันก็มีอยู่บนงบการเงินอยู่แล้วนะ  แต่เผื่อใครอยากคำนวณเองเพื่อความสนุก สูตรอย่างเป็นทางการของมันจะเป็นแบบนี้ครับ  https://analystnotes.com/cfa-study-notes-earnings-per-share.html

จริงๆมันจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมนิดหน่อยที่ต้องใช้วิจารณญาณเช่น

  • ถ้ามีสัญญาอะไรค้างอยู่ที่สามารถจ่ายโดยใช้เงินสดหรือจ่ายเป็นหุ้นก็ได้  ให้สมมติว่าจ่ายเป็นหุ้นไว้ก่อน
  • กรณีพวกหุ้นกู้แปลงสภาพหรือออพชั่นที่ให้พนักงาน (stock option)  ดูด้วยว่าสิทธิมันมีแนวโน้มจะได้ใช้ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาหรือเปล่า เช่นสมมติมีสิทธิซื้อหุ้นได้ที่ 50 บาทต่อหุ้น  แต่ราคาหุ้นตอนนี้อยู่ 5 บาทและออพชั่นจะหมดอายุใน 1 ปีแบบนี้มันก็ไม่น่าจะได้ใช้สิทธิ์
  • คำนวณจำนวนหุ้นที่่เพิ่มมาของพวกที่แปลงสภาพมาจะตรงไปตรงมาก็คือเอาราคาพาร์มันหารกับราคาแปลงสภาพตรงๆ  เช่นหุ้นก็แปลงสภาพพาร์ 1,000 บาท มีสิทธิแปลงสภาพได้ที่ 50 บาทต่อหุ้น ก็คือถ้าใช้สิทธิแปลงสภาพจะมีหุ้นใหม่โผล่มา 1,000/50 = 20 หุ้น
  • คำนวณจำนวนหุ้นที่เพิ่มมาจากการใช้ stock option จะยุ่งกว่ากันนิดนึง  สมมติออพชั่นให้สิทธิ์ซื้อหุ้นได้ 100 หุ้นในราคาหุ้นละ 10 บาท แล้วตอนนี้หุ้นในตลาดขายอยู่ที่ 20 บาท  พอคนใช้สิทธิปุ๊บเค้าก็ต้องจ่ายเงินให้บริษัท 1,000 บาท บริษัทก็เอาเงิน 1,000 บาทที่ได้มานั่นไปซื้อหุ้นในตลาดก่อนซึ่งขายอยู่ที่ราคาหุ้นละ 20 บาทได้มา 50 หุ้นให้คนใช้สิทธิไป  หลังจากนั้นก็ออกหุ้นใหม่เพิ่มขึ้นจนครบคืออีก 50 หุ้นให้คนใช้สิทธิไป ดังนั้นสังเกตคือถึงแม้ว่าคนใช้สิทธิซื้อได้ 100 หุ้นแต่สรุปหุ้นใหม่ที่เพิ่มมาจะเป็น 50 หุ้นไม่ใช่ 100 หุ้น

 

ตัวอย่างบริษัทที่มีพวกหุ้นกู้แปลงสภาพก็เช่นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ข้อมูลว่า “ผู้บริหารซื้อหรือขายหุ้น” หาได้ที่ไหน?

How to know when the management sell or buy shares ?

ข้อมูลว่า “ผู้บริหารซื้อหรือขายหุ้น” หาได้ที่ไหน?

มีคนถามเราว่าจะทราบข้อมูลเวลาผู้บริหารขายหรือซื้อหุ้นได้จากที่ไหน  เค้ามองว่าเรื่องพวกนี้สำคัญเพราะผู้บริหารเป็นกลุ่มคนที่รู้เรื่องภายในของบริษัทเป็นอย่างดีและการซื้อหรือขายหุ้นของคนเหล่านี้ถ้าเป็นจำนวนที่เยอะอาจจะเป็นสัญญาณว่าบริษัทดีหรือไม่ดีก็ได้

ส่วนตัวผมอาจจะไม่ได้ดูเรื่องนี้เป็นปัจจัยในการตัดสินใจเท่าไหร่  แต่ถ้าสมมติเราอยากทราบข้อมูลเรื่องนี้สามารถเข้าไปหาดูได้บนเวปของกลต.

กลต. กำหนดให้กรรมการ, ผู้บริหาร  และผู้สอบบัญชีของบริษัทต้องมีการเปิดเผยการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์รวมถึงสัญญาซื้อขายล่วงหน้า  ทั้งของตัวเอง, คู่สมรสและบุตร เพื่อให้บุคคลทั่วไปอย่างเราสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้

เข้าไปในเวปนี้  https://market.sec.or.th/public/idisc/th/r59  หาชื่อบริษัทที่ต้องการแล้วก็ใส่ช่วงเวลาที่ต้องการค้นหาเอาเลยครับ

และเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นผมก็แนะนำให้ดูจำนวนหุ้นที่ซื้อหรือขายเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมดนะ  จะได้รู้ว่ามันเป็นสาระสำคัญหรือเปล่า จำนวนหุ้นก็สามารถดูได้บนเวป www.set.or.th ตามปกติแหละ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตัวเลขน่าสนใจ : ผลกระทบ COVID-19 ในจีน

Update: COVID-19 impact on China

ตัวเลขน่าสนใจ : ผลกระทบ COVID-19 ในจีน

ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าผลกระทบจากการระบาดรอบนี้จะจบเมื่อไหร่หรือรุนแรงขนาดไหน  แต่เมื่อเร็วๆนี้ผมอ่านเจอบทความอันนึงบน Forbes ที่มีตัวเลขจาก Nomura Global Economics แสดงผลกระทบกับจีนน่าสนใจผมเลยเอามาเล่าให้ฟังครับ  นี่เป็นลิ้งค์ของบทความที่ว่าครับ https://www.forbes.com/sites/kenrapoza/2020/02/22/coronavirus-impact-china-has-fallen-into-bizarro-world/#3faa213e2edd

ตัวเลขกลับมาทำงาน (Return to work)  เค้าพบว่าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วคนส่วนใหญ่จะกลับมาทำงานกันเกือบ 100% แล้ว  แต่ปีนี้เมืองทั้ง Tier 1, 2, 3 คนกลับมาทำงานไม่ถึง 30%

ตัวเลขการใช้การขนส่งสาธารณะ (Public transport)  ตัวจำนวนผู้โดยสารทางรถไฟเพื่อเดินทางระหว่างเมืองต่อวันลดลงเกือบ -90%  และการใช้รถไฟฟ้าในเมืองทั้ง Shanghai และ Beijing ก็ลดลงฮวบประมาณ -90% เหมือนกัน

ตัวเลขการขายบ้านใหม่วัดตามตารางเมตรลดลงเกือบ -90%  และการใช้ถ่านหินของโรงไฟฟ้าลดลงประมาณ -40% เข้าใจว่าเป็นเพราะภาคการผลิตยังไม่กลับมาดำเนินงานเต็มที่

โดยรวมก็น่าจะมีผลกระทบกับตัวเศรษฐกิจพอสมควร  แต่เท่าที่ดูตลาดหุ้นจีนไม่ค่อยแตกตื่นเท่าไหร่  มีตกจริงจังช่วงหลัง Lunar New Year ตอนตลาดเปิดวันแรกเท่านั้นเอง  หลังจากนั้นโดยภาพรวมก็ดูฟื้นกลับขึ้นมาตลอด ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะรัฐบาลประกาศนโยบายที่อุ้มภาคธุรกิจหรือเปล่าหรือเป็นเพราะช่วงนี้จำนวนผู้ป่วยใหม่ในจีนที่ประกาศออกมาดูลดลง

ดังนั้นในเวลานี้ถ้าจะบอกว่าตลาดหุ้นจีนดูน่าสนใจมากก็คงไม่ใช่  แต่ก็ยังน่าติดตามครับ อาจจะมีเหตุหุ้นตกรุนแรงเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นไปได้


 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

กลายเป็นว่า พอร์ตความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนดีกว่า!

Minimum Volatility Index Outperforms Market Weighted Index!

กลายเป็นว่า พอร์ตความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนดีกว่า!

เมื่อเร็วๆนี้ผมไปอ่านเจอว่าดัชนีหุ้นที่เน้น Minimum volatility ทำได้ดีกว่าดัชนี benchmark อย่างมีนัยสำคัญ  ผมเลยเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังครับ

Minimum volatility มันก็เป็นไอเดียการลงทุนแบบนึงที่เน้นจัดพอร์ตการลงทุนเลือกหุ้นให้โดยรวมความผันผวนต่ำที่สุดไว้ก่อนโดยที่ไม่สนใจเรื่องผลตอบแทนคาดหวัง (expected return)  ซึ่งถ้าตามทฤษฎีแล้วมันก็เป็นจุดที่อยู่ซ้ายสุดบน efficient frontier น่ะแหละ  

ทีนี้ในทางทฤษฎีมันก็ควรจะใช้การได้นะ  แต่มันไม่น่าจะผลตอบแทนดีมากได้เพราะตามทฤษฎีคือยิ่งอะไรที่มีความเสี่ยงต่ำผลตอบแทนมันก็ควรจะต่ำตาม  เพราะถ้าอะไรที่ความเสี่ยงต่ำด้วยและผลตอบแทนสูงด้วยคนก็น่าจะแห่มาทำแบบเดียวกันจนทำให้ราคาของมันสูงขึ้นและดังนั้นผลตอบแทนก็จะต่ำลงจนสอดคล้องกับความเสี่ยง

แต่ผลปรากฎว่าดัชนีที่ใช้ Minimum volatility เป็นเกณฑ์ชนะดัชนีที่เป็นค่าเฉลี่ยตลาดครับ  แล้วก็ไม่ใช่แค่ในตลาดใดตลาดหนึ่งด้วยนะ แต่เป็นแบบนั้นทั้งโลกครับ ผมเอาตัวอย่างมาให้ดู

MSCI World Minimum Volatility vs. MSCI World  ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีย้อนหลังไม่ว่าจะเป็น 3ปี, 5ปี, 10ปี หรือนับตั้งแต่ก่อตั้ง Minimum Volatility ก็ชนะมาโดยตลอดประมาณปีละ 1%  https://www.msci.com/documents/10199/4d26c754-8cb9-4fa8-84e6-a51930901367

 

ถ้าเทียบในตลาดหุ้นอเมริกา MSCI USA Minimum Volatility vs. MSCI USA  ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีย้อนหลังไม่ว่าจะเป็น 3ปี, 5ปี, 10ปี หรือนับตั้งแต่ก่อตั้ง Minimum Volatility ก็ชนะมาโดยตลอดเช่นกัน  แต่ส่วนต่างแคบลงมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านับช่วงยาวๆ https://www.msci.com/documents/10199/f5c0900d-ab44-4bdd-bec7-94761d009094

ส่วนยุโรป MSCI Europe Minimum Volatility vs. MSCI Europe  ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีย้อนหลังไม่ว่าจะเป็น 3ปี, 5ปี, 10ปี หรือนับตั้งแต่ก่อตั้ง Minimum Volatility ก็ชนะมาโดยตลอดเช่นกัน  แล้วชนะแบบทิ้งห่างด้วยนะ https://www.msci.com/documents/10199/ddd35203-4b36-4c5b-b2cb-2c77e0e4a751

 

ส่วนในเอเชีย MSCI AC Asia Pacific ex. Japan Minimum Volatility vs. MSCI AC Asia Pacific ex. Japan  นี่แปลกออกไปหน่อย ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีย้อนหลังระยะสั้น 3ปี กับ 5ปี Minimum Volatility แพ้ แต่ถ้าเป็นช่วงยาว 10ปีหรือนับตั้งแต่ก่อตั้ง Minimum Volatility ก็ชนะอยู่และจริงๆก็ชนะอยู่มากกว่า 1% ต่อปีทีเดียว  https://www.msci.com/documents/10199/4db07b71-9b9d-405e-a7c4-06b0854603ea

 

สาเหตุที่ทำไม Minimum Volatility ถึงผลตอบแทนดีกว่าก็มีคนพยายามออกมาให้เหตุผลอธิบายหลากหลาย  บางคนก็บอกว่าอาจเป็นเพราะพวกนักลงทุนสถาบันหรือพวกกองทุนเค้าถูกวัดผลจากผลตอบแทนเทียบกับค่าเฉลี่ยก็เลยทำให้ส่วนใหญ่เลือกที่จะลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนมากกว่าและผลตอบแทนคาดหวังสูงกว่าจนทำให้หุ้นพวกนั้นแพงในขณะที่หุ้นที่ผันผวนต่ำกว่าไม่ได้รับการสนใจเลยทำให้มันราคาถูก  หรือบางคนก็บอกว่าเป็นเพราะหุ้นที่มีความผันผวนมากกว่าถูกพูดถึงในข่าวบ่อยกว่าทำให้คนสนใจมากเกินเลยทำให้ราคาพวกนี้แพง แต่เอาจริงๆก็คือไม่มีใครรู้ว่าทำไมอย่างชัดเจน

แล้วเมื่อรู้แบบนี้แล้วเราจะลงทุนแบบ Minimum Volatility ยังไง  สำหรับคนที่เลือกหุ้นรายตัวลงทุนด้วยตัวเองก็คงทำอะไรไม่ได้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราเท่าไหร่  แต่สำหรับคนที่ลงทุนในกองทุนรวมในไทยมันมีกองทุนรวมประเภทนี้อยู่แน่นอนครับ

สำหรับใครที่อยากอ่านว่าวิธีการสร้างตัวดัชนีของ MSCI เค้าทำยังไงผมทิ้งลิ้งค์ไว้ให้ตรงนี้ครับ  https://www.msci.com/eqb/methodology/meth_docs/MSCI_Minimum_Volatility_Methodology_Sep2017.pdf

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี สินทรัพย์ประเภทไหนไม่โดนผลกระทบบ้าง?

What kind of assets are least effected during a recession ?

ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี สินทรัพย์ประเภทไหนไม่โดนผลกระทบบ้าง?

ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหมายถึงช่วงที่กิจกรรมทางธุรกิจน้อยลงต่อกัน 6 เดือนขึ้นไป  สถานการณ์มันจะประมาณว่าคนใช้จ่ายน้อยลง, ซื้อของหรือกินข้าวนอกบ้านน้อยลง, โรงงานก็ผลิตสินค้าน้อยลง, จ้างคนน้อยลง, ลงทุนน้อยลง  และก็เลยจะทำให้บริษัทส่วนใหญ่กำไรลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะต้องเลวร้ายหมด ทรัพย์สินที่ได้รับประโยชน์หรือไม่ได้ผลกระทบหรืออย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายมากเท่าที่นึกได้ก็จะมีตามนี้เลย

  1. เงินสด
  2. ชัวร์สุด  ไม่มีผลกระทบอะไรจากวิกฤติเศรษฐกิจแน่นอน  แต่ก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ถ้าจะถือเงินสดไว้เยอะเกินไปแค่เพราะเรากังวลว่าจะมีวิกฤติเศรษฐกิจเพราะผลตอบแทนต่ำจัดมันเลยเป็นการเสียโอกาส

  3. ทอง
  4. ทองก็เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยประเภทหนึ่ง  ที่ผ่านมาราคาทองก็มักจะสูงขึ้นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหรือเมื่อคนตกใจอะไรซักอย่าง

  5. ตราสารหนี้
  6. พวกนี้โดยปกติจะได้เปรียบช่วงเศรษฐกิจตกต่ำเพราะผลตอบแทนมันคงที่กับปลอดภัยกว่า  นอกจากนั้นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำธนาคารกลางมักจะทำการลดอัตราดอกเบี้ยก็ยิ่งทำให้คนที่ถือตราสารหนี้ที่อายุยาวๆได้เปรียบจากราคาที่สูงขึ้น  แต่ข้อเสียของตราสารหนี้คือมันจะชัวร์ไม่เท่าทองหรือเงินสดเพราะตราสารหนี้ก็อาจจะเละได้ถ้าเกิดเศรษฐกิจแย่ลงมากจริงๆจนบริษัทเริ่มเจ๊งและไม่สามารถชำระดอกเบี้ยตราสารหนี้ได้

  7. หุ้นบริษัทที่ขายสินค้าจำเป็น
  8. บริษัทพวกนี้ก็ราคาหุ้นตกเหมือนกันแหละไม่ใช่ว่าไม่ได้รับผลกระทบเลย  แต่โดยภาพรวมจะดีกว่าหุ้นบริษัทประเภทอื่นเพราะอย่างน้อยผลประกอบการมันจะยังดีกว่าทั่วไปและดังนั้นบริษัทก็จะราคาตกรุนแรงน้อยกว่า  สินค้าจำเป็นก็อย่างเช่นน้ำประปา, ไฟฟ้า, ยาสีฟิน, สบู่, ฯลฯ

  9. หุ้นบริษัทที่จ่ายปันผลสูงสม่ำเสมอ
  10. บริษัทพวกนี้ก็จะมีความได้เปรียบเช่นกัน  มันมีงานวิจัยพิสูจน์ชัดเจนว่าช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหรือตลาดหุ้นตก  หุ้นที่มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอราคาตกน้อยกว่าหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล  อันนี้เนื่องมาจากปัจจัยของ yield support

เท่าที่นึกออกน่าจะประมาณนี้นะครับ  แต่ผมแนะนำข้อ 4, 5

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

Checklist ลงทุนในหุ้นต้องมีอะไรบ้าง?

Checklist: Are you ready to invest in stocks ?

Checklist ลงทุนในหุ้นต้องมีอะไรบ้าง?

มีคนถามประมาณว่าเพิ่งเริ่มต้นลงทุนในหุ้นและอยากรู้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้างบ่อยมาก  วันนี้ผมพูดถึงสิ่งที่เราต้องเตรียมสำหรับการลงทุนในหุ้นครับ

  1. แน่นอนว่าต้องมีเงิน
  2. ปัจจุบันหลายโบรกเกอร์คิดค่าธรรมเนียมตามจริงและไม่มีขั้นต่ำแล้ว  ดังนั้นมีเงินหลักร้อยหลักพันก็คือเริ่มต้นลงทุนในหุ้นได้แล้ว

  3. ยอมรับได้มั้ยว่าอาจจะต้องทิ้งเงินลงทุนไว้ในหุ้นหลายปี
  4. นี่มันเป็นเกมที่วัดผลกันในระยะยาว  ตลาดหุ้นในระยะสั้นผันผวนมาก คนที่ลงทุนระยะยาวได้จะได้เปรียบมาก  ดังนั้นถ้ารู้ว่าเงินที่จะเอามาลงทุนในหุ้นไม่ใช่เงินเย็นกำลังจะต้องเอาไปใช้อะไรซักอย่าง  ผมว่าอย่าเพิ่งลงทุนในหุ้นเลย

  5. ต้องมี realistic expectation
  6. บางคนเข้าใจว่าลงทุนในหุ้นมันจะต้องกำไรเยอะมากหรืออะไรซักอย่าง  ขอให้เข้าใจว่าการลงทุนในหุ้นผลตอบแทนมันเป็น % จากเงินต้น ดังนั้นสมมติลงทุนหลักพันมันก็จะไม่กลายเป็นหลักล้านในเวลาอันสั้น  เพื่อให้เห็นภาพผมอ้างอิงตัวเลขสถิติของกองทุนรวมประเทศไทยจากเวป AIMC ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนหุ้นที่ทำได้กลางๆในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 10.17%/ปี  และช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.54%/ปี

  7. คุมสติได้มั้ยถ้าเห็นหุ้นที่ซื้อมาตกไป 20-30%
  8. ว่าง่ายๆคือสมมติลงทุนไป 100,000 บาท  ผ่านไปไม่กี่เดือนมูลค่าเงินลงทุนเหลือ 70,000 บาท  คุณจะรู้สึกตกใจแล้วรีบขายหรือเปล่า เพราะถ้าจะลงทุนในหุ้นให้ได้ประสบความสำเร็จเวลาหุ้นตกมันจะต้องพิจารณาว่าเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นที่ดีเพิ่มหรือเป็นเพราะมีปัญหาจริงๆแล้วควรจะขาย  ถ้ารู้ตัวว่าจะคุมสติไม่ได้ก็อาจจะไม่เหมาะที่จะลงทุนในหุ้น

  9. ยินดีที่จะใช้เวลาในการศึกษาบริษัทที่จะซื้อหรือเปล่า
  10. เรื่องนี้เป็นอะไรที่ช่วยไม่ได้ยังไงก็ต้องทำถ้าอยากที่จะลงทุนในหุ้นด้วยตัวเอง  ถ้ารู้สึกว่าไม่อยากทำหรือชอบที่จะพึ่งพาความคิดเห็นคนอื่นมากกว่าก็อาจจะควรลงทุนในกองทุนรวมดีกว่า

  11. เรียนรู้การอ่านงบบัญชี
  12. อันนี้ไม่ได้เป็นอะไรที่ยากเกินไป  คือเราไม่ได้ต้องเข้าใจบัญชีขนาดว่าไปบันทึก Debit/Credit ด้วยตัวเอง  เอาแค่อ่านตัวงบกำไรขาดทุน, งบแสดงสถานะทางการเงินกับงบกระแสเงินสดเข้าใจว่ามันสื่ออะไรกับเราก็ใช้ได้ละ  ที่เหลือก็พวกอัตราส่วนทางการเงินนิดหน่อยเพื่อให้เราอ่านรู้เรื่องว่าบริษัทผลประกอบการทำได้ดีมั้ย ดีขึ้นหรือแย่ลง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

Holding Company คืออะไร?

What's a Holding Company?

Holding Company คืออะไร?

คำว่า holding company หมายถึงบริษัทที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งอาจจะเป็นหุ้นบริษัทอื่น, อสังหาริมทรัพย์, บริษัทลูกหรืออะไรก็แล้วแต่โดยที่ตัวบริษัทเองไม่ได้มีการดำเนินธุรกิจด้วยตัวเอง  อย่างเช่นบริษัท Intouch Holdings ที่เป็นบริษัทแม่ของ AIS กับ ไทยคม

เวลาที่เราถือหุ้นในบริษัทที่เป็น holding company ก็คิดเหมือนกับเราถือหุ้นบริษัทหรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ภายใต้ holding company นั้นเลยครับ  เช่นสมมติเราถือหุ้นบริษัท holding company อยู่ 10% แล้วตัว holding company นี้ถือหุ้นของบริษัท A 100%, บริษัท B 50% และมีคอนโด 1 หลัง ก็แปลว่าเราเหมือนถือหุ้นบริษัท A 10%, บริษัท B 5% และมีคอนโด 0.1 หลัง

ในระดับของ holding company เนื่องจากตัวบริษัทไม่ได้มีการดำเนินธุรกิจเอง  ผู้บริหารของ holding company ส่วนใหญ่ก็จะมีหน้าที่คัดเลือกผู้บริหารของบริษัทในเครืออีกที, ทำหน้าที่ดูแลภาพรวมและบริหารเงินที่ได้ปันผลมาจากบริษัทในเครือว่าจะลงทุนหรือจ่ายเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้น

ข้อดีของการเป็น Holding company อย่างนึงคืออาจจะสามารถกู้ยืมเงินในระดับของ holding company ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำแล้วไปให้บริษัทลูกยืมต่อได้  แบบนี้ก็เหมือนใช้ความแข็งแกร่งทางการเงินของทั้งกลุ่มลดต้นทุนทางการเงินแทนที่จะให้แต่ละบริษัทย่อยๆไปกู้ยืมเงินกันเอาเอง

และในกรณีที่บริษัทลูกบริษัทหนึ่งเกิดมีปัญหาเจ๊งขึ้นมา  ตัว holding company ก็จะมีการตัดขาดทุนจากการด้อยค่าของทรัพย์สินคือบริษัทลูกที่เจ๊งนั้นก็จบ  เจ้าหนี้ก็ตามได้แค่ตัวบริษัทที่เจ๊งนั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับบริษัทในเครืออื่นๆ ไม่เหมือนกับกรณีที่สมมติไม่ได้เป็น holding company แต่เป็นบริษัทเดียวกันที่มีหลายหน่วยธุรกิจแล้วหนึ่งในนั้นเจ๊ง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

หุ้น Large Cap ก็น่าลงทุน!

Benefits of Holding Blue Chip Stocks

หุ้น Large cap ก็น่าลงทุน!

ก่อนหน้านี้เราคุยกันไปว่าจากหลักฐานสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีสุดคือหุ้นขนาดกลาง (Mid Cap)  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องลงทุนแต่หุ้น Mid Cap เท่านั้น วีดิโอนี้ผมมาพูดถึงข้อดีของหุ้น Large Cap โดยเฉพาะพวกที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของตัวเองให้ฟังครับ

โดยรวมพวกหุ้นใหญ่อาจจะดูน่าเบื่อตรงที่ราคามันจะไม่ได้ขยับอะไรเยอะเมื่อเทียบกับหุ้นเล็กกว่า  แต่สิ่งที่หุ้นใหญ่ได้เปรียบหุ้นกลางหรือเล็กคือ

  1. มักจะมีความได้เปรียบสำคัญบางอย่างที่ทำให้มันเติบโตได้ใหญ่ขนาดนั้นตั้งแต่แรก
  2. ผลประกอบการทำได้สม่ำเสมอมากกว่าเป็นระยะเวลานานกว่า  หลักๆแล้วเพราะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ และมักมีสินค้าหลากหลายขายในหลายพื้นที่
  3. มักจะมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ  เพราะไม่ได้อยู่ในช่วงโตอย่างรวดเร็วจึงใช้เงินลงทุนน้อยกว่า
  4. มักจะมีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง  มีหนี้ไม่เยอะเพราะสามารถใช้กำไรสะสมที่ทำมาลงทุนได้มากกว่า
  5. และถ้าจำเป็นก็มักจะมีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่าเพราะกู้เงินได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า
  6. ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ  หุ้นใหญ่ก็ตกรุนแรงเหมือนกัน แต่ตกรุนแรงน้อยกว่าหุ้นขนาดเล็กเยอะ
  7. หลังวิกฤติเศรษฐกิจ  บริษัทที่เข้มแข็งที่สุดมักจะรอด  และหลังรอดก็มักจะทำได้ดีขึ้นเพราะคู่แข่งที่สถานะทางการเงินไม่เข้มแข็งเท่าตายไปหมด

ดังนั้นถ้ามองจากมุมมองของนักลงทุนแบบเรา  จริงอยู่ที่หุ้น Mid Cap กับ Small Cap โดยรวมผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นใหญ่  แต่นั่นมันคือโดยรวมแบบมองทั้งกลุ่มนะ อย่าลืมว่าถ้าเราลงทุนเองเราอาจจะไม่ได้ซื้อหุ้นทีทั้งกลุ่มและดังนั้นผลตอบแทนเราอาจจะไม่ได้เหมือนกับเฉลี่ยของกลุ่มนะ  ส่วนถ้าเราลงทุนในหุ้นใหญ่ที่เรามั่นใจในธุรกิจเค้า เราก็แทบจะมั่นใจได้ว่าจะกำไรดีพอสมควรในระยะยาวและที่สำคัญชัวร์กว่าด้วยครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ทำไมใช้ Book Value วัดมูลค่าบริษัทตรงๆไม่ได้

Why looking at book value isn't working anymore ?

ทำไมใช้ Book Value วัดมูลค่าบริษัทตรงๆไม่ได้

เพราะปัจจุบันบริษัทส่วนใหญ่มูลค่ามันไม่ได้อยู่ที่สินทรัพย์ที่จับต้องได้แล้วน่ะครับ  ปัจจุบันนี้ถ้าไม่ใช่บริษัทที่ทำธุรกิจสินทรัพย์จับต้องได้จริงๆเช่นเหมืองหรืออะไรแบบนั้นส่วนใหญ่มูลค่ามันจะอยู่กับสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนเป็นหลัก  ซึ่งสินทรัพย์ไม่มีตัวตนนี้ปกติมันไม่ถูกบันทึกในงบบัญชีและดังนั้นเลยไม่ได้รวมอยู่ใน Book Value ครับ

สินทรัพย์ไม่มีตัวตนมันก็เป็นอะไรก็ได้ที่มีมูลค่ากับบริษัท  ทำให้บริษัทขายของได้ แต่ส่วนใหญ่จับต้องไม่ได้มันก็เลยตีมูลค่าบันทึกลงบัญชีลำบาก  เช่นสมมติมีร้านอาหารขนาดเท่ากันมีอุปกรณ์โต๊ะเก้าอี้เหมือนกันทุกอย่าง สองร้านนี้มันก็จะมี Book Value เท่าๆกันเพราะสินทรัพย์ที่จับต้องได้มันมีเท่ากัน  แต่จริงๆแล้วร้านนึงอาจจะทำอร่อย และด้วยความแตกต่างนี้ก็ทำให้สองร้านขายดีไม่เท่ากันและดังนั้นมูลค่าของร้านก็จะไม่เท่ากัน แต่ทีนี้จะให้บอกว่าฝีมือทำอร่อยกว่านั้นมีมูลค่าเท่าไหร่นี่ก็เริ่มยากละ

สินทรัพย์ไม่มีตัวตนมีได้หลายแบบมาก  อย่าง Tesla ก็อาจจะมีคนคือ Elon Musk เป็นสินทรัพย์, Starbucks ก็อาจจะมีเรื่อง status, ฯลฯ  ซึ่งทั้งหมดนี่ตีมูลค่ายากมาก เลยไม่รู้จะบันทึกลงไปในงบการเงินยังไง

ถึงแม้ว่าตัว Book Value อาจจะไม่ได้บอกมูลค่าบริษัท  แต่มันก็ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์เลย Book Value ยังถูกใช้โดยธนาคารหรือคนให้สินเชื่อที่ใช้สินทรัพย์ที่จับต้องได้เป็นหลักในการตัดสินใจให้กู้ครับ

ปัจจุบันผมก็ไม่ได้ใช้ Book Value ในการตัดสินใจซื้อหุ้นนะครับ  ผมมีใช้ Book Value คือสำหรับคำนวณ Return on Equity เท่านั้นเองครับ

 

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

หุ้นที่ไม่จ่ายปันผล ก็ไม่มีประโยชน์เลยหรือเปล่า?

Do Stocks with Zero Dividend Worth a Dime ?

หุ้นที่ไม่จ่ายปันผล ก็ไม่มีประโยชน์เลยหรือเปล่า?

ก็เป็นคำถามที่ดีนะ  คือคนถามนี่เค้าชอบหุ้นที่มีปันผลมากกว่าและมองว่าถ้าหุ้นมันไม่มีการจ่ายปันผล  วิธีเดียวที่เราจะทำกำไรจากการซื้อหุ้นพวกนั้นก็คือต้องภาวนาว่าจะขายต่อให้คนอื่นในราคาที่สูงขึ้นเท่านั้นไม่ใช่เหรอ

ในวีดิโอหัวข้อนี้ผมเลยจะมาพยายามอธิบายให้เห็นภาพว่าทำไมบริษัทไม่ต้องจ่ายปันผลก็สามารถสร้างคุณค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้ครับ

จริงๆแล้วหุ้นที่ไม่จ่ายปันผลมันตอบแทนผู้ถือหุ้นได้ด้วยการเอาเงินที่ไม่ได้จ่ายปันผลนั้นไปลงทุนต่อ แล้วทำให้กำไรของบริษัทโตขึ้น  เมื่อกำไรโตขึ้นนักลงทุนก็ยินดีจะซื้อบริษัทนั้นที่ราคาที่แพงขึ้นแม้ว่าตอนนี้มันจะยังไม่จ่ายปันผล แต่มันไม่ได้หายไปไหนเพราะว่านักลงทุนรู้ว่าเมื่อบริษัทถึงเวลาที่ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรแล้วก็สามารถเปลี่ยนนโยบายมาเป็นจ่ายปันผลได้  และมันจะสามารถจ่ายได้เยอะด้วยเพราะมันมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการที่ในอดีตเอากำไรที่ทำได้ไปลงทุนขยายกิจการครับ

สิ่งที่ทำให้หุ้นที่ไม่จ่ายปันผลได้เปรียบคือ

  1. การจ่ายปันผลออกมาจะต้องเสียภาษี  อย่างประเทศไทยก็คือ 10%
  2. บริษัทอาจจะสามารถเอาเงินไปลงทุนต่อได้ผลตอบแทนสูงกว่านักลงทุน

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg