หุ้นแบบไหน ที่ผ่านมาชนะตลาด ?

Style factor investing

หุ้นแบบไหน ที่ผ่านมาชนะตลาด ?

มันมีคนถามผมอยู่เหมือนกันว่าเรื่องการลงทุนในหุ้นนี่  ในเมื่อตลาดหุ้นก็อยู่มาตั้งนานแล้วและเรามีข้อมูลย้อนหลังทั้งงบการเงินและราคาหลายปีมาก  ทำไมเราไม่มีคำตอบที่ชัดเจนซะทีว่าลงทุนในหุ้นแบบไหนถึงจะให้กำไรสูงสุด  มันยังไม่มีคนไปศึกษาจริงจังหรือไง

จริงๆมันมีการศึกษาเยอะอยู่ครับ  วันนี้ผมมาเล่าให้ฟังถึง Factor หรือลักษณะของหุ้น 6 อย่างที่เค้าศึกษาแล้วพบว่าโดยรวมให้ผลตอบแทนสูงกว่าปกติในระยะยาวครับ

1. Value

อันนี้คือหุ้นที่ราคาที่ต่ำเทียบกับตัวเลขปัจจัยพื้นฐานบางอย่างของหุ้นเช่นกำไร, มูลค่าทางบัญชี, ยอดขายหรืออื่นๆ  ที่ได้รับความนิยมก็จะเป็นตัวราคาเทียบกับ Book value (มูลค่าทางบัญชี)

2. Size

เค้าพบว่าบริษัทที่ขนาดเล็กผลตอบแทนดีกว่าบริษัทขนาดใหญ่  ใหญ่เล็กในที่นี้วัดจาก Market Capitalization

3. Yield

หุ้นที่ Dividend yield หรือปันผลต่อราคาหุ้นสูงจะให้ผลตอบแทนดีกว่า

4. Momentum

เค้าพบว่าราคาหุ้นมีพฤติกรรมที่เป็นเทรนด์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง  หุ้นที่ขึ้นก็มักจะขึ้นต่อไปซักพัก  หุ้นที่ราคาตกก็มักจะตกต่อไปซักพัก  ดังนั้นวิธีการก็คือลงทุนในหุ้นที่ในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนดีกว่าตลาด  เพราะมันจะมีแนวโน้มที่จะผลตอบแทนดีกว่าตลาดต่อไปอีกซักพัก  ระยะเวลาที่เค้าเจอว่า Momentum ยังมีผลก็จะประมาณ 3-12 เดือน

5. Quality

อันนี้พูดถึงโดยรวมว่าบริษัทที่ปัจจัยเชิงคุณภาพดีกว่าเฉลี่ยให้ผลตอบแทนดีกว่า  ปัจจุบันยังไม่ได้มีว่า “คุณภาพ” ที่ว่านี่คือเรื่องอะไรกันแน่  มีทั้งที่บอกดู ROE, การเติบโต, ความสม่ำเสมอของกำไร, D/E ต่ำ, กระแสเงินสดเทียบกับกำไร, ฯลฯ

6. Volatility

อันนี้เป็นอันที่แปลกที่สุดละ  คือเค้าพบว่าตรงกันข้ามกับทฤษฎีที่บอกว่าหุ้นที่มีความผันผวนสูงก็ควรจะผลตอบแทนสูง  ปรากฎว่าสิ่งที่เค้าเจอคือหุ้นที่ความผันผวนต่ำดันผลตอบแทนสูงกว่าไม่สอดคล้องกับทฤษฎี

 

น่าสนใจมะ  ทั้งนี้ผมย้ำอีกทีว่านี่คือการศึกษาโดยรวมไม่ได้ดูไปที่หุ้นใดหุ้นหนึ่ง  เค้าไม่ได้บอกว่าหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่ P/BV ต่ำต้องผลตอบแทนดีทุกบริษัทนะ  เค้าพูดถึงโดยรวม  และอีกอย่างที่อยากจะย้ำคือเค้ากำลังพูดถึงผลตอบแทนระยะยาวหลายปี  ที่บอกผลตอบแทนดีกว่าเฉลี่ยนี่คือถ้าวัดกันช่วงยาวๆ  สิ่งที่เค้าเจอคือ Factor พวกนี้ถ้าดูกันสั้นๆมันดีบ้างไม่ดีบ้าง  อย่าง Momentum เค้าก็พบว่าอาจจะ underperform ตลาดอยู่หลายปีแล้วค่อยกลับมาดี  ถ้าลงทุนวัดกันช่วงสั้นเกินไปก็อาจจะพบว่า Factor พวกนี้ผลตอบแทนห่วยก็ได้

สำหรับคนที่สนใจอ่านเพิ่มเติม  ผมแนะนำว่ามีบทความทำโดย MSCI ที่อธิบายเรื่องนี้ได้ดีมาก  เก่าหน่อยแต่อ่านง่ายเรียบเรียงดีและเค้ามี references ตัวงานวิจัยแต่ละหัวข้อให้เผื่อไปศึกษาเพิ่มเติมด้วยครับ

https://www.msci.com/documents/1296102/1336482/Foundations_of_Factor_Investing.pdf/004e02ad-6f98-4730-90e0-ea14515ff3dc

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ล็อคดาวน์ยุโรปรอบ 2, ประท้วงในไทย, ลงทุนยังไงต่อดี ? – 3 พฤศจิกายน 2563

Second Lockdown in Europe, Protest in Thaliand, How to Invest ? - Nov 3, 2020

ล็อคดาวน์ยุโรปรอบ 2, ประท้วงในไทย, ลงทุนยังไงต่อดี ? – 3 พฤศจิกายน 2563

มีนักเรียนที่เค้าเริ่มบอกจิตเริ่มแกว่งเพราะช่วงที่ผ่านมาเห็นตลาดหุ้นโดยรวมตกลงมา  เค้าถามความเห็นว่าแบบนี้เป็นโอกาสในวิกฤติหรือเป็นวิกฤติซ้ำซ้อน  เศรษฐกิจเมื่อไหร่ถึงจะฟื้น

วีดิโอนี้เรามาคุยสถานการณ์ภาพรวม, อะไรเกิดขึ้นแล้ว, อะไรน่าจะเกิดขึ้นต่อไป  แล้วเราควรจะลงทุนยังไงดี

สิ่งที่เกิดขึ้น

  • ไทยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจน  แต่การท่องเที่ยวแน่นอนยังไม่ฟื้น
  • มีเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองเพิ่มขึ้น
  • ส่วนทั่วโลก  ถ้าดูเรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจจะเห็นว่าดีขึ้น  มีการฟื้นตัวชัดเจนทั้งการบริโภคและการผลิต
  • จีนนี่ไม่ใช่แค่ฟื้นตัว  แต่ถึงขึ้นมีเศรษฐกิจโตเทียบกับปีที่แล้วด้วยซ้ำ
  • การกลับมาระบาดของ COVID-19 เริ่มเยอะจนประเทศในยุโรปหลายประเทศเช่นฝรั่งเศส, เยอรมณี, อังกฤษกลับมาทำ National lockdown ปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็นอีกรอบ
  • อเมริกาก็ยังระบาดรุนแรงอยู่  ไม่ได้มีการปิดธุรกิจแต่บางรัฐเห็นในข่าวมีการสั่งห้าม indoor dining แล้ว
  • อเมริกากำลังจะมีเลือกตั้งวันนี้เลย Nov 3

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้  บางส่วนก็น่าจะเป็น noise ไม่มีอะไร  สิ่งที่คิดว่ามีผลทำให้ตลาดตกในช่วงที่ผ่านมาคือเรื่องการทำ national lockdown ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลหลายประเทศก็บอกว่าจะไม่ทำเพราะมันจะมีผลต่อเศรษฐกิจ  ตอนนี้พอทำก็เลยอาจจะผิดคาดสำหรับคนที่หวังว่าจะไม่มีแล้วจนถึงวัคซีนออกมา  และอีกอย่างนึงคือมันก็มีผลกระทบกับเศรษฐกิจจริงๆแหละ  ธุรกิจที่ก่อนหน้านี้นักลงทุนอาจจะคิดว่ารอดไม่เจ๊งแน่นอนแล้วอย่างพวกร้านอาหารก็กลับไปเสี่ยงเจ๊งได้อีก

อะไรน่าจะเกิดขึ้นต่อไป

  • ประเทศอื่นที่ยังไม่ทำ National lockdown สุดท้ายคงไม่มีทางเลือกต้องทำแหละ  ไม่งั้นผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลจะทำยังไง
  • และการทำ National lockdown ก็แน่นอนจะมีผลต่อเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นแล้วให้ทรุดกลับลงไป
  • เรื่องอื่นๆดูไม่มีสาระสำคัญ
  • การเมืองไทย  ถ้ามองย้อนไปจะพบว่าเหตุการณ์รัฐประหารหรือความรุนแรงตอนม๊อบเสื้อแดงที่มีเผาไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้น  ดังนั้นเรื่องนี้ก็ตัดไปไม่ได้มีสาระสำคัญ
  • การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  ก็เป็นเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา  แต่คนก็รู้ว่ามันจะไม่กลับไปสมบูรณ์เหมือนก่อน COVID-19 จนกว่าปัญหาจะจบถาวร  ดังนั้นประเด็นนี้ก็ไม่น่าจะมีสาระสำคัญ
  • เลือกตั้งสหรัฐ  ใครซักคนก็จะชนะ  ถ้า Trump ชนะก็ดำเนินนโยบายเหมือนเดิมซึ่งตลาดก็รู้อยู่แล้ว  ถ้า Biden ชนะตลาดก็ไม่น่าจะตกใจเพราะก็ยังไม่ได้เริ่มทำอะไร  ดังนั้นเรื่องนี้ไม่น่าจะมีสาระสำคัญ  
  • กำหนดการของวัคซีนดูเหมือนเดิม  ดูน่าจะได้ข้อสรุปจากการทดลองในคน Phase 3 ภายในปลายปีนี้เดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม  และหลังจากนั้นถ้าสรุปคือใช้ได้ปลอดภัยก็จะต้องมีการเร่งการผลิตและกระจายใช้เวลาซักพักหนึ่ง

แล้วเราควรลงทุนยังไง

ในความเห็นผม  สิ่งที่เราควรทำก็ยังเหมือนเดิม  ซึ่งคือฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ตลาดตกแบบนี้  เราควรเห็นมันเป็นโอกาส  ผมสรุปประเด็นสำคัญมีดังนี้

  1. สุดท้าย COVID-19 ก็เป็นปัญหาชั่วคราว  ปัญหานี้จะจบก็ต่อเมื่อมียาหรือวัคซีนคนถึงจะกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ  การท่องเที่ยวการเดินทางถึงจะมีโอกาสฟื้น
  2. แนวโน้มวัคซีนก็ยังตามกำหนดการเดิม
  3. ดังนั้นภาพรวมกลยุทธ์ก็ยังเหมือนเดิมคือ  เรามองหาธุรกิจที่ปกติแล้วเข้มแข็งทำได้ดี  แต่ดันได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ราคาตกรุนแรง  แล้วเราเชื่อว่ามันจะรอดจากวิกฤติไปได้และกลับไปทำได้ดี  อย่างส่วนตัวผมเกณฑ์ที่บอกว่าคิดว่ามันจะรอดคือ  ดูว่ามีเงินสดเหลือมากพอที่จะรอดแบบกรณีเลวร้ายสุดไปได้ถึงอย่างน้อยครึ่งปีหน้า
  4. แต่ทั้งนี้เราก็ต้องระวังมากขึ้นตรงที่  ถ้าเราซื้อบริษัทในยุโรปที่ได้รับผลกระทบจาก National lockdown  เราก็ต้องเผื่อ worst case ว่าไตรมาส 4 ก็จะต้องอนาถพอๆกับไตรมาส 2  คือเราต้องดูว่ามันมีเงินสดมากพอที่จะรอด

สรุป

สรุปสุดท้ายสิ่งที่จะฝากโดยเฉพาะกับนักเรียนผมเลยนะคือ  มองออกไปไกลหน่อย  อย่าไปมองอะไรระยะสั้นๆแบบนักลงทุนทั่วไปทำเพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้อยู่ดี  เอาจริงๆไม่มีใครรู้หรอกอย่างตอนฝรั่งเศสประกาศ Lockdown ตลาดตก  พอมาอังกฤษประกาศ Lockdown ซึ่งคือเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง  วันจันทร์ปรากฎว่าตลาดขึ้น  มันมั่วๆแบบนี้แหละครับ  ดังนั้นอย่าไปเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระมองอะไรสั้นๆ  มองข้ามช็อตไปไกลหน่อยแล้วดักทางคนอื่นก่อนเลย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ไอเดียหุ้นต่างประเทศน่าสนใจ – รายชื่อ Morningstar Wide Moat

Morningstar Wide Moat list

ไอเดียหุ้นต่างประเทศน่าสนใจ – รายชื่อ Morningstar Wide Moat

ประเด็นหนึ่งที่มีคนถามผมบ่อยเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศคือไม่รู้จักหุ้น  ไม่รู้จะเอาไอเดียมาจากไหน  วันนี้เรามาพูดถึงไอเดียหุ้นจาก Morningstar กันครับ

ก่อนอื่นเลย  หัวข้อนี้ต้องขอบคุณหนึ่งในผู้ฟัง channel เราที่เอื้อเฟื้อครับ  คุณแมน username “เม่าคิดเยอะ”  เค้าเป็นคนไปเจอเวปที่มีฐานข้อมูลของหุ้นที่น่าสนใจที่เราจะพูดถึงในวีดิโอนี้  และจริงๆเค้าไม่จำเป็นต้องแบ่งปันก็ได้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเค้าเลย  แต่เค้าแบ่งปันเพราะเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อคนหมู่มาก 

อันนี้ต้องชื่นชมเค้าจริงๆครับ

รายชื่อบริษัท Wide Moat ทั้งหมดของ Morningstar อยู่ในลิ้งค์ที่ทิ้งไว้ให้นี้

https://www.dividendgrowthinvestingandretirement.com/2020/10/international-wide-moat-stocks-every-single-one-listed/

ผมเล่าให้ฟังนิดนึงว่า Wide Moat ของ Morningstar นี่คืออะไร

Morningstar เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษในเรื่องการจัดอันดับกองทุนรวม  ถ้าพูดถึงกองทุนรวม rating ที่น่าเชื่อถือที่สุดทั่วโลกนี่คือต้อง Morningstar เลย  ในประเทศไทยกองทุนที่มี rating จาก Morningstar นี่เค้าพูดถึงเวลาโฆษณาเลยด้วยซ้ำ  ทีนี้ Morningstar นอกจากกองทุนเค้าก็มีขายบริการที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์หุ้นด้วย

Concept หลักของการวิเคราะห์หุ้นของ Morningstar คือเค้าจะมีสิ่งที่เรียกว่า Moat rating  ตัว Moat นี่แปลตรงๆจะแปลว่าคูเมืองหรือคูปราสาทที่มีน้ำไว้ป้องกันการบุกของข้าศึก  Moat rating ในทางธุรกิจก็คือบริษัทที่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างคู่แข่งเข้ามาบุกหรือแข่งได้ยาก

Morningstar มีให้ Moat rating คือ Wide, Narrow กับ No Moat  บริษัทที่มี Wide Moat นี่คือบริษัทที่เค้าเชื่อว่าจะสามารถกันคู่แข่ง, รักษาระดับการแข่งขันและมีกำไรสูงกว่าปกติได้อยู่อีกนานอย่างน้อย 20 ปี  Narrow Moat คือได้อยู่ซัก 10 ปี  ส่วน No Moat นี่คือไม่ได้มีความได้เปรียบอะไรหรือความได้เปรียบอยู่แค่แปปเดียว

ปกติแล้วการจะดู Moat rating ของ Morningstar เสียตังค์  แต่วันนี้ลิ้งค์ที่คุณ “เม่าคิดเยอะ” ให้มานี่ฟรี  มีรายชื่อ Wide Moat ทั้งหมดของ Morningstar  ดังนั้นผมถึงบอกว่านี่คือเอื้อเฟื้อ  สุดยอดมาก

นอกเหนือจากรายชื่อหุ้น Wide Moat ของ Morningstar แล้ว  ในเวปยังมีรายชื่อหุ้นที่จ่ายปันผลต่อเนื่องของบริษัทในอเมริกากับยุโรปด้วย  ซึ่งก็เป็นแหล่งไอเดียที่ดีเช่นกัน  บริษัทที่จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอและเพิ่มขึ้นตลอดส่วนใหญ่ก็ไม่ธรรมดา  ผมเปิดให้ดูอย่างรวดเร็ว

สุดท้ายนี้  นี่เป็นแหล่งไอเดียที่ดี  แต่ไม่ได้หมายความว่าควรซื้อทั้งหมดหรือดีทั้งหมดนะ  Morningstar ก็พลาดได้นึกออกมะ  เราดูในฐานะที่เป็นแหล่งไอเดียแล้วก็ไปศึกษาต่ออย่างจริงจังกับหุ้นที่เราชอบนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ลงทุนแบบ VI ระยะสั้นได้มั้ย ?

Can VI be used for short term investing ?

ลงทุนแบบ VI ระยะสั้นได้มั้ย ?

ขึ้นอยู่กับว่าพูดถึงระยะสั้นขนาดไหน  แต่โดยรวมแล้วยิ่งลงทุนระยะสั้นมาก VI ก็ยิ่งไม่ได้ผล

เพื่อให้เข้าใจตรงกัน  คือ VI สำหรับผมมันต้องมีองค์ประกอบ 2 อย่าง

  1. มีการพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของหุ้น (fundamental analysis)
  2. ซื้อเมื่อเห็นว่าราคาหุ้นต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม

ถ้ามีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่นับว่าเป็น VI  เช่นบางคนอาจจะเลือกลงทุนโดยมองที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น  แต่เมื่อเลือกหุ้นที่ชอบแล้วอาจจะซื้อแบบ DCA หรือ Momentum ก็ได้  แบบนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าลงทุนแบบ VI  หรือบางคนเน้นซื้อหุ้นที่ P/E ต่ำหรือราคาตกรุนแรงโดยที่ไม่ได้พิจารณาปัจจัยพื้นฐาน  แบบนี้ก็เรียกว่าลงทุนแบบ contrarian เฉยๆ  ไม่ได้เป็น VI

ทีนี้ประเด็นที่ทำให้ลงทุนแบบ VI ใช้กับระยะสั้นมากเช่นหลักวัน, สัปดาห์ หรือไม่กี่เดือนไม่ได้ผลเป็นเพราะว่า  โดยปกติแล้วการที่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมได้ตั้งแต่แรกมักจะเป็นเพราะคนในตลาดมีมุมมองเชิงลบกับหุ้นนั้นเว่อร์เกินไป  หรือไม่ก็เพราะคนในตลาดอาจจะไม่ค่อยรู้จักหุ้นนั้นมันยังไม่ดัง  ดังนั้นโดยปกติมันต้องใช้เวลากว่าคนในตลาดจะเอะใจว่าบริษัทมันดีกว่าที่คาดนี่หว่าหรือเริ่มรู้จักมากขึ้นจนราคาหุ้นสูงขึ้นไปอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับคุณภาพของบริษัท  บางทีใช้เวลาเป็นปีเพราะต้องรอผลประกอบการออกมาดีต่อเนื่องกว่าจะคนมั่นใจว่าดีจริง  ก็เลยเป็นเหตุให้ลงทุนระยะสั้นมากด้วยวิธี VI ก็จะไม่ค่อยได้เรื่องอะไรเท่าไหร่

แต่สำหรับคนที่จะลงทุนระยะสั้น  ผมมองว่าก็เอาบางส่วนของ VI มาใช้ก็ได้นี่  ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหายตรงไหน  คือเอาการพิจารณาปัจจัยพื้นฐานมาใช้  อย่างเช่นคนที่ลงทุนแบบสายเทคนิคดูกราฟเป็นหลัก  ก็ไม่เสียหายที่จะจำกัดหุ้นที่จะลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานก่อน  คือตัดสินใจด้วยกราฟแหละแต่ใช้กับหุ้นที่พื้นฐานดีเท่านั้น  โดยรวมหุ้นที่พื้นฐานดีก็น่าจะทำให้ปลอดภัยมากขึ้น  ถ้าพลาดจริงๆก็สามารถที่จะถือยาวได้เพราะบริษัทที่ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆราคาหุ้นก็จะมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆในระยะยาวอยู่แล้ว

หรือสำหรับบางคนที่คำว่าลงทุนระยะสั้นหมายถึงซักเกือบปีถึงสองปี  VI ก็ยังพอใช้การได้อยู่นะ  อย่างวิธีการลงทุนที่ผมทำอยู่คือเน้นซื้อหุ้นที่รู้จักดีอยู่แล้วว่าดีแต่ซื้อตอนคนตกใจจากปัญหาชั่วคราว  เท่าที่ทำมาถ้ามีเวลารอได้ซัก 1-2 ปีมันก็ใช้ได้อยู่นะ  ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นปัญหาชั่วคราวเช่นอย่างโควิดหรือที่ตลาดตกเพราะสงครามการค้าจีนอเมริกาหรืออะไรก็แล้วแต่ที่คนตกใจเฉยๆ  พวกนี้ไม่ได้ใช้เวลานานมากคนก็หายตกใจ  ดังนั้นถ้าสำหรับบางคนที่ระยะสั้นคือ 1-2 ปีก็ใช้ VI ได้อยู่ครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

การเมืองรุนแรง จะทำตลาดหุ้นตกมั้ย ?

Is the political turmoil going to affect the stock market ?

การเมืองรุนแรง จะทำตลาดหุ้นตกมั้ย ?

คนที่เค้ากังวลเรื่องการเมืองไทยถามผมว่าถ้ามันมีเหตุการณ์รุนแรงหรือมีปฎิวัติซ้อนขึ้นมา  มันจะมีผลต่อตลาดหุ้นหรือเปล่า

โดยส่วนตัวผมคิดว่าไม่  และที่จำได้คือช่วงหลายปีก่อนที่มีความรุนแรงหรือมีปฏิวัติผมก็รอดูอยู่ว่าหุ้นจะตกอย่างมีนัยสำคัญหรือเปล่า  ผลคือไม่มี

แต่เพื่อตอบคำถามนี้เอาแบบชัวร์ๆ  เรามาย้อนดูเหตุการณ์ใหญ่ๆทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเทียบกับดัชนี SET ในเวลานั้นละกัน  จะได้ดูจริงๆว่ามันมีผลหรือเปล่า

 

20 พฤษภาคม 2557  มีรัฐประหารโดยคุณประยุทธ์

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index  

  • วันที่ 20  -1.13%
  • วันที่ 21  +0.59%
  • วันที่ 22  +0.16%

2 กุมภาพันธ์ 2557  มีม๊อบไปขัดขวางการเลือกตั้ง  การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index  

  • วันที่ 3  +1.45%
  • วันที่ 4  -1.24%
  • วันที่ 5  +0.27%  

9 ธันวาคม 2556  รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภา

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index  

  • วันที่ 9 +0.43%
  • วันที่ 10 เป็นวันหยุด
  • วันที่ 11 +0.14%

7-19 พฤษภาคม 2553  มีความรุนแรงกรณีม๊อบเสื้อแดง

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index

  • เฉลี่ยวันที่ 7-9  SET อยู่ที่ 773.23 จุด
  • เฉลี่ยวันที่ 17-19  SET อยู่ที่ 759.64 จุด
  • โดยรวมตั้งแต่ต้นเหตุการณ์ยันจบเกือบ 2 สัปดาห์  SET เปลี่ยนแปลงรวม -1.76% 

19 กันยายน 2549 พลเอก สนธิ ก่อรัฐประหาร

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index  

  • วันที่ 19 -0.47%
  • วันที่ 20 เป็นวันหยุด
  • วันที่ 21 -1.42%

 

สรุปแล้วจะเห็นได้ว่าไม่ได้เป็นสาระสำคัญ  เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาในอดีตทั้งความรุนแรงหรือรัฐประหารไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นตื่นเต้นดีใจหรือตกใจอะไรอย่างมีนัยสำคัญครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ปัจจัยเชิงคุณภาพของบริษัท อนาคตจะดีขึ้นไปอีก หรือจะหายไป ต้องดูยังไง ?

How to determine from company's qualitative aspects whether it will perform better or worse ?

ปัจจัยเชิงคุณภาพของบริษัท อนาคตจะดีขึ้นไปอีก หรือจะหายไป ต้องดูยังไง ?

ก็เป็นคำถามที่ดีแหละ  แต่ในความเป็นจริงคือต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่มีกฎอะไรตายตัวหรือค่าตัวเลขอะไรซักอย่างที่แค่ดูตัวเลขนี้แล้วบอกได้  เพราะสถานการณ์ของบริษัทแต่ละบริษัทหรือธุรกิจแต่ละประเภทมันมีความหลากหลายและต่างกันเยอะเกินกว่าที่จะมีเกณฑ์ตายตัวได้  วีดิโอนี้เราพยายามอธิบายเรียบเรียงความคิดละกันว่าถ้าเป็นเราจะดูอะไรยังไงบ้าง

ขั้นตอนแรกสุดเลยคือ  เราต้องเห็นภาพก่อนว่าบริษัทมันมีความได้เปรียบเพราะว่าอะไรตั้งแต่แรก  อันนี้สำคัญมากจริงเพราะถ้าไม่รู้ประเด็นนี้คือจบละ  เราไม่มีทางบอกได้ว่าบริษัทจะดีขึ้นหรือแย่ลงแน่นอน  โดยทั่วไปสิ่งที่ควรทำคือถามก่อนเลยว่า “มีเหตุผลอะไรที่คนต้องซื้อของจากบริษัทนี้ ?”  มันมีสินค้าบริการที่แตกต่างออกไปเหรอ  ต่างยังไง  ความต่างนั่นมันสำคัญเพราะอะไร  ทำไมไม่มีใครทำเลียนแบบล่ะ  หรือที่ต้องซื้อเพราะมันทำอยู่เจ้าเดียวเหรอ  ทำไมมันทำอยู่เจ้าเดียวได้ล่ะ  ทำไมไม่มีคนอื่นมาทำแข่ง  เรื่องตรงนี้เป็นอะไรที่เราต้องพยายามทำความเข้าใจแหละ  ไม่มีทางลัด

เมื่อเราเข้าใจที่มาของความได้เปรียบแล้ว  สิ่งที่เราพยายามทำคือมองดูว่าความได้เปรียบตรงนั้นมันเข้มแข็งขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิม  หลักๆก็คือสังเกตไอตรงเหตุที่มันทำให้บริษัทได้เปรียบนั่นแหละ  ถ้าเป็นเรื่องสินค้าบริการที่แตกต่างก็ต้องคอยดูว่ามันยังแตกต่างอยู่  ถ้าเป็นเรื่องขายอยู่เจ้าเดียวก็ต้องคอยดูว่ามันยังจะขายอยู่เจ้าเดียวอยู่ต่อไปมั้ย

ส่วนใหญ่ระหว่างเข้มแข็งมากขึ้น, เท่าเดิมกับเข้มแข็งน้อยลง  ที่มันจะมีปัญหากับเราคือกรณีที่มันเข้มแข็งน้อยลงมากกว่า  อาจจะเริ่มจากถามคำถามว่า “ถ้าไม่ซื้อของจากบริษัทนี้  มีทางเลือกอื่นอะไรบ้าง ?”  ทางเลือกอื่นเหล่านั้นมันดูน่าสนใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมั้ย  หรือทางเลือกอื่นที่ว่านี่ก็ยังดูสู้ไม่ได้ทิ้งห่างเหมือนเดิม

นอกเหนือจากนี้ก็มีตัวเลขที่ควรสังเกตอื่นๆที่ช่วยบ่งชี้ได้เช่น  ตัวเลขส่วนแบ่งการตลาด (ถ้ามีก็ช่วยได้  แต่บางบริษัทก็หาตัวเลขนี่ไม่ได้), Profit margin  โดยเฉพาะ Gross profit margin กับ Operating profit margin  แย่สุดคือแกว่งรุนแรง  และน่าสงสัยถ้าเห็นว่ามันบีบลงเรื่อยๆ, Customer retention  และอัตราส่วนอื่นๆที่บ่งชี้ว่าลูกค้าชอบบริษัท  ตัวเลขพวกนี้ช่วยได้  แต่จุดบอดของการพึ่งพาตัวเลขพวกนี้อย่างเดียวคือกว่าจะเห็นสัญญาณปัญหาก็คือปัญหาเริ่มเกิดไปซะละ

มาถึงตรงนี้คุณน่าจะสังเกตได้แล้วแหละว่าการจะสังเกตเรื่องการเปลี่ยนแปลงในอนาคต  มันจะได้เปรียบมากถ้าเราคุ้นเคยกับสินค้าหรือบริการนั้นๆน่ะแหละ  อ่านบทความบนเน็ตมันก็ช่วยอ่ะนะ  แต่ไม่มีทางสู้คนใช้จริงที่ใกล้ชิดสินค้าบริการนั้นๆแน่นอน  ดังนั้นก็เลยเป็นเหตุผลที่เค้าย้ำกันนักหนาว่าลงทุนในบริษัทที่เราชอบและเห็นภาพดีกว่าครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยอสังหาริมทรัพย์

Turn crisis into opportunities with Property Investment

เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยอสังหาริมทรัพย์

ฟังมุมมอง, แนวทางการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในหัวข้อ “เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยอสังหาริมทรัพย์” จากแขกรับเชิญ คุณพีช (เจ้าของเพจ PropCow)

วิดีโอถ่ายทำเมื่อ 13 ตุลาคม 2563

Link ไปยัง PropCow
https://www.facebook.com/PropCow-345100986185732/

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

มีนักลงทุนที่มีชื่อเสียง ทำนายว่าจะเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เราแนะนำว่ายังไง ?

Prominent people and economists warn of large market crash ahead, what do we suggest ?

มีนักลงทุนที่มีชื่อเสียง ทำนายว่าจะเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เราแนะนำว่ายังไง ?

สำหรับผมก็มองว่าเราอ่านดูว่าเค้าให้เหตุผลว่าอะไรก็ไม่เสียหาย  แต่อย่าไปเครียดจริงจังอะไรกับมันมากเกินไป  เพราะว่า

  1. คนออกมาบอกว่าจะเกิดวิกฤติอะไรซักอย่างมันมีอยู่ตลอดทุกปี
  2. เอาจริงๆผมก็เชื่อว่าจะมีวิกฤติอะไรซักอย่างเกิดขึ้นซักวันแหละ  แต่ถ้าเราไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่  มันก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ป้ะ  จะให้หวาดระแวงไม่ทำอะไรเลยอยู่ตลอดก็ไม่ไหวนะ

สรุปอีกทีนึงคือความคิดเห็นเหล่านี้เราฟังเหตุผลเค้าได้ไม่มีปัญหาอะไร  แต่เราต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่ามันก็เป็นแค่ข้อคิดเห็น  และสุดท้ายไม่มีใครรู้อนาคต  แค่เพราะคนจำนวนมากเชื่ออะไรซักอย่างนึงก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องนั้นจริง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ทำไมราคาหุ้นแต่ละบริษัทต่างกันเยอะ ทั้งที่บางบริษัทธุรกิจคล้ายกันมาก ?

Why do stocks of similar businesses have vast differences in price ?

ทำไมราคาหุ้นแต่ละบริษัทต่างกันเยอะ ทั้งที่บางบริษัทธุรกิจคล้ายกันมาก ?

คำถามนี้เข้าใจไม่ยาก  ผมอธิบายให้เห็นภาพด้วยตัวอย่างง่ายๆครับ

สมมติมี 2 บริษัท A กับ B  ที่เหมือนกันเป๊ะเลย  ขายของเหมือนกันกำไรเท่ากันทุกอย่าง  มูลค่าของทั้งบริษัทสำหรับ A และ B ก็ควรเท่ากันถูกมะ  เพราะเหมือนกันเป๊ะนี่

ในกรณีนี้สมมติว่ามูลค่าทั้งบริษัทของ A = B = 100 บาทละกัน

สมมติบริษัท A ตัดสินใจออกหุ้นนะ  เค้าแบ่งบริษัทออกเป็นทั้งหมด 10 หุ้น  แต่ละหุ้นก็ควรจะราคา 10 บาทถูกมะ  เพราะ 1 หัุ้นเท่ากับเป็นความเป็นเจ้าของ 10% ของบริษัท (1 หุ้นจากทั้งหมด 10)

ส่วนบริษัท B ออกหุ้นเหมือนกัน  เค้าแบ่งบริษัทออกเป็นทั้งหมด 100 หุ้น  แต่ละหุ้นก็ควรจะราคา 1 บาทถูกมะ  เพราะ 1 หัุ้นเท่ากับเป็นความเป็นเจ้าของ 1% ของบริษัท (1 หุ้นจากทั้งหมด 100)

ก็แค่เนี้ยครับ  ราคาหุ้นต่างกันละไง  ขนาดว่าบริษัท A กับ B นี่เหมือนกันเป๊ะเลยนะ  ดังนั้นราคาหุ้นในตลาดจริงต่อให้ธุรกิจคล้ายๆกันก็ไม่จำเป็นต้องราคาเท่ากันเพราะ

  1. บริษัทคล้ายแค่ไหนแต่ในรายละเอียดจริงๆก็ทำกำไรหรือสถานะทางการเงินต่างกัน
  2. จำนวนหุ้นที่ออกไม่เท่ากัน

นั่นคือเหตุผลที่เวลาคนดูว่าหุ้นแพงหรือเปล่า  เค้าก็จะไม่พูดถึงราคาหุ้นอย่างเดียว  เค้าจะดูราคาเทียบกับอะไรซักอย่าง  เช่นเทียบกับกำไรต่อหุ้น (P/E) หรือเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นต่อหุ้น P/BV เพราะราคาเดี่ยวๆมันไม่ได้สื่ออะไรเท่าไหร่น่ะครับ

ดังนั้นถ้าคุณเจอคนที่เค้าบอกรู้สึกว่าหุ้นบริษัทที่ราคาหลักร้อยแพง  หุ้นที่ราคาไม่ถึงบาทนี่ถูก  เพราะด้วยเงินเท่ากันซื้อได้จำนวนหุ้นเยอะกว่า  คุณต้องรีบอธิบายให้เค้าฟังเลยว่าเค้ากำลังเข้าใจผิดอยู่  หุ้นราคาหลักร้อยแค่ราคาสูงแต่ไม่ได้แปลว่าแพง  และหุ้นที่ราคาไม่ถึงบาทนี่ก็แค่ราคาต่ำไม่ได้แปลว่ามันถูก  จุดสำคัญมันอยู่ที่ว่าหุ้นหนึ่งหุ้นนั้นมันเท่ากับเราเป็นเจ้าของอะไรมากกว่าโอเคนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อัพเดทสถานการณ์ ลงทุนยังไงต่อดี ? – 28 ก.ย. 2563

Strategy update - Sep 28, 2020

อัพเดทสถานการณ์ ลงทุนยังไงต่อดี ? – 28 ก.ย. 2563

โดยรวมก็คล้ายๆเดิม  สิ่งที่ต่างไปแล้วดูมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้หุ้นตกลงมาก็เป็นเรื่องความเสี่ยงของ national lockdown ในยุโรป

ช่วงก่อนเราก็เห็นอยู่แล้วว่าการระบาดใน US ยังสูงขึ้น  และเราก็เห็นว่าในยุโรปเริ่มกลับมาระบาด  บางประเทศมีการปิดธุรกิจเช่นอินเดีย, Melbourne, ฯลฯ  แต่ตอนนั้นคนก็ไม่ได้ตกใจอะไร  อาจจะเห็นมีหุ้นกลุ่ม Tech ที่ตกลงมาอยู่  แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ขึ้นไปเยอะมาก  ที่ลงมาก็ไม่ได้เป็นสาระอะไรเท่าไหร่

มาตอนนี้ดูเหมือนการระบาดจะรุนแรงขึ้นเยอะ  ในสเปนกับฝรั่งเศสนี่คนติดเชื้อใหม่วันละเป็นหมื่นจนเค้าเริ่มมีสั่งจำกัดการทำธุรกิจหรือรวมตัวของคน  ซึ่งรอบนี้เป็นในเมืองใหญ่อย่าง Madrid, Paris, Marseille  ในอังกฤษเองรัฐบาลก็เริ่มส่งสัญญาณว่าอาจจะมี national lockdown นะ  แต่ตอนนี้แค่มีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นก่อน  ทำให้หุ้นกลุ่มอื่นเริ่มตก  ไม่ใช่แค่หลักๆหุ้น Tech อย่างเดียว  เข้าใจว่ามาจากการที่ตอนแรกตลาดไม่ได้คิดว่าจะมีการปิดธุรกิจในวงกว้าง  แต่ตอนนี้ดูมีความเสี่ยงว่าจะเกิดขึ้น  แล้วเราก็รู้อยู่แล้วว่าผลกระทบมันเยอะ

โดยภาพรวมแล้วผมมองเหมือนเดิมว่าโรคระบาดเป็นปัญหาชั่วคราว  อนาคตต่อจากนี้ในระยะสั้นก็เป็นไปได้ว่าราคาหุ้นจะตกลงไปอีกถ้ามีปิดเมืองมากขึ้นจนคนกลัวว่าจะกระทบเศรษฐกิจ  ก็เป็นโอกาสอันดีเผื่อใครจะหาซื้ออะไรเพิ่ม  เนื่องจากเวลาเราเลือกซื้อหุ้นเราก็ไม่ได้หวังว่าธุรกิจจะฟื้นตอนปลายปีนี้อยู่แต่แรกแล้ว  เราก็รู้ว่ามันต้องมีวัคซีนมันถึงเริ่มกลับมาปกติ  ดังนั้นเราก็เลือกที่เราคิดว่ามันทนพิษบาดแผลได้ไปถึงอย่างน้อยกลางปีหน้าอยู่แล้ว  สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายหรืออะไร  ถ้าหุ้นตกลงมาก็ยอดเยี่ยม  ไม่ตกลงมาก็ไม่เป็นไร

หุ้นกลุ่มที่ดูน่าสนใจสำหรับผมก็ยังเหมือนเดิม  คือพวกที่มันได้รับผลกระทบทั้งหลาย  เราแค่ต้องระวังว่ามันรอดเท่านั้นเอง  ตัวอย่างเช่น

  • โรงแรม
  • สนามบิน
  • ที่มันเกี่ยวกับเครื่องบิน
  • รถเมล์, รถใต้ดินและการเดินทางสาธารณะต่างๆ
  • ห้าง
  • ธนาคาร, ปล่อยสินเชื่อ
  • ร้านอาหาร
  • คอนโดที่อยู่อาศัย
  • ตึกออฟฟิศ
  • ประกัน

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี